เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย - ตอนที่ 272 เห็นเข้าอย่างจัง / ตอนที่ 273 น้อยใจ
ตอนที่ 272 เห็นเข้าอย่างจัง
ขณะที่ทั้งสองกำลังนัวเนียกันร้อนเป็นไฟอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนเคาะประตูห้อง เสียงพี่โจวดังขึ้น “คุณจิ้นคะ มีคนมาเยี่ยมค่ะ” น้ำเสียงเธอฟังดูร้อนรนมาก
“มีคนมา?” ความคิดนี้แวบขึ้นในสมองเธอย่างรวดเร็ว จิ้นหยวนชะงักกายเล็กน้อย ยังไม่ทันจะได้ตั้งสติก็ได้ยินเสียงพี่โจวดังขึ้นอีก “คุณนายคะ รบกวนรอสักครู่นะคะ ดูเหมือนคุณจิ้นกำลัง…”
“อะไรนะ? แล้วเฉียวซือมู่ล่ะ?” เสียงฉินเพ่ยหรงดังขึ้นตามคาด
พี่โจวพูดไม่ออก เธออยู่กับพวกเขาตั้งหลายวันแล้ว รู้ว่าพวกเขาสองคนรักกันและใกล้ชิดกันมากแค่ไหน เธอจึงรู้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ หลายวันที่ผ่านมา เธอรู้สึกดีกับเฉียวซือมู่มาก เพราะเฉียวซือมู่เป็นคนอัธยาศัยดี แถมยังเป็นคนขยันมากด้วย ไม่เคยชักสีหน้าใส่พยาบาลพิเศษอย่างเธอแม้แต่ครั้งเดียว และยังให้เกียรติเธอมากด้วย เธอรู้ดีว่าฉินเพ่ยหรงมีอคติกับเฉียวซือมู่มาก ถ้าเกิดฉินเพ่ยหรงเข้าไปเห็นภาพสองคนนั้นเข้า ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอลังเลเล็กน้อย ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรก็เห็นฉินเพ่ยหรงสีหน้าเคร่งเครียด เปิดประตูเข้าไปทันที
มันเป็นความผิดพลาดของเฉียวซือมู่เองที่ลืมล็อกประตูห้อง ชั่ววินาทีนั้น ทั้งสองยังไม่ทันลุกออกจากเตียง ฉินเพ่ยหรงจึงเห็นภาพสองหนุ่มสาวกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงเข้าอย่างจัง
เฉียวซือมู่ใบหน้าร้อนผะผ่าว จ้องจิ้นหยวนตาเขียวปั๊ด แม้พวกเขาจะไม่ได้ทำอะไรเกินเลย แต่สภาพของทั้งสองในยามนี้ ต่อให้ใครมาเห็นเข้าก็ต้องจินตนาการไปไกลทั้งนั้น ที่สำคัญ คนที่มาเห็นเข้าดันเป็นฉินเพ่ยหรงเสียด้วย ตอนนี้เธอจึงรู้สึกแย่มาก
ส่วนจิ้นหยวนนั้นยังไม่รู้ตัวอีกว่าตอนนี้สถานการณ์ย่ำแย่มากขนาดไหน สำหรับเขาแล้ว คุณแม่รักเขามาก ส่วนเฉียวซือมู่นั้นเป็นผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด เขาคิดว่าผู้หญิงทั้งสองคนที่เขารักจะต้องเข้ากันได้ดีมากแน่ แม้เขาจะรู้ว่าคุณแม่มีอคติกับเฉียวซือมู่อยู่บ้าง แต่นั่นเป็นเพราะท่านเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเขาเท่านั้น เขาจึงไม่ได้ใส่ใจนักที่คุณแม่เข้ามาเห็นภาพแบบนี้เข้า เขาเพียงยักไหล่อย่างสบายอารมณ์ “คุณแม่ มาแล้วเหรอครับ ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนล่ะครับ?”
ฉินเพ่ยหรงหน้าดำคร่ำเครียด ตวัดสายตามองเฉียวซือมู่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมจะไม่โทร แม่โทรตั้งหลายครั้งแต่ลูกไม่รับสายเอง แม่ก็นึกว่าเกิดอะไรขึ้นเสียอีก ที่แท้ก็กำลังมั่วกันอยู่นี่เอง!”
เธอว่าแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ต้องไม่ใช่คนดีแน่ อาหยวนน่าสงสารอะไรอย่างนี้ แผลยังไม่หายดีเธอก็ยั่วสวาทเขาแล้ว นี่คิดจะทำให้เขาตายหรืออย่างไร เฮอะ ฝันไปเถอะ ฉันยังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้นะ
โถ ลูกชายที่น่าสงสาร ไม่รู้ว่าไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ผู้หญิงแต่ละคนที่ได้เจอถึงได้เลวร้ายแบบนี้
เฉียวซือมู่ได้ยินแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นคนริบโทรศัพท์มือถือของเขาไปแล้วเก็บมันเอาไว้ในลิ้นชัก หลังจากนั้นทั้งสองก็ลืมเรื่องโทรศัพท์มือถือไปเสียสนิท มีสายเรียกเข้าก็ไม่รู้เรื่อง เธอรู้สึกผิดเล็กน้อย รีบจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นเอ่ยอย่างจริงจัง “ขอโทษค่ะคุณป้า เป็นความผิดของหนูเอง หนูเอาโทรศัพท์เขาไปแล้วลืมเอาออกมา เป็นความผิดของหนูเองค่ะ”
เฉียวซือมู่เอ่ยพลางเปิดลิ้นชักออก เห็นหน้าจอโทรศัพท์มือถือของจิ้นหยวนปรากฎสายที่ไม่ได้รับหลายสาย
ฉินเพ่ยหรงทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “เป็นฝีมือเธอจริงๆ ด้วย ทำไม ตั้งใจไม่อยากให้ฉันมาใช่ไหม? คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะร้ายแบบนี้”
“หนูไม่ได้…” เฉียวซือมู่ร้อนรน อยากจะอธิบายแต่กลับถูกจิ้นหยวนเอ่ยแทรกขึ้นดื้อๆ เขาเอ่ยกับฉินเพ่ยหรงอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “คุณแม่ครับ ผมเป็นคนเก็บโทรศัพท์ในลิ้นชักเอง หมอบอกว่าผมต้องพักผ่อนมากๆ ห้ามอะไรมารบกวนผม ผมถึงทำแบบนั้นเองครับ”
ตอนที่ 273 น้อยใจ
ฉินเพ่ยหรงมองเขาอย่างไม่เชื่อ “ไม่ต้องแก้ตัวแทนเลย คิดว่าแม่ไม่รู้หรือไง? นี่ลูกเห็นแม่แก่จนเลอะเทอะไปแล้วใช่ไหม? ตอนนี้แผลยังไม่หายดีลูกยังทำแบบนี้อีก ถึงจะมีคนยั่วก็เถอะ แต่ลูกก็ต้องระวังตัวให้ดีสิ ร่ายกายเป็นของลูกนะ เกิดแผลฉีกขึ้นมาจะทำยังไง?”
จิ้นหยวนหัวเราะ “ผมไม่เป็นไร เกือบหายดีแล้วครับ ผมว่าจะออกจากโรงพยาบาลแล้วล่ะครับ”
เขาไม่ใส่ใจคำพูดของฉินเพ่ยหรงสักนิด เฉียวซือมู่เสียอีกที่ฟังแล้วรู้สึกผิดแทน ฟังจากน้ำเสียงของฉินเพ่ยหรงแล้ว ดูเหมือนว่าฉินเพ่ยหรงจะโทษว่าเป็นความผิดของเธออีกแล้ว ทั้งๆ ที่เมื่อกี้จิ้นหยวนเป็นคนเริ่มก่อนแท้ๆ …
จิ้นหยวนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และไม่ใส่ใจคำพูดของฉินเพ่ยหรงด้วย เฉียวซือมู่เป็นคนคิดมากมากกว่า จึงรู้สึกน้อยใจนิดๆ แต่จิ้นหยวนไม่ทันสังเกต ยังคงยิ้มให้ฉินเพ่ยหรง “คุณพ่อน่าจะยังไม่รู้เรื่องของผมใช่ไหมครับ คุณแม่อย่าบอกคุณพ่อนะครับ”
ฉินเพ่ยหรงไม่สบอารมณ์ “นั่นมันก็แน่อยู่แล้ว ลูกคิดว่าแม่ไม่มีสมองหรือไง?”
ฉินเพ่ยหรงครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเดินไปนั่งลงข้างเตียง ตวัดสายตามองเฉียวซือมู่แวบหนึ่ง “ฉันอยากกินเค้กร้านเชียนเว่ย เธอช่วยออกไปซื้อให้ฉันหน่อยสิ”
เฉียวซือมู่ชะงักเล็กน้อย รีบรับปากทันที เธอรู้ดีว่าฉินเพ่ยหรงไม่อยากให้เธออยู่ที่นี่ จึงหาทางไล่เธอไปที่อื่น
แม้เธอจะรู้ดีแก่ใจแต่ก็ต้องทำตามคำสั่งแต่โดยดี ใครใช้ให้เธอเป็นคุณแม่ของจิ้นหยวนล่ะ
ขณะที่เธอกำลังออกจากห้องนั้น พลันได้ยินเสียงฉินเพ่ยหรงกำลังพูดกับจิ้นหยวนลางๆ “อาหยวน ฟังแม่นะ…”
เธอปิดประตูลง ทำให้ไม่ได้ยินเสียงคุยกันอีก พวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่นะ?
เธอหันกลับไปมองด้วยความอยากรู้ แต่ก็ต้องขำการกระทำของตัวเอง จะกลัวอะไร จิ้นหยวนรักเธอมากขนาดนั้น เขาไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของคุณแม่เขาหรอก เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
พอคิดแบบนี้แล้วจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาก รีบเดินไปซื้อขนมเค้กอย่างอารมณ์ดี
ในห้องคนไข้ ฉินเพ่ยหรงกำลังพูดเตือนจิ้นหยวนปากเปียกปากแฉะด้วยความหวังดี “อาหยวน ใช่ว่าแม่อยากจะพูดมาก เมื่อก่อนลูกไม่ชอบหร่วนเซียงเซียงแม่ก็พอจะเข้าใจ ถือว่าพ่อกับแม่ดูคนผิดไปที่ไม่รู้ว่าเธอร้ายมากขนาดนั้น แต่ตอนนี้ลูกเป็นคนเลือกผู้หญิงแซ่เฉียวคนนั้นเอง ทำไมลูกถึงไปเลือกผู้หญิงพรรค์นั้นล่ะลูก?”
จิ้นหยวนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความไม่พอใจ “คุณแม่พูดอะไรกันครับ ทำไมต้องเรียกเธอว่าผู้หญิงพรรค์นั้นด้วยล่ะครับ เธอเป็นคนดีมาก เมื่อก่อนคณแม่ก็ชอบเธอมากไม่ใช่เหรอครับ?”
ฉินเพ่ยหรงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เมื่อก่อนก็เป็นเรื่องของเมื่อก่อน แม่คิดว่าลูกแค่คบเธอเล่นๆ เท่านั้น ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้แม่คิดว่าลูกไม่เหมือนเดิม ลูกถึงขั้นยอมรับคมมีดแทนเธอ ไหนลูกบอกแม่ซิ ลูกอยากจะแต่งงานกับเธอใช่ไหม?”
จิ้นหยวนพยักหน้ายอมรับ “ครับ ผมรักเธอ อยากแต่งงานกับเธอ ไม่ได้เหรอครับ? มู่มู่เป็นผู้หญิงที่ดีมาก ตอนนี้คุณแม่ยังมีอคติกับเธออยู่ แต่อยู่ๆ ไปคุณแม่จะรู้เองว่าเธอดียังไง”
ฉินเพ่ยหรงเอ่ยอย่างเหลืออด “ความรักทำให้โลกกลายเป็นสีชมพู ในสายตาลูกเธอก็ดีหมดทุกอย่างนั่นแหละ แต่แม่ว่าไม่ดี ลูกดูซิ แม่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ตั้งครึ่งค่อนวันแล้ว เธอไม่ทักแม่สักคำ แต่ก็ช่างเถอะ แต่นี่แม้แต่น้ำชาก็ไม่รินให้แม่สักถ้วย ไหนลูกบอกซิว่าถ้าลูกแต่งงานกับเธอเข้าบ้านเป็นสะใภ้ของเรา ต่อไปพ่อกับแม่แก่แล้วยังหวังให้เธอดูแลได้อีกเหรอ?”
จิ้นหยวนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “คุณแม่ นั่นมันเป็นเรื่องที่ไกลมากเลยนะครับ นี่แม่คิดไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ? ไม่คิดไกลเกินไปหน่อยเหรอครับ”
“ทำไมจะคิดไม่ได้? ลูกโตขนาดนี้แล้ว พ่อกับแม่ก็แก่มากแล้ว คิดว่าพวกเรายังมีเวลาอยู่กับลูกได้อีกกี่ปีกันเชียว”