เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย - ตอนที่ 296 ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต / ตอนที่ 297 วิตกกังวล
ตอนที่ 296 ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
วันรุ่งขึ้น สายลมเย็นพัดเข้ามาทางหน้าต่างห้อง ปลุกเฉียวซือมู่ที่กำลังหลับสนิทให้ตื่นขึ้น เธอขยับกายพลันรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งร่าง
เธอพยายามพยุงตัวลุกขึ้น เริ่มระลึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
เธอสูดหายใจลึก ค่อยๆ ลุกออกจากเตียงท่าทางกระมิดกระเมี้ยน ในใจก่นด่าจิ้นหยวนจนไม่เหลือชิ้นดี แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้สักอย่าง เพราะตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ ต่อให้เธอด่าให้ตายก็เปล่าประโยชน์ นอกจากเธอจะโทรศัพท์ไปด่าเขา มิเช่นนั้น จิ้นหยวนคงไม่มีวันได้ยินหรอก
เธอค่อยๆ เดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองออกไปข้างนอกถึงเห็นว่าวันนี้สภาพอากาศแย่มาก ท้องฟ้าอึมครึมมีเมฆดำทะมึน ราวกับฝนจะตกอยู่ตลอดเวลา
ลมแรงพัดเข้ามาทางหน้าต่างจนชุดนอนบางเบาของเธอปลิวไสวตามแรงลม เธอรีบปิดหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
เธอครุ่นคิดไปมาแต่ก็คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง จึงเข้าไปอาบน้ำดีกว่า เธอพบว่าเขาฝากร่องรอยเอาไว้ทั่วร่างกายเธอ แต่เธอกลับรู้สึกสบายตัวไม่เหนียวเหนอะหนะ หลังจากเธอหลับไปแล้ว เขาคงเช็ดทำความสะอาดให้เธอเรียบร้อยแล้ว นั่นทำให้เธอรู้สึกพอใจไม่น้อย
ตอนนี้เป็นเวลาสิบนาฬิกา อีกไม่นานก็ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว เธอจึงหยิบขนมขบเคี้ยวขึ้นมากินเล่นอย่างสบายอารมณ์พลางอ่านข่าวไปพลาง
นี่เป็นความเคยชินจากการทำงานข่าวมานานหลายปี สิ่งแรกที่เธอทำเวลาท่องเว็บไซต์ก็คือการอ่านข่าว ติดตามว่ามีข่าวอะไรน่าสนใจบ้าง
และข่าวแรกที่เธอเห็นวันนี้ก็คือข่าวของเธอกับจิ้นหยวนนั่นเอง เธอตะลึงนิ่งอึ้ง เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานฉีหย่วนเหิงโทรศัพท์หาเธอ เธอตบกบาลตัวเอง ดูสิว่าเธอเธอความจำสั้นแค่ไหนถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปได้ เธอควรจะถามเขาให้รู้เรื่องตั้งแต่เมื่อวานถึงจะถูกสิ
แต่ตอนนั้นเธอกำลังเป็นห่วงเรื่องคุณแม่จนลืมเรื่องนี้เสียสนิท เธอนี่มัน…
เธอผุดลุกขึ้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรศัพท์หาจิ้นหยวน แต่ยังไม่ทันจะได้กดโทรออกก็มีสายเรียกเข้าเสียก่อน
เธอชะงักเล็กน้อย ในใจแอบคิดหรือว่าเธอกับจิ้นหยวนจะมีใจตรงกัน? แต่ชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือกลับทำลายจินตนาการเธอแตกดังโพละ ที่แท้ก็คุณแม่เป็นคนโทรศัพท์หาเธอ
เธอกดรับสายแล้วรีบทักทายทันที “คุณแม่”
เสียงที่ไม่รู้จักดังลอดมาจากปลายสาย “นั่นคุณเฉียวหรือเปล่าครับ?”
“ใช่ค่ะ ฉันเอง ไม่ทราบว่าคุณคือ…” เธอชะงักเล็กน้อย ทำไมโทรศัพท์ของคุณแม่ถึงเป็นเสียงผู้ชายพูดสายล่ะ?
คนปลายสายไม่เปิดโอกาสให้เธอคิดมาก รีบเอ่ยต่อทันที “คือว่าอย่างนี้นะครับ ผมเป็นหมอจากโรงพยาบาลXX ผมเจอโทรศัพท์เครื่องนี้ในกระเป๋าคนบาดเจ็บ ไม่ทราบว่าคุณเป็น…”
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่ฉันคะ?” เธอได้ยินคำพูดจากคนปลายสายแล้วเหงื่อแตกทันที รีบกระเด้งตัวลุกขึ้น “คุณเป็นหมอใช่ไหมคะ? คนบาดเจ็บที่คุณพูดถึงหมายถึงคุณแม่ฉันเหรอคะ? ท่านเป็นอะไร แล้วอาการเป็นยังไงบ้างคะ?”
คนปลายสายรอให้เธอถามจนจบอย่างใจเย็น “ผมเป็นหมอที่ดูแลเคสนี้ คุณเป็นลูกสาวคนเจ็บใช่ไหม ถ้างั้นคุณรีบมาที่โรงพยาบาลก่อนดีกว่า เธอบาดเจ็บหนัก แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต รีบมาที่โรงพยาบาลXX นะครับ”
ตอนที่ 297 วิตกกังวล
“ค่ะ ค่ะ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ ขอบคุณมากนะคะ รบกวนช่วยดูแลท่านด้วย ฉันออกไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ!”
เธอโยนโทรศัพท์มือถือทิ้ง คว้าเสื้อผ้ามาสวม จากนั้นรีบวิ่งลงบันไดไป
เธอจับข้อมือพ่อบ้านหมับ “ช่วยเรียกคนขับรถให้ไปส่งฉันที่โรงพยาบาลหน่อย เร็วเข้า!”
หากไม่ใช่เพราะที่นี่อยู่เขตชานเมืองซึ่งเรียกรถแท็กซี่ลำบาก ป่านนี้เธอคงเดินออกไปเรียกรถแท็กซี่เองแล้ว ถือว่าเธอยังพอมีสติอยู่ รู้ว่ามีคนขับรถให้เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้
พ่อบ้านที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีรู้สึกประหลาดใจในคำสั่งของเธอมาก แต่เขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นเอ่ยปลอบเฉียวซือมู่ที่กำลังร้อนรน “ใจเย็นก่อนนะครับ เดี๋ยวรถก็มาแล้ว แล้วคุณจะไปโรงพยาบาลทำไมครับ?”
เขาเอ่ยถามพลางมองสำรวจเธอพลาง สายตาประหลาดใจมากของเขาแทบจะมองจนตัวเธอทะลุเป็นรูอยู่แล้ว
เธอไม่เห็นสีหน้าของเขา เอ่ยอย่างร้อนใจ “คุณช่วยเร่งให้หน่อยได้ไหมคะ? คุณแม่ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันต้องรีบไปหาท่าน”
ประกายในดวงตาของเขาดับวูบลงในบัดดล เขารีบปรับสีหน้าให้เรียบเฉยเป็นปกติ “อย่างนี้นี่เอง รถมาถึงแล้วครับ…”
เขายังพูดไม่ทันจบก็เห็นเธอเดินจ้ำอ้าวออกไปแล้ว จากนั้นมุดตัวเข้าไปในรถทันที
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่สนใจคำพูดของเขาเลยสักนิด
เธอก้าวขึ้นไปนั่งในรถ บอกที่อยู่โรงพยาบาลให้คนขับรถ จากนั้นรอให้รถออกตัวโดยไม่พูดไม่จา
สีหน้าเธอเรียบเฉย แต่ในใจกลับกำลังกลัวจนสั่น ภาพคุณแม่ที่นอนป่วยไม่ได้สติก่อนหน้านี้ฉายขึ้นเป็นฉากๆ ตอนนั้นเธอสิ้นหวังจนรู้สึกเหมือนกับฟ้าถล่มลงมา
แล้วคราวนี้ล่ะ? คงไม่ได้เป็นอย่างครั้งที่แล้วอีกนะ? แล้วถ้าเกิดแย่กว่าครั้งก่อนจะทำอย่างไรดี?
ยิ่งคิดยิ่งเป็นกังวล ยิ่งคิดยิ่งสิ้นหวัง เธอจมดิ่งสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวังจนถอนตัวไม่ขึ้น กระทั่งอาฮุยยื่นกระดาษเช็ดหน้าให้เธอ เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเย็นชืดบนใบหน้า ถึงได้รู้ว่าน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เธอสูดหายใจลึก คว้ากระดาษเช็ดหน้ามาจากอาฮุยโดยไม่สนแล้วว่ากิริยากระด้างหรือไม่ เธอใช้กระดาษเช็ดหน้ากดจมูกเอาไว้ จากนั้นเอ่ยขอบคุณเขาเสียงอู้อี้
อาฮุยส่ายศีรษะเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยความห่วงใย “ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ไม่ว่าเรื่องใหญ่แค่ไหนพี่ใหญ่ต้องช่วยคุณได้แน่”
เขาพูดแบบนั้นก็เพื่อปลอบใจเธอ และสำหรับเธอแล้วมันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ต่อให้เป็นคนที่จัดการได้ทุกอย่างอย่างจิ้นหยวนก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่หมอนี่นา
เธอจึงได้แต่ฝืนยิ้มให้เขาโดยพูดอะไรไม่ออก
อาฮุยเห็นท่าทางเธอแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก เขาขับรถเงียบๆ จนถึงโรงพยาบาล จากนั้นเอ่ยกับเธอ “ต้องการให้ผมเข้าไปเป็นเพื่อนไหมครับ?”
เธอส่ายศีรษะปฏิเสธ เปิดประตูลงจากรถ จู่ๆ เธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหมุนตัวกลับไปบอกกับอาฮุย “นายอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้จิ้นหยวนรู้นะ เข้าใจไหม?”
อาฮุยพยักหน้าตอบ “ครับ” เธอจึงวางใจลง
เธอยังไม่อยากให้จิ้นหยวนรู้เรื่องนี้ เพราะเขามีเรื่องที่ต้องคิดเยอะแยะมากพออยู่แล้ว และเธอไม่อยากพึ่งพาเขาทุกอย่าง
แต่เรื่องที่เธอไม่รู้ก็คือ หลังจากเธอเข้าไปในโรงพยาบาลแล้ว อาฮุยครุ่นคิดสักพักจึงตัดสินใจรายงานจิ้นหยวนดีกว่า เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออก…
จิ้นหยวนที่กำลังประชุมเรื่องสำคัญอยู่กดรับสาย “ฮัลโหล…” สีหน้าเขาเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ ตามสิ่งที่อาฮุยรายงาน “โอเค ฉันรู้แล้ว นายทำดีมาก”
เขาลุกขึ้นยืน มองไปยังองค์ประชุมที่กำลังมองมาที่เขาเป็นตาเดียว จากนั้นชี้ไปยังหลินจื้อเฉิงที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “นายประชุมแทนฉัน” เอ่ยจบแล้วก้าวเดินออกจากห้องประชุมทันที
หลินจื้อเฉิงร้องขอชีวิตในใจ จิ้นซื่อ กรุ๊ป ไม่ใช่ของเขานะ ทำไมพี่ใหญ่ต้องผลักภาระการประชุมสำคัญมาให้เขาบ่อยๆ แบบนี้ด้วย?
เฉียวซือมู่ไม่รู้ว่าอาฮุยรายงานเรื่องนี้ให้จิ้นหยวนรู้แล้ว เธอสอบถามห้องคนไข้ของคุณแม่เสร็จเรียบร้อย จากนั้นขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นสาม
เธอก้าวออกจากลิฟท์พลันเห็นคำว่าห้องผ่าตัดตัวใหญ่เบ้อเริ่มที่มันทิ่มแทงสายตาทันที หัวใจเธอกระตุกวูบ เข่าอ่อนจนต้องรีบพิงกำแพงเอาไว้ถึงไม่ล้มลงกองกับพื้น
ช่วงก่อนที่เธอต้องมาดูแลคุณแม่ที่โรงพยาบาล เธอเห็นคำนี้บ่อยมากจนเกิดเงามืดในใจ
เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ค่อยๆ ก้าวเท้าทีละก้าวไปยังห้องที่นางพยาบาลบอก
ในที่สุดก็เจอนายแพทย์สวมเสื้อกาวน์สีขาวเดินมาพอดี เธอถอนหายใจโล่งอก “ไม่ทราบว่าคนไข้ที่ชื่อเวินเยวี่ยฉิงอยู่ห้องไหนคะ?”
เวินเยวี่ยฉิงเป็นชื่อของคุณแม่เธอนั่นเอง
“เวินเยวี่ยฉิง?” ดูเหมือนคุณหมอจะไม่รู้จักคนไข้ชื่อนี้ เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วส่ายศีรษะ “ไม่มีคนไข้ชื่อนี้นะครับ”
เธอเริ่มร้อนรน เอ่ยถามเสียงสูง “ทำไมถึงไม่มีคนไข้คนนี้ล่ะคะ? ก็เมื่อกี้มีคุณหมอโทรหาฉัน บอกว่าคุณแม่ฉันอยู่ที่นี่ แล้วนางพยาบาลข้างล่างก็…”