เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย - ตอนที่ 400 จะรับเด็กมาเลี้ยง / ตอนที่ 401 หมอฟังคุณคนเดียว
- Home
- เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย
- ตอนที่ 400 จะรับเด็กมาเลี้ยง / ตอนที่ 401 หมอฟังคุณคนเดียว
ตอนที่ 400 จะรับเด็กมาเลี้ยง
จิ้นเฮ่าเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “งั้นฉันก็จะแจ้งในที่ประชุม ให้ปลดแกออกจากตำแหน่ง ถ้าแกอยากจะไล่ตามความรักมากนัก งั้นก็ไม่ต้องเป็นลูกชายตระกูลจิ้นอีก”
เห็นได้ชัดเจนว่าคราวนี้เขาตัดใจใช้ไม้แข็งกับจิ้นหยวน
แม้เขาจะปลดระวางตนเองจากบริษัทเพราะเรื่องสุขภาพนานแล้ว แต่เขายังถือหุ้นเกือบครึ่งในบริษัท และหุ้นที่เขาถืออยู่มากกว่าจิ้นหยวนเล็กน้อย ความจริงเขาคิดเอาไว้ว่าอีกไม่นานจะโอนหุ้นในมือให้จิ้นหยวน แต่ตอนนี้เขารู้สึกโชคดีมากที่ไม่ได้โอนหุ้นให้ลูกชาย มิเช่นนั้น พวกตนคงไม่มีอะไรปราบเขาให้อยู่หมัด
ถึงจิ้นเฮ่าจะพูดข่มขู่แบบนั้น แต่จิ้นหยวนกลับไม่สะทกสะท้านสักนิด เขาลุกจากเก้าอี้ มองทั้งสองอย่างไม่อินังขังขอบ “คำพูดของคุณพ่อคุณแม่ผมได้ยินหมดแล้ว แต่ผมไม่ทำตามหรอกนะครับ ผมขอพูดอีกครั้ง เราจดทะเบียนกันแล้ว เราเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่ายังไงเธอก็คือภรรยาของผม ผมไม่มีวันทิ้งเธอ และไม่มีวันมีผู้หญิงอื่นด้วย คุณพ่อคุณแม่ตัดใจเถอะครับ ส่วนเรื่องลูก ผมกะว่าจะรับเลี้ยงเด็กสักคน”
เอ่ยจบแล้วหมุนตัวจะเดินออกจากห้อง จิ้นเฮ่าที่โกรธจนตัวสั่นสั่งห้ามเสียงเข้ม “จิ้นหยวน แกไม่ยอมทำตามที่เราบอกจริงๆ ใช่ไหม?”
เขาชะงักฝีเท้าเป็นคำตอบ จากนั้นเดินออกจากห้องโดยไม่หันกลับไปมองพวกเขาอีก
สองผู้เฒ่าได้แต่มองหน้ากันไปมา จิ้นเฮ่าโกรธจนหายใจหอบ ฉินเพ่ยหรงมองเขาด้วยความเป็นห่วง เธอช่วยลูบหน้าอกเขาไม่หยุด แต่กลับไร้ผลใดๆ ทั้งสิ้น เพียงไม่นาน จิ้นเฮ่าก็ตาเหลือก พลันร่างกายทรุดลงกองกับพื้น
จิ้นหยวนได้ยินเสียงกรีดร้องดังตามหลัง เขาชะงักกายเล็กน้อย สุดท้ายก็หมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องนั้นจนได้ และทันเห็นจิ้นเฮ่าล้มลงกองกับพื้นพอดี เขารีบวิ่งเข้าไปหยุดอยู่ข้างตัวจิ้นเฮ่าพลางตะโกนเรียกหมอเสียงดังลั่น ขณะที่ทีมแพทย์กำลังจะหามร่างจิ้นเฮ่าออกจากห้องนั้น ฉินเพ่ยหรงเห็นจิ้นหยวนแล้วพุ่งเข้าไปทั้งผลักทั้งดันเขาอย่างโกรธแค้น “ไปไกลๆ เลยนะ!”
ไล่เขาแล้วรีบวิ่งตามหมอออกไป ไม่แม้แต่จะมองหน้าจิ้นหยวน
การไร้ทายาทสืบสกุลเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดสำหรับจิ้นเฮ่าและฉินเพ่ยหรง แต่ลูกชายของพวกเธอกลับทำตัวเป็นศัตรูกับพวกเธอ ทำให้จิ้นเฮ่าโกรธจนโรคประจำตัวกำเริบ แล้วจะไม่ให้เธอโกรธได้อย่างไร?
จิ้นหยวนได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นนานสองนาน หลังจากได้ยินว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว เขาจึงเดินจากไปโดยมีสายตาโกรธแค้นของคุณแม่มองไล่หลัง
ฝีเท้าเขาหนักอึ้ง ขณะที่กำลังจะผลักประตูเปิดออกนั้น พลันได้ยินเสียงเธอดังลอยมาพอดี เขาชะงักนิ่งอยู่ชั่วครู่ เพิ่งรู้ว่าเธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
เขาหัวเราะเบาๆ เปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง เห็นเธอกำลังคุยโทรศัพท์กับคุณแม่ “โธ่ หนูบอกแล้วไงคะว่าตอนนี้กำลังกินข้าวนอกบ้าน พูดเสียงดังไม่ได้ค่ะ คุณแม่อยากได้อะไรก็บอกหนู เดี๋ยวหนูส่งไปให้”
ครั้งนี้จิ้นหยวนไม่ได้บอกให้คุณแม่เธอรู้ว่าเธอเข้าโรงพยาบาล หลังจากเธอฟื้นแล้ว เธอเองก็เห็นด้วยกับเขา จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ยังคงใช้ข้ออ้างที่บอกว่าออกไปเที่ยวกับจิ้นหยวนมาหลอกคุณแม่
เวินเยวี่ยฉิงเชื่อสนิทใจ เธอโทรศัพท์คุยกับเฉียวซือมู่ทุกวัน วันนี้ก็โทรศัพท์มาเหมือนเดิม
จิ้นหยวนนั่งลงข้างเธอ มองเธอทำปากจู๋ท่าทางออดอ้อนกับคุณแม่แล้วหลุดหัวเราะเบาๆ ทันใดนั้น เขาหวนคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ พลันหัวใจหนักอึ้ง
สุขภาพของคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ดีขึ้นเลย ตามที่หมอบอก เป็นเพราะช่วงวัยหนุ่มสาวทั้งสองต้องทำงานหนัก จนทำให้หัวใจไม่แข็งแรง เพิ่งจะอายุหกสิบสุขภาพก็แย่มากแล้ว แม้วิทยาการทางการแพทย์จะพัฒนาไปไกลมากแล้วก็ตาม แต่การหาศัลยแพทย์มือหนึ่งระดับโลกใช่ว่าสามารถรับรองได้ว่าการปลูกถ่ายหัวใจจะประสบความสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์
ตอนที่ 401 หมอฟังคุณคนเดียว
จิ้นหยวนครุ่นคิด เห็นทีครั้งนี้เขาคงต้องไปหาคนคนนั้นเสียแล้ว
เขาครุ่นคิดไปมา เฉียวซือมู่วางโทรศัพท์มือถือลง มองเขาด้วยความสงสัย “คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอคะ?”
เธอไม่ได้ถามว่าเหตุใดเขาจึงออกไปนานมากขนาดนั้น เพราะทุกคนล้วนมีความลับของตน จึงไม่มีความจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของอีกฝ่าย
จิ้นหยวนเองไม่ได้พูดมากเช่นกัน “เปล่า คุณหิวหรือยัง เดี๋ยวผมให้คนส่งของกินมาให้นะ”
เธอส่ายศีรษะ “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันยังไม่หิว เมื่อไหร่ถึงจะกลับบ้านได้คะ ฉันเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”
นั่นเป็นเพียงเหตุผลข้อแรกเท่านั้น เพราะยังมีอีกหนึ่งเหตุผล นั่นคือเธอลางานนานมากแล้ว ขืนลางานต่ออีก มีหวังถูกไล่ออกแน่
เธอคงเป็นพนักงานที่ลางานบ่อยที่สุดแล้วล่ะมั้ง เธอแอบคิดในใจ
จิ้นหยวนเอียงศีรษะมองเธอ คลี่ยิ้มพลางลูบศีรษะเธอเบาๆ “คิดอะไรอยู่? ต้องรออีกสักพักถึงจะกลับบ้านได้ อย่าใจร้อนสิ”
“ทำไมล่ะคะ? ฉันแข็งแรงขึ้นมากแล้วนะคะ” นอกจากวิงเวียนบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ทุกอย่างก็ดูปกติดี
“อย่าใจร้อนสิ เราต้องฟังหมอนะ” เขายังไม่ยอมอนุญาต
เธอบ่นอุบอิบอย่างไม่พอใจ “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ หมอน่ะฟังคุณคนเดียว”
เขามองเธอแล้วยิ้มๆ “คุณพูดว่าอะไรนะ?”
รอยยิ้มของเขาทำเธอสะดุ้งโหยง “เปล่า ไม่มีอะไรค่ะ”
เมื่อกี้สีหน้าเขาน่ากลัวจนเธอตกใจ
จิ้นหยวนจะยอมให้เธอออกจากโรงพยาบาลเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร เธอต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลให้หายดี จนกว่าเขาจะพอใจ
ด้วยเหตุนี้ ทีมแพทย์จึงต้องปฏิบัติตามความประสงค์ของเขาอย่างเคร่งครัด โดยการให้เธอกินยาบำรุงที่ดีที่สุดทุกวัน และให้เธอพักฟื้นที่โรงพยาบาลต่ออีกสองสัปดาห์
กระทั่งเธอทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงขู่จิ้นหยวนว่า หากยังไม่ยอมให้เธอกลับบ้าน เธอจะแอบหนีอออกจากโรงพยาบาลกลางดึก เขาจึงยอมอนุญาต
ช่วงที่เธอพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จิ้นหยวนขนอุปกรณ์ในการทำงานทั้งหมดมาไว้ในห้องคนไข้ เขาทำงานพลางคอยจับตาดูเธอพลาง เธอรู้สึกเหมือนตนเป็นหนูทดลองที่ถูกคนใช้แว่นขยายส่องอยู่ตลอดเวลาจนรู้สึกอึดอัดไปหมด
ในที่สุดเธอก็หมดความอดทน และได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้
เสี้ยววินาทีที่ก้าวเท้าออกจากโรงพยาบาล เธอรู้สึกเหมือนตนเป็นนักโทษที่ถูกคุมขังนับเดือน และได้รับการปล่อยตัวออกจากที่คุมขังเสียที จึงสูดอากาศแห่งความอิสระเข้าเต็มปอด
สีหน้าดื่มด่ำกับอิสระที่เพิ่งได้รับอย่างเต็มที่
เขาได้แต่ส่ายศีรษะให้กับท่าทางของแธอ จากนั้นโอบเอวเธอแล้วพากันเข้าไปนั่งในรถ
วันนี้อาฮุยทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถให้ทั้งสอง
เธออารมณ์ดีมากจนเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายเขาก่อน “อาฮุย ไม่เจอกันนานเลยนะ”
อาฮุยหน้าแดงซ่าน เหลือบมองจิ้นหยวนแวบหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ “สวัสดีครับคุณนาย”
เธอหัวเราะร่วน อยากจะคุยกับเขาอีก แต่จิ้นหยวนกระชับวงแขนที่โอบเอวเธอแน่นขึ้นด้วยความไม่พอใจ แสดงให้เธอเห็นอย่างชัดเจนว่าเขากำลังไม่พอใจอยู่นะ
เธอกลอกตาใส่เขา “คนขี้ใจน้อย”
คุยกับลูกน้องของเขาก็ไม่ได้หรือ?
แล้วเรื่องที่เธอแอบออกไปทำงานจะทำอย่างไรล่ะ? ถ้าเขารู้เข้า ไม่อาละวาดจนบ้านแตกหรือ?
ไม่ได้การ เสี้ยววินาทีนั้น เธอตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่บอกเขาเด็ดขาด
สายตาทรงอำนาจของเขาเหลือบมองอาฮุยแวบหนึ่ง อาฮุยเข้าใจความหมายทันที ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ขับรถโดยไม่กล้าเหล่มองพวกเขาอีก
อาฮุยขับรถตรงไปยังคฤหาสน์ของจิ้นหยวน เฉียวซือมู่มองจิ้นหยวนด้วยความแปลกใจ จิ้นหยวนยักคิ้วให้เธอ ทว่าไร้คำพูดและคำอธิบายใดๆ
เธอถอนหายใจเบาๆ โดยไม่พูดอะไรอีก
เธอรู้สึกขอบคุณเขามากที่พยายามปกป้องเธอ ความจริงหากไม่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เธอบาดเจ็บจนถึงขั้นเลือดตกยางออก แค่ความดีที่เขามีให้ เธอก็ไม่คิดที่จะย้ายออกจากที่นั่นแล้ว