เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย - ตอนที่ 518 ต้องหาตัวมาให้ได้ / ตอนที่ 519 คุณพูดอะไร
ตอนที่ 518 ต้องหาตัวมาให้ได้
เมื่อถึงเวลาเปิดการประมูล พวกเขาก็ต้องพบว่า คู่แข่งเก่าของจิ้นซื่อจะเอาชนะพวกเขาไปได้ และเป็นคนได้ที่ดินที่พวกเขาเล็งมานานไป พวกเขาเองก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้เชิญใครต่อใครหลายคนมาเข้าร่วมงานนี้ สำหรับราคาที่ ZF ต้องการก็พอที่จะมองออกอย่างชัดเจน เป็นไปไม่ได้เลยที่สิ่งที่พวกเขาทำการแลกเปลี่ยนมันจะน้อยกว่าคนอื่น
พวกเขาได้ไปสืบมาจากคนอื่น หลังจากที่รวบรวมความจริงออกมาแล้วก็พบว่า คู่แข่งของพวกเขาอย่างฉีซื่อกรุ๊ปได้เสนอราคาสูงกว่าพวกเขาไปเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ราคาที่เสนอไปมันมากกว่าไม่ถึง0.01เปอร์เซ็นต์เสียด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะด้วยความบังเอิญแบบนั้น ทำให้สามารถชนะจิ้นซื่อไปได้ด้วยตัวเลขที่สูงกว่าเพียงไม่เท่าไหร่ และได้สิทธิ์ในที่ดินผืนนั้นไปเต็มๆ
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของพวกเขาหลังจากที่ได้รู้ความจริง
หลังจากที่จิ้นหยวนได้รู้ข่าวพวกนั้นก็เริ่มการตรวจสอบทันที ตอนแรกคิดว่าคนที่รู้ความลับมันก็มีแค่ไม่กี่คน การที่จะหาคนผิดออกมาก็คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าทั้งๆที่หลินจื้อเฉิงทำการตรวจสอบทั่วทั้งบริษัทแล้ว แต่กลับยังไม่สามารถหาคนที่น่าสงสัยออกมาได้สักคน
ดวงตาดุจเหยี่ยวของจิ้นหยวนจ้องมองไปที่หลินจื้อเฉิง เขายืดตัวขึ้น ส่งสายตาเรียบนิ่งให้เขา “ฉันไม่ได้จะพูดแบบนั้นหรอกนะ”
จิ้นหยวนเลื่อนสายตากลับมา แล้วมองไปยังบนหน้าจอคอมพ์ของตัวเอง “ฉันไม่ได้จะบอกว่าแกโกหกฉัน แต่แค่ว่าตอนที่แกตรวจสอบเรื่องนี้อาจมีอะไรผิดพลาดไปก็ได้ ฉันเองก็ไม่เคยเชื่ออยู่แล้วว่าบนโลกนี้จะมีเรื่องที่บังเอิญแบบนี้อยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องมีสาเหตุเสมอ”
“แต่ว่า…” หลินจื้อเฉิงอดไม่ได้ที่จะถามสิ่งที่ตนเองคิดออกไป
แต่จิ้นหยวนก็พูดตัดบทขึ้นมา “เดี๋ยวฉันจะให้มู่หรงไปช่วยแกอีกแรง พวกเราจะต้องตรวจสอบทุกคนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มโครงการนี้ขึ้นมา ช้าสุดพรุ่งนี้ฉันต้องได้คำตอบ”
น้ำเสียงของเขาฟังดูกดดันสุดๆ แถมยังให้ความรู้สึกเหมือนว่าจะปล่อยให้เล็ดรอดไปไม่ได้เด็ดขาดอีกด้วย
หลินจื้อเฉิงเองก็จริงจังขึ้นมา ก่อนจะตอบรับออกไป
ในแววตาของจิ้นหยวรเผยรอยยิ้มเล็ก “ไปเถอะ ถ้าจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วฉันจะให้แกหยุดยาว”
หลินจื้อเฉิงตาเป็นประกายขึ้นมา “จริงหรือครับ?”
เขาตอบกลับเรียบๆ “ฉันเคยหลอกแกด้วยเหรอ”
หลินจื้อเฉิงหมุนตัวกลับอย่างดีใจ “ได้เลยครับ ผมจะต้องหาตัวไอ้สารเลวนั่นมาให้ได้เลย”
จะว่าไปแล้วก็เศร้าใจเหมือนกัน เขาเองก็ทำงานกับจิ้นหยวนมานานหลายปี กว่าจะได้วันหยุดยาวทีแค่มือข้างเดียวก็นับครั้งได้ ไม่แปลกใจเลยที่พอได้ยินจิ้นหยวนพูดแบบนั้น เขาก็เกิดความตื่นเต้นขึ้นมาทันที
พอจิ้นหยวนได้ยินเสียงประตูปิดลงแล้ว ก็มองไปที่ประตูบานนั้น ก่อนจะขมวดคิ้วเบาๆ เรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มจนจบมันก็ดูน่าแปลกใจไปเสียหมด ก็อย่างที่หลินจื้อเฉิงพูด โครงการนี้ถือว่าเป็นความลับมากๆ คนที่รู้เรื่องรายละเอียดและรู้ตัวเลขเป็นอย่างดีนั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หลินจื้อเฉิงก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ทำงานกับเขามาก็หลายปีแล้ว ถ้าหากว่าหมอนั่นเองก็ยังไว้ใจไม่ได้จิ้นหยวนก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปเชื่อใจใครได้อีก
แต่ว่า ตกลงเรื่องมันรั่วไหลออกไปได้ยังไงกัน?
หรือว่าจะเป็น…
เขารี่ตาลง ในใจมันเอาแต่คบคิดถึงคำถามนั่น
ที่จริงแล้วเรื่องนี้มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น มันก็แค่ที่ดินผืนหนึ่ง ในมือจิ้นซื่อเองก็มีที่ดินอยู่ไม่น้อย นั่นมันก็แค่ผืนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร สุดท้ายแล้วก็ค่อยแก้โครงการใหม่ก็ได้ แต่ที่เขากำลังให้ความสนใจคือการที่ข้อมูลมันรั่วไหลออกไป แถมยังรั่วไหลออกไปถึงคู่แข่งของตนอย่างฉีหย่วนเหิง
ตอนที่ 519 คุณพูดอะไร
เรื่องนี้จะต้องมีข้อสรุปออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้น สักวันข้อมูลความลับของบริษัทก็คงรั่วไหลออกไปอีก ถึงตอนนั้นแล้วสถานการณ์ตรงหน้าเขาจะต้องหนักกว่านี้แน่ๆ
จะต้องหาออกมาให้ได้!
เขาขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเงียบๆอยู่ในใจ
ผ่านไปไม่นาน หัวหน้าเลขาของเขาก็เดินเข้ามาในห้อง ในมือถือเอกสารชุดหนึ่งเพื่อนำมาให้เขาเซ็น
ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะเป็นยุคไอที แต่ก็ยังมีคนอีกหลายคนที่ต้องการให้เซ็นกับมือตัวเอง
จิ้นหยวนรับมันมา แล้วก้มดูเอกสาร แล้วเอ่ยถามขึ้น “ครั้งที่แล้วก่อนที่จะเอาเอกสารชุดนั้นมาให้ผมคุณแน่ใจหรือเปล่าว่าไม่มีใครเห็นมัน?”
เรื่องๆนี้ถือว่าเป็นความลับสุดยอด ในบรรดาเลขาของเขาก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้เรื่องนี้
วังชิงรีบพยักหน้าตอบ “ใช่ครับ ผมเอกสารเอาไว้อย่างดี ไม่มีใครเห็นมันแน่นอนครับ”
เขาเคาะนิ้วเรียวยาวลงบนโต๊ะอย่างใช้ความคิด ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “โอเค คุณออกไปเถอะ”
สีหน้าของวังชิงเองก็จริงจังไม่ใช่น้อย เป็นถึงหนึ่งในคนที่จิ้นหยวนไว้เนื้อเชื่อใจ ถึงแม้ว่าความไว้ใจจะยังเทียบเท่าไม่ได้กับหลินจื้อเฉิง แต่ตนก็ทุ่มเทและซื่อสัตย์ต่อเขามาก จึงพูดออกไปอย่างอดไม่ได้ “เรื่องนี้ผมไม่ได้ทำจริงๆนะครับ ได้โปรดเชื่อใจผมด้วยนะครับ”
จิ้นหยวนเองก็เห็นสีหน้าที่ดูกังวลของเขาแล้ว จึงพยักหน้า “วางใจเถอะ ผมไม่ได้สงสัยคุณ พวกมู่หรงเองก็แค่ทำตามหน้าที่ของพวกเขา”
สำหรับวังชิงเขาเองก็รู้จักเป็นอย่างดี เขาอยู่กับตนมานานหลายปีแล้ว ทำงานได้อย่างใจเย็นและว่องไว แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคนที่เก็บความลับได้ดี ไม่ช่างสอดรู้สอดเห็น เหมาะสมที่จะให้เป็นคนทำเรื่องเงียบๆ จิ้นหยวนค่อนข้างไว้ใจเขา และไม่เคยมีความสงสัยในตัวเขาเลย ดังนั้นพอเห็นว่าเขาดูไม่สบายใจจึงพูดปลอบเสียหน่อย
วังชิงมีสีหน้าปลื้มใจขึ้นมาทันที พออยากจะพูดอะไรอีก ก็พบว่าท่านประธานก้มหน้ามองบนโต๊ะไปเสียแล้ว ไม่ได้มองที่ตนอีก
จิ้นหยวนรออยู่ครู่หนึ่ง กลับพบว่าเขายังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน จึงเอ่ยถามขึ้น “คุณยังมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมหรือ?”
ที่จะสื่อก็คือมีเรื่องอะไรก็รีบๆพูดออกมา ไม่พูดก็ออกไปได้แล้วนั่นเอง แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายยังเอาแต่ลังเล เหมือนมีเรื่องอยากจะพูดแต่ก็ยังมีความกังวลอย่างไรอย่างนั้น
จิ้นหยวนจึงมองไปทางเขา “มีเรื่องอะไรจะพูดกับผม?”
อาจเป็นเพราะคำถามของเขาทำให้มีกำลังใจขึ้นมา เขาสูดหายใจเข้าลึก เหมือนว่ากำลังตัดสินใจอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะอ้าปากขึ้น “คือผม…ที่จริงผมยังมีเรื่องที่อยากบอกน่ะครับ”
จิ้นหยวนที่พอได้เห็นสีหน้าของเขาแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ จึงวางปากกาในมือลง และมองไปที่เขาอย่างจริงจัง “คุณจะพูดอะไรกันแน่?”
วังชิงมองเขาแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆก็เกิดลังเลขึ้นมาอีกแล้ว จิ้นหยวนเห็นแบบนั้นก็ขมวดคิ้วทันที “นี่คุณจะพูดอะไรกันแน่? หรือว่าคุณจะออกไปคิดข้างก่อนแล้วค่อยเข้ามาดีไหม?”
วังชิงส่ายหน้า “ไม่…ไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมแค่รู้สึกว่า ถ้าผมพูดออกไปท่านอาจจะไม่เชื่อผมก็ได้”
จิ้นหยวนยกแขนขึ้นกอดอกแล้วพิงหลังไปกับเก้าอี้ “คุณไม่พูดแล้วจะรู้ผลได้ยังไง?”
วังชิงถึงได้มีความมั่นใจขึ้นมาและกล้าที่จะพูดออกไป “งั้นผมจะพูดครับ แต่ว่าท่านประธานต้องสัญญาว่าจะไม่โกรธผม”
“ได้ ฉันสัญญา” จิ้นหยวนเห็นท่าทางของเขาแล้วก็พอจะรู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จริงตกปากรับคำออกไป ในใจคิดไปเกินครึ่งแล้วว่าเขาอาจจะทำอะไรผิด ถ้าเรื่องมันไม่ได้หนักหนาอะไรมากนักก็คงจะให้อภัยไป ถือเสียว่าเขาทำประโยชน์ให้ตนมานานหลายปี
แต่ทว่าสิ่งที่วังชิงพูดออกมานั้นทำเอาเขาต้องกลับมานั่งตัวตรง สีหน้าท่าทางที่มองเขานั้นทั้งจริงจังและโมโห “คุณพูดอะไร? ไหนลองพูดอีกทีสิ?”