ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 202
ฟ้าจะเปลี่ยนแล้ว
ฮ่องเต้เห็นว่าไทเฮาไม่เห็นด้วย ก็พอเดาความคิดของนางออก จึงยิ้มตรัสว่า “ไทเฮาวางใจได้ ในใจข้ามีใครอยู่ ในใจไทเฮาก็น่าจะรู้ดี ข้าบอกว่าอยากพบ ก็เพียงแต่อยากพบเท่านั้น มิได้มีความหมายอย่างอื่น”
ไทเฮาเบือนหน้าหนีไม่มองฮ่องเต้ ความไม่สบายในใจมิได้ลดลงเลย “วันนี้ที่ฝ่าบาทเสด็จมาก็เพื่อจะมาเยี่ยมเฉินยางหรือ แม่เด็กนั่นเพิ่งจะได้เรียนระเบียบ ท่าทางต่างๆ ก็ยังทำได้ไม่คล่อง หากล่วงเกินฝ่าบาทจะเป็นความผิดมหันต์ รอให้วันหลังนางเรียนระเบียบเสร็จแล้ว ข้าค่อยให้นางไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็ได้เช่นกัน”
ไทเฮาเห็นฮ่องเต้โตมากับตา นิสัยของเขานั้นนางย่อมรู้ดีกว่าใคร พระองค์ไม่มาที่นี่โดยไร้สาเหตุ ในเมื่อมาแล้ว ในพระทัยย่อมมีแผนบางอย่างเป็นแน่ ยิ่งพระองค์ซ่อนเอาไว้ ในใจไทเฮาก็ยิ่งไม่สงบ ตอนนี้พวกนางสองคนแม่ลูกล้วนอยู่ในกำมือของพระองค์ หากฮ่องเต้เป็นคนชั่วที่สามารถทรยศได้ เช่นนั้นแล้วพวกนางสองแม่ลูกก็คงต้องตายอยู่ที่เมืองหลวงเสียแล้ว
“ไม่ใช่ว่าไทเฮาไม่ชอบสะใภ้คนนี้หรือ ไฉนถึงให้ข้าพบหน่อยมิได้”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าข้าชอบหรือไม่ นี่เป็นกฎระเบียบในวัง ฝ่าบาทเป็นผู้สูงศักดิ์ ลดตัวลงมาเพื่อจะพบนาง แม่นางคนนี้วาสนามิได้ดีนัก ข้าเกรงว่านางจะรับวาสนานี้ไม่ไหว”
พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ฮ่องเต้จะดื้อรั้นต่อไปก็ไร้ความหมาย พระองค์ยืนขึ้นเอามือไพล่หลังแล้วเดินไปที่ประตู หลี่เต๋อจิ่งรอรับเสด็จอยู่ตรงนั้น พอเห็นฮ่องเต้เสด็จออกมาก็รีบเรียกคนเตรียมเกี้ยว ฮ่องเต้หันไปทอดพระเนตรไทเฮา ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา หลี่เต๋อจิ่งเห็นแล้วขนลุกทันที รอจนพ้นประตูตำหนักของไทเฮาแล้วถึงได้ทูลถามว่า “ฝ่าบาท ไทเฮานาง…”
ฮ่องเต้เหลือบมองเขา “บังอาจ เรื่องของข้าถึงเวลาที่เจ้าจะถามหรือ เก็บปากตัวเองไว้ให้ดีๆ สำคัญกว่าสิ่งใด เรื่องที่วันนี้ข้าไปเยี่ยมไทเฮาหากเจ้ากล้าพูดออกไปแม้แต่คำเดียว ข้าจะตัดหัวเจ้าเสีย”
ปากหลี่เต๋อจิ่งตอบรับไป ในใจกลับคิดว่า คงเพราะกลัวเฝิงเยี่ยไป๋รู้เข้าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น อย่างอื่นเขาไม่รู้ แต่แผนระหว่างพั่งไห่กับฮ่องเต้นั้น ช่วงหลายวันนี้เขาก็สืบทราบมาพอประมาณแล้ว ตั้งแต่อดีตวีรบุรุษก็ยากจะผ่านด่านหญิงงาม วิธีจัดการกับผู้ชายที่ได้ผลที่สุดก็คือผู้หญิง เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอให้โอกาสมาแล้วค่อยส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้เฝิงเยี่ยไป๋ รายละเอียดของแผนนั้นมีเพียงพั่งไห่และฮ่องเต้ที่รู้ ถึงตอนนั้นหากเกิดปัญหาขึ้นมาหรือเฝิงเยี่ยไป๋รู้ตัวเสียก่อน พั่งไห่ย่อมหนีไม่พ้นความผิดอย่างแน่นอน ถูกตัดหัวก็เป็นเพียงรับสั่งประโยคเดียวของฮ่องเต้มิใช่หรอกหรือ ยืมดาบฆ่าคน ทั้งสบายใจและไม่ทิ้งร่องรอย
ฮ่องเต้เงยพระพักตร์มองท้องฟ้า ท้องฟ้าขมุกขมัวหม่นหมอง เมฆดำซ้อนทับเป็นชั้นๆ หนักอึ้งจนเหมือนจะตกลงมาเช่นนั้น นกที่อยู่ตรงขอบฟ้าราวกับรอยหมึกที่หยดลงบนกระดาษ สะดุดตายิ่งนัก ฮ่องเต้ถอนหายใจ ทำเอาคนที่ปรนนิบัติอยู่ต่างตกใจจนตัวสั่น นี่พระองค์ยังมีสิ่งใดไม่พอพระทัยอีกหรือ เป็นไปไม่ได้ ก็ไม่เห็นว่าตอนที่ใครปรนนิบัติจะทำผิดพลาดอะไรนี่
“หลี่เต๋อจิ่ง”
ฮ่องเต้เรียก
หลี่เต๋อจิ่งรีบขึ้นไปคำนับแล้วฟังคำสั่ง ในใจหวาดกลัว “กระหม่อมมาแล้ว ฝ่าบาททรงมีรับสั่งอันใด”
“พรุ่งนี้ฝนจะตกหรือไม่”
ไฉนถึงได้ถามถึงเรื่องดินฟ้าอากาศขึ้นมา นี่เป็นงานของสำนักดาราศาสตร์ไม่ใช่งานของเขาเสียหน่อย แต่ในเมื่อฮ่องเต้ก็ถามขึ้นมาแล้วก็จำเป็นต้องตอบ ท้องฟ้าวันนี้มืดครึ้มยิ่งนัก พรุ่งนี้ต้องฝนตกแน่ๆ ตอบผิดก็ไม่กลัว อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่คนของสำนักดาราศาสตร์
“ทูลฝ่าบาท ท้องฟ้ามืดครึ้มเช่นนี้ พรุ่งนี้ต้องฝนตกแน่พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงกังวลถึงที่นาทางใต้หรือ”
“ฟ้าจะเปลี่ยนแล้ว!”
ฮ่องเต้ตรัสเสียงราบเรียบ