ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 213
ตอนที่ 213 หลังจากนี้พวกเราจะทำอย่างไร
ได้ทั้งคุยและหัวเราะกันไปแล้ว พริบตาเดียวก็ถึงตอนเที่ยง เฉินยางยังต้องกลับวังก่อนที่ประตูวังจะลงกลอนตอนกลางคืน บอกว่าจะไปอวี้เฉวียนซานจวงนี้ก็ต้องไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย
ผู้ดูแลของจวนอ๋องได้เตรียมรถม้าสองคัน ครอบครัวละหนึ่งคัน ส่วนนี้ก็เอาใจใส่ เฉินยางนั่งอยู่ในรถและเปิดผ้าม่านคอยมองไปข้างหลังอยู่ตลอด ก็ไม่รู้ว่าเหลียงอู๋เย่ว์เว่ยหมิ่นจะเป็นอย่างไรบ้าง คราวนี้นางไม่อยู่ พวกเขาก็คงไม่เขินอายเช่นนั้นแล้วกระมัง!
จู่ๆ เฝิงเยี่ยไป๋ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตนให้เจี่ยชีไปหาผู้ดูแลร้านที่ประวัติขาวสะอาดมาให้ ตามปกติแล้วคนอย่างพวกเขานั้นล้วนเป็นผู้ช่ำชองในยุทธภพ การจะหาคนจึงใช้เวลาเพียงแค่จิบชาเท่านั้น เพียงแต่เขาไปตั้งแต่เที่ยง กลางคืนเพิ่งจะกลับมา ถามเขา เขาก็ตอบอ้ำอึ้ง เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้กลัวว่าเขาจะทรยศ ทุกอย่างมีกฎ หากเขาทรยศ ไม่ต้องให้ตนลงมือ คนอื่นที่เขาซื้อกลับมาก็จะฆ่าเขาเอง
สุดท้ายหลังจากที่ถามอย่างละเอียดแล้วถึงได้รู้ว่า เจี่ยชีมีลูกสาวคนหนึ่ง ปีนี้หกขวบ เมื่อวานลูกสาวถูกแม่ของนางลงกลอนขังอยู่ในห้อง ภรรยาของเจี่ยชีเป็นคนไม่ระมัดระวัง นางคิดว่าเวลาออกไปซื้ออาหาร หากพาลูกสาวไปด้วยจะไม่สะดวก และก็กลัวลูกสาวจะวิ่งหลง จึงลงกลอนให้ลูกสาวอยู่ในห้อง ตอนที่กลับมาถุงเงินก็ถูกคนขโมยไปอีก กุญแจที่อยู่ในถุงเงินก็หายไปเช่นกัน ผู้หญิงเวลาเจอเรื่องไม่คาดฝันก็คิดไม่ออก จึงไปหาเจี่ยชี และก็บังเอิญว่า ตอนที่เจี่ยชีไปหาผู้ดูแลร้านอยู่นั้นเห็นเวลายังไม่เย็นจึงซื้อขนมให้ลูกสาวของตน เห็นภรรยาของเขากำลังเอาก้อนหินทุบประตู ลูกสาวร้องไห้อยู่ในบ้าน พอถามจนรู้เรื่องแล้วก็ถอนหายใจ หันหลังกลับไปจับโจร จากนั้นโจรก็ถูกจับได้ ถูกเขาตัดมือทั้งสองข้างทิ้ง เพียงแต่โจรนั้นเจ้าเล่ห์นัก ตอนที่ไล่ล่าตามหาอยู่นั้นเสียเวลาไปเล็กน้อย ถึงได้กลับมาช้า
เฝิงเยี่ยไป๋ได้ฟังเรื่องราวจากเขาแล้ว ในใจก็รู้สึกเศร้า คนที่ทำงานเช่นนี้ล้วนไม่มีลูกมีภรรยา เพราะกลัวถูกคนอื่นจับจุดอ่อนแล้วเอามาข่มขู่ได้ ผู้ว่าจ้างก็เลี่ยงที่จะจ้างมือสังหารที่มีลูกมีภรรยา หากมีคนเอาจุดนี้มาเล่นงานตัวเอง เก็บคนเช่นนี้ไว้อยู่ข้างตัวก็ไม่ปลอดภัย แต่ที่ทำให้เฝิงเยี่ยไป๋รู้สึกเศร้าไม่ใช่จุดนี้ ที่เขารู้สึกเศร้าคือ เขาเป็นมือสังหาร เป็นผู้ที่มือเปื้อนไปด้วยเลือด ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างเขาแม้แต่ลูกกับภรรยาก็มีครบแล้ว ส่วนตัวเขาเองจนถึงตอนนี้ก็ยังใช้ชีวิตที่แยกกันอยู่กับภรรยา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกเลย พวกเขาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้ร่วมหอกันเลยด้วยซ้ำ พอมาเทียบกันแล้ว เขาเศร้ายิ่งนัก ชีวิตที่ตัวเองเป็นอยู่คืออะไร!
แต่เฉินยางไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อย นางยังหันหน้ามายิ้มพูดกับเขาอยู่เลย “ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนจะเขินอายอยู่เช่นนั้นอีกหรือไม่ หากยังไม่ยอมคุยกัน วันหลังจะทำอย่างไรดี!”
เวลานางยิ้มสองตาจะหรี่โค้งเหมือนจันทร์เสี้ยว มองไม่เห็นลูกตา เหมือนดั่งร่องที่หรี่ลงมา นางคลี่ยิ้มกว้าง เผยฟันขาวสดใส แม้มิได้เป็นความงามที่ ‘ยิ้มแล้วมีเสน่ห์’ แต่เป็นความงามที่บริสุทธิ์ หากมองดูอย่างละเอียดยังจะสังเกตเห็นถึงความใสซื่อด้วยซ้ำ แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ รอยยิ้มนั้นกลับหวานล้ำเหมือนเข้ามาอยู่ในใจเช่นนั้น พอเห็นนางยิ้มขึ้นมา เขาก็รู้สึกราวกับดอกไม้บานในหัวใจ รู้สึกว่านางงดงามจนชวนให้หวั่นไหว
ลำคอของเขาแห้งผากขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ กลืนน้ำลายไปสองอึกแล้วปริปากพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ข้าสนใจว่าหลังจากนี้พวกเราสองคนจะเป็นอย่างไรมากกว่า”
คำพูดของเขาไม่สื่อความหมายออกมาตรงๆ ทำเอาเดาไม่ถูก เฉินยางไม่เข้าใจจึงถามว่า “พวกเราเป็นอย่างไรหรือ”
เฝิงเยี่ยไป๋ยื่นมือเข้าไปในเสื้อของนาง ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ มีเพียงเขากับนางสองคน ประตูรถม้าก็ปิดสนิท ข้างนอกจึงไม่รู้ถึงความเคลื่อนไหวที่อยู่ข้างใน เขาหัวเราะอย่างไม่ประสงค์ดีนัก มือไม้ก็เริ่มซุกซนอย่างไม่เกรงกลัวขึ้นมา