ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 251 ฤกษ์งามยามดี / ตอนที่ 252 บริสุทธิ์หรือไม่ต้องตรวจก่อนถึงจะรู้
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 251 ฤกษ์งามยามดี / ตอนที่ 252 บริสุทธิ์หรือไม่ต้องตรวจก่อนถึงจะรู้
ตอนที่ 251 ฤกษ์งามยามดี
ยังจะไปยืมเงินเว่ยหมิ่นอีก นี่ไม่ใช่ว่าตบหน้ากันชัดๆ หรือ เขายังไม่ถึงกับยากไร้จนถึงขั้นต้องไปยืมเงินคนอื่น เขาดึงนางกลับมา ความอ่อนโยนก่อนหน้านั้นหายไปหมดสิ้น ตอนนี้จะใช้กำลังขึ้นมา ทำเอาดูแล้วน่าตกใจ
“ยืมเงิน? เจ้าคิดว่าข้าตายไปแล้วหรืออย่างไร ข้าทำให้เจ้าจนแล้วหรือ อยากได้เงินรึ ได้เลย!” เขาดึงนางมากอดเอาไว้ แล้วก้มศีรษะพูดอยู่ข้างหูนาง จู่ๆ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป กวาดผ่านเบาๆ อยู่ข้างหูนาง “เว่ยเฉินยาง เจ้าร่วมหอกับข้า ข้าก็จะเอาเงินให้เจ้า เป็นอย่างไร”
ที่จริงแล้วเขาก็อยากจะรู้ว่านางจะทำเพื่ออิ๋งโจวได้ถึงเพียงใด เฉินยางได้ยินประโยคนี้ของเขา ก็เหมือนดั่งฟ้าผ่ากลางศีรษะ ผ่าจนไหม้ไปทั้งตัว เขาถึงกับพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้ เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนั้น นางตกใจจนพูดไม่ออก สองตาที่ฉายแววตกใจจ้องมองไปที่เขา ผ่านไปอยู่นานถึงได้พูดอย่างช้าๆ ว่า “ท่าน…เฝิงเยี่ยไป๋ คำพูดเยี่ยงนี้ท่านก็พูดออกมาได้ ท่าน…ต่ำช้า!”
เฝิงเยี่ยไป๋ที่พูดเช่นนี้ออกไปก็ไม่ได้รู้สึกดีนัก เขาเพียงอยากดูการตอบสนองของนาง ไม่ทันได้ระวัง ก็พูดแรงเกินไปเสียแล้ว กลับทำให้นางเสียใจ เพียงแต่ความโกรธของเขานั้นอย่างไรก็ไม่หาย ตัดเรื่องของอิ๋งโจวไปก่อน พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน การร่วมหอก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่นางหลีกเลี่ยงทุกครั้ง เขาก็ไม่ได้อยากจะบังคับนาง แต่หากต้องทนอยู่เช่นนี้ต่อไปจะต้องทนถึงเมื่อใด เขาทนไม่ไหวแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปมีหวังเขาได้กลายเป็นเซียนแล้ว เขาดูว่าวันนี้ก็เป็นฤกษ์งามยามดี ไม่ต้องหาเวลาอื่นแล้ว นางไม่ยอมก็ไม่เป็นไร จัดการกับนางให้อยู่หมัดบนเตียง จากนั้นค่อยปลอบทีหลัง คุยกับนางอีกสองวันก็ดีกันแล้ว นางจะแค้นเขาไปทั้งชาติได้หรือ
เขาทำใจแข็ง ลากนางออกจากโถงกินข้าวแล้วไปที่ห้องนอน ผู้ดูแลเห็นเข้าก็งง ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังหวานซึ้งกันอยู่เลย ไฉนพูดไปเพียงสองประโยคกลับทะเลาะกันขึ้นมาเสียแล้ว
เฉินยางไม่ยอมไปกับเขา ระหว่างทางก็ดิ้นไปไม่น้อย ทั้งเตะทั้งถีบ สุดท้ายก็กัดเขาไปเต็มแรง และกัดอยู่ที่ฝ่ามือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ เฝิงเยี่ยไป๋บีบแก้มนางเพื่อให้นางคาย นางฉวยโอกาสเหยียบเขา รอให้เขาปล่อยมือก็วิ่งไปทันที น่าเสียดายยิ่งนัก วิ่งยังไม่ทันถึงสองก้าวก็ถูกเขาไล่ทันแล้ว ในเมื่อไม่เชื่อฟัง เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องเกรงใจนางแล้ว เขารวบตรงหลังเข่านาง แล้วช้อนตัวแบกนางเหมือนดั่งแบกของเช่นนั้นไว้บนบ่า ระหว่างทางสาวใช้และขันทีเห็นเข้า ก็ไม่มีใครกล้าขวาง ล้วนถอยไปอยู่ข้างๆ อย่างรู้ตัว เฝิงเยี่ยไป๋จึงแบกนางไปถึงห้องนอนอย่างสะดวก
พอเข้าห้องไปก็ปิดประตู ทั้งยังลงกลอนประตูอีก ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ ไปที่เตียง โยนนางลงบนเตียงแล้วทาบทับบนตัวนางอย่างร้อนรน
เฉินยางตกใจมากมายกับท่าทางของเขาเช่นนี้ เมื่อครู่ถูกแกว่งไปมาสมองยังมึนๆ อยู่ ครั้นจะออกแรงก็ไม่ไหวอีก ตอนนี้พอได้แตะพื้น นางก็ชันศอกขึ้นมา กำลังจะลุกขึ้น ก็ถูกเฝิงเยี่ยไป๋กดร่างให้นอนกลับไปอีกครั้ง
ตอนนี้นางกลัวสุดขีด ทั้งตัวอ่อนเปลี้ยไปหมด ความดื้อด้านเมื่อครู่ก็ค่อยๆ หายไป น้ำเสียงยอมอ่อนลงเล็กน้อย “ท่านไม่มีเหตุผลหรือ คนเราต่อให้เป็นโจรจะจับขังคุกก็ยังต้องให้ศาลสอบสวนเอาหลักฐาน ท่านอาศัยอะไรมาตัดสินว่าข้าผิดเพียงประโยคเดียว รีบปล่อยข้าได้แล้ว!”
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ หากแต่สีหน้ากลับมีความจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับไม่ได้ยินนางอย่างไรอย่างนั้น หลังจากที่พินิจมองนางอย่างละเอียดอยู่นาน ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นมือไปถอดชุดของนางทันที
——
ตอนที่ 252 บริสุทธิ์หรือไม่ต้องตรวจก่อนถึงจะรู้
พระจันทร์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น เหล่าขันทีในจวนท่านอ๋องเริ่มจุดโคมไฟ คืนนี้ไม่มีแสงดาว เสียงร้องของจักจั่นดังสลับไปมา คนที่อยู่ข้างนอกไม่รู้ความเคลื่อนไหวที่อยู่ข้างใน คนฉลาดก็แกล้งทำเป็นคนตาบอด ต่อให้อยากรู้ก็ไม่กล้าขยับเข้าใกล้ เฝิงเยี่ยไป๋เริ่มกุมอำนาจแล้ว พวกเขานั้นก็เป็นเพียงหมากที่ถูกพวกเขาใช้งาน คำสั่งลงมาเป็นทอดๆ พวกเขาได้แต่ต้องทำตาม ส่วนเหตุผลคืออะไร พวกเขาล้วนไม่มีใจจะถามทั้งนั้น
เฉินยางเหมือนปลาที่เพิ่งถูกจับขึ้นมาจากน้ำแล้ววางอยู่บนเขียง ตอนแรกยังพอจะดิ้นไปมาได้ สุดท้ายหมดแรงแล้ว ดิ้นไม่ไหวแล้ว ถูกเขากดแขนขาเอาไว้ ราวกับเตรียมถูกตีตรวนลงโทษอย่างไรอย่างนั้น
คราวนี้นางได้รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของเฝิงเยี่ยไป๋อย่างแท้จริงแล้ว เวลาที่เขาโกรธจริงๆ ไม่ใช่ตะโกนโหวกเหวก แต่เป็นอย่างตอนนี้ ไร้สีหน้าใดๆ เม้มปากแน่น ไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว ลงมือเท่านั้น ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
กระดุมที่คอเสื้อถูกปลดแล้ว จากนั้นก็ปลดตามลงไปเรื่อยๆ บดบังความงามไว้ไม่มิด ในสายตาของเขามีเพียงนางเท่านั้น ใส่อย่างอื่นไม่ลงอีก ตอนนี้เขาขาดสติอย่างสิ้นเชิง เริ่มไม่สนใจสิ่งใดแล้ว
อย่างไรเสียพละกำลังระหว่างชายหญิงก็ต่างกันมาก นางตัวเล็กเช่นนี้อีก พอถูกปกคลุมด้วยเงาของเขา ก็ยิ่งทำให้นางตัวเล็กราวกับเด็ก นางคว้าคอเสื้อไว้สุดแรงเกิด รู้สึกเพียงว่าที่เฝิงเยี่ยไป๋เป็นเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเสือที่หิวโหยมาทั้งฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิเพิ่งมาถึงจึงได้ลงจากเขา กำลังจะกลืนนางลงท้อง แต่นางดันไม่มีแรงที่จะสู้กับเขาเลยสักนิด เหลือเพียงปากที่ตะโกนได้
ด่าไปก็ไร้ผล เฝิงเยี่ยไป๋ไม่สนใจวิธีนี้ของนาง ทำเป็นไม่ได้ยิน ทำเพียงสิ่งที่ตัวเองจะทำ ทั้งท่อนบนท่อนล่าง สุดท้ายทนความหงุดหงิดไม่ไหว จึงกระชากตรงๆ เสื้อนอกร่วงอยู่ที่พื้นเบาๆ นางอึ้งเล็กน้อย น้ำตาไหลรินออกมา “ท่านปล่อยข้านะ! ปล่อยข้า! ปล่อยข้า! เฝิงเยี่ยไป๋ ท่านบ้าไปแล้ว!”
เขาถึงได้หยุดลง มองนางด้วยแววตาเย้ยหยัน “ข้าบ้า? ใช่! ข้ามันบ้า อดทนจนเป็นบ้าไปแล้ว!”
นางจ้องมองเขา สองตาแดงก่ำ “ระหว่างข้ากับท่านหมออิ๋งโจวไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นท่านที่คิดผิดเพี้ยนไปเอง ท่านหมออิ๋งโจวรักษาข้า แถมยังช่วยชีวิตข้าอีก เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้า แต่ท่านเล่า ท่านถึงกับใส่ร้ายพวกเราเช่นนี้!”
เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป อาจจะเพราะอารมณ์ที่เก็บกดมานานล้วนกองอยู่ที่เดียว วันนี้หาข้ออ้างได้ก็จะระบายออกมาทั้งหมด เขาเองก็อยากให้ระหว่างพวกเขาไม่มีอะไร แต่กระนั้นก็ยังไม่วางใจ เขาไม่ได้โกรธนางที่เป็นห่วงอิ๋งโจว นางจะเอาเงิน สามารถขอกับเขาตรงๆ ก็ย่อมได้ แต่นางกลับจัดงานเลี้ยงหงเหมินที่ไม่จำเป็นนี้ เช่นนี้แล้วจึงทำให้เขากลายเป็นคนชั่วที่ไม่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเอาเสียเลย นางปฏิบัติกับอิ๋งโจวราวกับคนในครอบครัว แต่กับเขาแล้วกลับห่างเหินเช่นนี้ จะขอเงินยังต้องจัดโต๊ะอาหารอีก ที่เขาแค้นคือเรื่องนี้
ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำร้ายจิตใจของนาง ในใจเขาก็ไม่ได้รู้สึกดี แต่เขาก็ไม่อาจหยุดในตอนนี้ แม้จะฟังนางอธิบายทว่าท่าทีก็ไม่ได้เบาลงเลย กลับยิ่งรุนแรงมากขึ้น มือหนึ่งบีบแก้มนาง อีกมือก็เช็ดน้ำตาให้นาง “จะไม่มีอะไรกันจริงหรือไม่ รอให้ข้าตรวจดูเดี๋ยวก็รู้เอง”
นางตกใจอย่างแรง ยกมือฟาดใส่หน้าเขาทันที ที่ฟาดไปนั้นทำเอามือนางเจ็บ บนหน้าเฝิงเยี่ยไป๋เผยรอยนิ้วมือห้านิ้วทันที หน้าของเขานั้นนิ่มยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก พอฟาดลงไป หน้าก็บวมขึ้นมาทันที เฉินยางดูแล้วรู้สึกตกใจมาก จึงเอามือไปลูบด้วยความร้อนรน “ท่าน…ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”