ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 265 ทรงเสน่ห์ตั้งแต่เกิด / ตอนที่ 266 เที่ยวหอนางโลม
ตอนที่ 265 ทรงเสน่ห์ตั้งแต่เกิด
ดูละเอียดเสียจริง เฝิงเยี่ยไป๋คิด ทูลอย่างไม่รีบร้อนว่า “กระหม่อมเพียงรู้สึกว่าที่บรรดาใต้เท้าพูดนั้นล้วนมีเหตุผล เพียงแต่ฝ่าบาทจะทรงฟังทุกคนก็ไม่ได้ ตอนแรกก็คิดจะแบ่งเบาภาระให้ฝ่าบาท เพียงแต่กระหม่อมร้างราจากงานในราชสำนักมานาน เรื่องการทหารก็ยิ่งจนปัญญา โปรดทรงอภัยให้กระหม่อมที่มิอาจแบ่งเบาภาระให้ฝ่าบาทได้พ่ะย่ะค่ะ”
เขาใช้การที่ตนจากไปสิบกว่าปีนี้มาเป็นข้ออ้าง ฮ่องเต้ย่อมไม่อาจทำอะไรเขาได้ ตรงกันข้าม หากเขาสามารถเสนออะไรออกมาได้ ฮ่องเต้กลับจะสงสัยขึ้นมาเสียอีกว่าเขาคิดไม่ซื่อ เพียงแต่ฮ่องเต้ก็ยังคงไม่เชื่อว่าในหัวเขาจะไม่มีความคิด เขามีความคิดมากมายเท่าไรก็จะเผยต่อพระพักตร์ไม่ได้ ในเมื่อถามตรงๆ แล้วไม่ได้ความ เช่นนั้นแล้วก็ได้แต่แอบสืบแล้ว
“หากเจ้าพูดเช่นนี้ เราก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็กลับไปเสียเถิด กลับไปแล้วคิดให้ดีๆ เรายังคงมั่นใจในตัวเจ้าอยู่”
เฝิงเยี่ยไป๋คิดว่าฮ่องเต้จะยังหาเรื่องเขาอีก ความคิดนับร้อยพันวนเวียนในหัว แต่สีหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยน แสร้งพูดชมเอาใจอยู่เล็กน้อย ก็ถอยออกจากตำหนักไท่เหอไป
ฮ่องเต้เหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก คิดอย่างไรก็คิดหาทางออกไม่ได้ จึงรับสั่งให้เรียกพั่งไห่มาแล้วถามด้วยสีหน้ากังวลว่า “เรื่องที่เราสั่งให้เจ้าทำเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
พั่งไห่โค้งคำนับแล้วคุกเข่าลงพื้น “ทูลฝ่าบาท ฝ่าบาทวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ ได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนได้พบหน้ากันแล้ว ดูแล้วภาพลักษณ์ก็ไม่แย่”
ฮ่องเต้ตอบอืมเบาๆ “เรื่องนี้เจ้าดูแลให้เราดีๆ หน่อย รีบร้อนเกินไปไม่ได้ แต่จะให้ไม่คืบหน้าเลยก็ไม่ได้ ตอนนี้มีเรื่องหนึ่ง เจ้ารีบไปสั่งนาง ให้สืบเบื้องลึกของเขามาให้เราจงได้ ให้นางหาโอกาสแล้วปีนขึ้นไป รอให้งานเสร็จ รางวัลของนางย่อมไม่น้อยแน่นอน”
พั่งไห่ทูลว่า “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรับทราบ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้”
เหล่าผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่ทรงเสน่ห์ตั้งแต่เกิดนั้น เกิดมาก็เป็นยาอย่างหนึ่งแล้ว กินเข้าไปทำเอาหลงหัวปักหัวปำได้ แยกซ้ายขวาหน้าหลังไม่ออก ก่อนหน้านี้เคยได้พบกันรอบหนึ่งแล้ว เมื่อมีจุดเริ่มที่สมเหตุสมผล จะพบกันอีกครั้งก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปตามครรลองหรอกหรือ
ฮ่องเต้นั้นรีบร้อนเกินไป ไม่เช่นนั้นหมากดีๆ เช่นนี้ เก็บเอาไว้ปล่อยสายเบ็ดให้ยาวเพื่อจะตกปลาตัวใหญ่[1]ไม่ดียิ่งกว่าหรือ พั่งไห่เห็นกับตาตัวเอง ตั้งแต่ที่ฮ่องเต้เอาราชโองการจากไทเฮากลับมาแล้วเปิดดูนั้น สีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไปทันที แถมยังสั่งให้เขาไปที่กรมความลับทหาร ถามว่ามีของที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเหลือเอาไว้หรือไม่ กรมความลับทหารตอบอย่างไร ย่อมไม่มีแน่นอน เขาจึงกลับมาทูลฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็ทำท่าเหมือนกำลังจะเจอศัตรูเช่นนั้น ราชโองการไม่เผา กลับเก็บไว้ดีๆ เสียอีก
เขาเองก็คาดเดา หรือว่าที่เขียนอยู่ข้างในนั้นจะเป็นชื่อของเฝิงเยี่ยไป๋จริง แต่พอมาคิดอย่างละเอียดแล้วก็ไม่ถูกอีก หากเป็นชื่อของเฝิงเยี่ยไป๋จริง ฮ่องเต้คงเผาราชโองการไปนานแล้วจากนั้นก็สั่งประหารเฝิงเยี่ยไป๋ ไฉนถึงได้ให้เขาเข้าท้องพระโรงเพื่อหารือราชกิจอีก
เพียงแต่เดาคือเดา ตอนนี้เรื่องยังไม่ชัดเจน เดาไปก็เสียเปล่า ทำงานของตนเองให้ดีๆ เสีย ขยันปรนนิบัติอยู่ข้างพระกายฮ่องเต้ ฉวยโอกาสเหมาะไต่เต้าขึ้นไป อำนาจเงินทองย่อมไม่น้อยแน่นอน
เฝิงเยี่ยไป๋ออกจากประตูวังไปก็ไม่ได้ตรงกลับจวน วันนี้ตอนเช้าก็เพิ่งตัดศีรษะขุนนางที่ออกมากราบทูลไป เหล่าขุนนางทั้งสำนักต่างหวาดผวา พอเลิกราชกิจก็คงต้องรวมตัวกันพูดคุยกันอีก รวมตัวกันอยู่ในบ้านถูกคนนินทาได้ง่ายนัก หากวันใดโชคไม่ดี ถูกตั้งข้อหาว่ารวมตัวก่อกบฏจะแย่เอา อยู่ข้างนอกยังจะดีเสียกว่า ไม่ต้องหลบใคร มีเรื่องอะไรจัดการก็ง่าย
ผู้ดูแลไปรับเขาด้วยตัวเอง เขามองผู้ดูแลเหมือนคิดอะไรอยู่ ก่อนจะสั่งให้พาไปยังหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง
——
[1] ปล่อยสายเบ็ดให้ยาวเพื่อจะตกปลาตัวใหญ่ เป็นสำนวนจีนหมายถึง วางแผนระยะยาวโดยไม่รีบหวังผล เพื่อให้ได้รับประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้น
ตอนที่ 266 เที่ยวหอนางโลม
ผู้ดูแลเองก็เป็นคนที่ฉลาด แต่เดิมเคยเป็นขันทีที่ทำงานอยู่ที่กองพระภูษา เพราะทำงานฉลาดว่องไว จึงถูกพั่งไห่เลือกมาปรนนิบัติที่จวนอ๋อง ตอนที่มาคนผู้นั้นได้สั่งเอาไว้ บอกว่าเป็นราชโองการของฮ่องเต้ ให้เขาเฝ้าจับตาเฝิงเยี่ยไป๋ตลอดเวลา หากมีความเคลื่อนไหวอะไรก็ให้รายงานทันที เพียงแต่ตอนนั้นยังเป็นเวลาที่เฝิงเยี่ยไป๋ยังไม่ได้เข้าร่วมราชกิจ ตอนนี้เฝิงเยี่ยไป๋เข้าร่วมราชกิจแล้ว ต้องปรนนิบัติอย่างระวังทุกๆ ด้าน ข่าวในวังกระจายเร็วนัก เรื่องที่ขุนนางถูกตัดศีรษะตอนเช้าเพราะเฝิงเยี่ยไป๋นั้น ไม่ทันไรก็แพร่กระจายไปทั่วแล้ว ฮ่องเต้นั้นคิดอะไรอยู่ก็ไม่พูดกับคนข้างล่าง สุดท้ายแล้วที่ลำบากก็ยังคงเป็นคนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างล่าง
พั่งไห่ยังไม่ทันได้มาส่งข่าว เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจ กลัวว่าถึงเวลาจะถูกฮ่องเต้นำไปประหารอีก จึงได้แต่ปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง ได้ยินเขาพูดอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น
เฝิงเยี่ยไป๋เท้าศอกยันศีรษะไว้หลับตา จู่ๆ ก็นึกถึงเฉินยาง เขาตกใจแล้วลืมตาขึ้น หัวใจเต้นตึกตัก หากนางรู้ว่าตัวเองไปหอนางโลมแล้วจะตอบสนองอย่างไร ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ในจวนทำอะไรอยู่ ไม่มีใครเล่นเป็นเพื่อนนาง ตัวนางเองก็น่าจะเบื่อหน่ายเต็มทนแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องป่วยแน่ๆ เขายิ่งคิดก็ยิ่งไม่สงบ จึงเปิดม่านรถแล้วถามผู้ดูแลว่า “วันนี้พระชายาอยู่ที่จวนทำอะไรบ้าง ตอนที่เจ้าออกมานางทำอะไรอยู่”
ผู้ดูแลตอบ “พระชายาตอนเช้าไปเยี่ยมท่านหมออิ๋งโจว ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่สวนคุยกันเล็กน้อย พระชายาดูแล้วท่าทางดีใจพอสมควร หลังจากกลับจากท่านหมออิ๋งโจวนั้นก็เดินเล่นอยู่ในจวนคนเดียว วันนี้อากาศร้อน ไม่ทันไรก็กลับไปแล้ว หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดก็กินขนมดื่มชา จากนั้นก็หลับอยู่ตลอด เมื่อครู่ตอนที่ข้าน้อยออกมาพระชายาก็ตื่นแล้ว บอกว่าจะรอท่านอ๋องกลับไปกินข้าว ดูแล้วท่าทางร้อนรนไม่น้อย”
เฝิงเยี่ยไป๋ถอนหายใจเบาๆ น่าเสียดายนัก นางรอเขากลับไปกินข้าว ตอนนี้เขากลับจะไปที่หอนางโลม ถึงกับผิดต่อความตั้งใจของนาง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อนาง จึงสั่งอีกว่า “ส่งคนกลับไปบอกพระชายา บอกว่าข้าไม่กลับไปกินข้าวแล้ว ให้นางกินไปก่อน กินเสร็จแล้ว ก็ให้คนปรนนิบัตินางพักผ่อนเสียเถอะ”
ผู้ดูแลขานรับ คิดไปแล้วสองคนนี้ก็เป็นสามีภรรยาชาวบ้านมาก่อน ความผูกพันไม่เหมือนกันจริงๆ ไปหอนางโลมหาแม่นางยังต้องกลับไปแจ้งที่จวนอีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าพระชายาท่านนั้นอายุน้อย ใจจะแคบด้วยหรือไม่ เมื่อวานทั้งสองคนเพิ่งจะทะเลาะกัน ความเคลื่อนไหวในห้องไม่น้อย ได้ยินว่าต้นเหตุเหมือนจะมาจากท่านหมออิ๋งโจว ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้จะทะเลาะอีกหรือไม่
หอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงนั้นชื่อว่าฉื่อเจียนฝูเซิง(ลอยล่องท่องโลกา) เพียงแค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกสง่าแล้ว ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่ชื่อสง่า การตกแต่งที่อยู่ข้างในก็ดีที่สุดในเมืองหลวง ที่นี่มิได้ต้อนรับเพียงผู้ชายเท่านั้น แม้แต่ผู้หญิงก็ต้อนรับเช่นกัน ไม่ว่าคุณหนูหรือฮูหยินของตระกูลร่ำรวยก็มาอยู่บ่อยๆ บ้างก็มาดื่มชาชมละคร บ้างก็มาจับชู้ตรงๆ เพียงแต่เรื่องจับชู้นี้มีไม่บ่อยนัก เถ้าแก่หอนางโลมนี้จัดการเรื่องนี้ได้เก่งนัก ชั้นหนึ่งชั้นสองต้อนรับลูกค้าเพียงดื่มชาชมละคร ชั้นสามถึงจะเป็นโลกเสเพล ที่ตรงนั้นถึงจะเป็นที่ที่ผู้หญิงห้ามเข้า ไม่สนว่าจะเป็นฮูหยินบ้านใด ล้วนไม่ให้เข้าทั้งสิ้น ผู้ที่มาที่นี่ ในสิบคนมีห้าคนเป็นข้าราชการ แม้ราชสำนักจะมีกฎอย่างชัดเจนว่าห้ามข้าราชการมาสถานเริงรมย์ เพียงแต่ราชสำนักไม่ได้มีข้าราชการที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ พอห้ามไม่ไหว ต่างก็รู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้น
ไปดูเสียหน่อยก็ดี ในวังระเบียบมีมาก พูดจาก็ต้องระวัง ข้างนอกไม่เหมือนกัน ได้ยินคำพูดที่เป็นความจริงแท้ที่ไม่ได้ยินในวังอยู่มากมาย