ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 279 สุนัขที่ข้าเลี้ยงมีเพียงข้าเป็นเจ้านายได้คนเดียว / ตอนที่ 280 ขายังสั่นอยู่เลย
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 279 สุนัขที่ข้าเลี้ยงมีเพียงข้าเป็นเจ้านายได้คนเดียว / ตอนที่ 280 ขายังสั่นอยู่เลย
ตอนที่ 279 สุนัขที่ข้าเลี้ยงมีเพียงข้าเป็นเจ้านายได้คนเดียว
เฉาเต๋อหลุน ชื่อเรียกง่ายดี เฝิงเยี่ยไป๋พูดทวนเล็กน้อย แล้วแสยะยิ้มพูดว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ดูแลของจวนอ๋อง เรื่องบางเรื่องพวกเราก็ต้องพูดให้ชัดเจน พวกเจ้าก็อย่าได้คิดว่าข้าเป็นคนโง่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเชียว ข้ารู้ พวกเจ้ามาจากในวัง นำคำสั่งจากเบื้องบนลงมาอีก เพียงแต่จะเป็นบ่าวรับใช้ก็ต้องมีท่าทีของบ่าวรับใช้ เจ้าเคยเห็นคนสองบ้านเลี้ยงสุนัขตัวเดียวหรือไม่ ในเมื่อเจ้านายของเจ้าส่งเจ้ามาอยู่กับข้า เช่นนั้นแล้วต่อหน้าคนอื่นข้าก็เป็นเจ้านายของเจ้า เพียงแต่ข้าไม่อาจยอมรับความผิดพลาดได้ หากสุนัขที่ข้าเลี้ยงมีเจ้านายอื่นอยู่ในใจ แล้วเห่าใส่ข้าอย่างไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เช่นนั้นข้าก็ต้องจับมันไปต้มเข้าสักวัน เจ้าจำไว้ หากข้ายังดีๆ อยู่ พวกเจ้าก็มียังชีวิตรอด หากข้าถูกคนอื่นใส่ร้ายแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา พวกเจ้าก็จะต้องตายไปด้วยกัน”
เฉาเต๋อหลุนกระตุกเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อแล้วคุกเข่าลง “ข้าน้อยโง่เขลานัก ขอให้ท่านอ๋องออกคำสั่ง หากพวกข้าน้อยมีสิ่งใดที่ปรนนิบัติไม่ดี ขอให้ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย”
เป็นละครแกล้งโง่ที่ใช้ในวังอีกแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋ดูจนเบื่อเต็มทน “พอได้แล้ว ไม่ต้องมาแกล้งโง่กับข้าแล้ว ข้ารู้ เจ้าก็เข้าใจ ตัวเองคิดดูให้ดีๆ จะภักดีกับฝั่งนั้นหรือภักดีฝั่งนี้”
วันนี้คนที่ขับรถม้าเปลี่ยนคนไปแล้ว เฉาเต๋อหลุนคุกเข่าอยู่ที่พื้นเหม่อลอยอยู่นาน ผิดพลาดที่ใดหรือ ตกลงผิดพลาดที่ใดหรือ ทุกฝีก้าวล้วนระวังหมด คำพูดเมื่อครู่คืออะไรหรือ เตือนเขานั่นเอง! เหล่าคนที่มาที่นี่ ล้วนถูกฮ่องเต้จัดมาให้อยู่จวนอ๋อง ตอนแรกก็หวังในบางอย่างอยู่แล้ว งานที่ฮ่องเต้รับสั่งลงมา จะไม่ทำด้วยความภักดีได้หรือ เพียงแต่ตอนนี้ตนถูกคำพูดของเขาสองสามประโยคสั่นคลอนจิตใจเสียแล้ว
อยู่ข้างฮ่องเต้เหมือนดั่งอยู่ข้างเสือ จะถูกตะปบตายเมื่อใดก็ไม่แน่ อีกอย่างพระทัยฮ่องเต้คาดเดายากนัก เมื่อไม่นานมานี้ยังเป็นศัตรูหับเฝิงเยี่ยไป๋ เหมือนดั่งน้ำกับไฟ เพียงแต่นี่ก็เพิ่งผ่านไปสองวัน ชื่อเสียงอำนาจเงินทองที่ท่านอ๋องควรจะมีก็มีครบแล้ว ที่เฝิงเยี่ยไป๋พูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ทั้งสองฝั่งจะภักดีได้เพียงฝั่งเดียว บางทีก่อนหน้านี้เฝิงเยี่ยไป๋อาจจะรู้อยู่แล้วว่าที่พวกเขามานี้มีเป้าหมายบางอย่าง เพียงแต่วันนี้เพิ่งพูดออกมาตรงๆ ฮ่องเต้ระแวงยิ่งนัก หากมีสักวันที่ได้ฆ่าเฝิงเยี่ยไป๋สมพระทัย นั่นก็คงเป็นโทษใหญ่ขนาดประหารเจ็ดชั่วโคตร ชื่อของพวกเขาเหล่านี้ก็แขวนอยู่ในจวนอ๋อง ถึงตอนนั้นก็ไม่พ้นมีโทษแน่ๆ บวกกับที่พวกเขารู้เรื่องภายในมากมายเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้จะยังให้พวกเขามีชีวิตอยู่อีก
เพียงแต่จะให้พวกเขาทรยศฮ่องเต้ตอนนี้ก็ทำไม่ได้ หลอกลวงเบื้องสูงเป็นโทษหนัก อย่างไรก็ต้องตาย อยู่ในวังก็ไม่มีทางรอด นึกไม่ถึงว่าออกนอกวังแล้วก็ยังต้องตายอีกเช่นกัน
เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋รู้สถานะของพวกเขา หลังจากนี้ต้องมีการป้องกันเป็นแน่แท้ นำข้าวกลับไม่ได้ ในวังจะสงสัย หากหลุดข่าวออกไป เฝิงเยี่ยไป๋ย่อมไม่ปล่อยพวกเขา การต้องอยู่ระหว่างกลางนี้ช่างตัดสินใจลำบากนัก
ตอนนี้เฝิงเยี่ยไป๋มีความมั่นใจ อยู่ในท้องพระโรงนั้นฟังราชกิจอยู่ครึ่งค่อนวัน และก็ได้ยินฮ่องเต้ตรวจฎีกาเรื่องเกี่ยวกับทุจริตโกงกินมากมาย ราชสำนักในตอนนี้ก็เหลือเพียงเปลือกนอกแล้ว ข้างในถูกกัดกินจนว่างเปล่า เวลาเช่นนี้คิดจะดึงขุนนางเข้าหาตัวเองช่างง่ายเสียกระไร
ฮ่องเต้ต่างจากซู่อ๋อง แม้ว่าซู่อ๋องจะอายุน้อยกว่าฮ่องเต้ เพียงแต่ความสงบนิ่งกลับไม่แพ้ฮ่องเต้เลย เวลานั้นเหล่าขุนนางต่างบอกว่าเขามีความสามารถที่จะช่วยงานราชกิจ เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋ไม่คิดเช่นนั้น ซู่อ๋องรับภาระยิ่งใหญ่ได้ดียิ่งกว่าฮ่องเต้ ตอนยังเด็กเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับซู่อ๋องมากนัก ตอนหลังเมื่อได้กลับมาที่เมืองหรู่หนานกลับเคยทำการค้าด้วยกันสำเร็จอยู่หลายครั้ง หากใต้หล้านี้จะเปลี่ยนผู้ครอง ย่อมต้องเป็นซู่อ๋องอวี่เหวินยางแน่นอน
——
ตอนที่ 280 ขายังสั่นอยู่เลย
เฉินยางนอนถึงตอนเที่ยงก็ยังไม่หายง่วง หากไม่ใช่สาวใช้เรียกนางลุกขึ้นกินข้าว ไม่แน่ว่าจะนอนไปถึงไหนต่อไหน
เรื่องของเมื่อคืนมีคนปากมากเที่ยวโพนทะนาไปทั่วจวนอ๋องแล้ว ตอนที่สาวใช้สองคนข้างตัวนางเข้ามาปรนนิบัตินั้น ล้วนกลั้นหัวเราะไว้ อยากจะถามนางว่ามีความรู้สึกอย่างไรแต่ก็ไม่กล้าถาม
เฉินยางอายหนักมาก เอาผ้าห่มคลุมร่างไม่ยอมลุกขึ้นมา นางนิสัยดี อยู่ที่นี่นานขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่เคยชักสีหน้าใส่คนใช้เลย สาวใช้ทั้งสองคนสบตากันเอง แล้วกล่อมนางด้วยความใจกล้าว่า “ท่านอย่าได้อายเลย นี่เป็นเรื่องดี ท่านและท่านอ๋องสามีภรรยาอยู่อย่างมีความสุข ทำบ่อยๆ เข้า ไม่แน่วันใดก็จะมีท่านอ๋องน้อยแล้ว ถึงตอนนั้นก็ไม่กลัวท่านอ๋องจะแต่งใหม่อีก ภรรยาหลวงของท่านวางอยู่ที่นี่ นั่นก็เป็นความรุ่งเรืองตลอดชีวิต ใต้ฟ้านี้ไม่มีใครมีชีวิตที่ดีไปกว่าท่านอีกแล้ว
ยังจะมีอ๋องน้อยให้เขาอีก โกรธเขายังพอว่า ไม่ใช่นางไม่อยากลุก เพียงแต่ทั้งตัวปวดเมื่อยไม่มีแรง จนถึงตอนนี้ขายังสั่นอยู่เลย
“ข้า… ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากลุก” นางโผล่ศีรษะออกมา “ข้าอยากอาบน้ำ”
เหงื่อออกทั้งตัว บวกกับอากาศร้อนอีก นางก็ทนไม่ไหว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ตื่น นี่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง เหตุผลอีกอย่างคือ… นางมีรอยเขียวช้ำทั้งตัว ให้พวกนางเห็นเข้า แม้ปากจะไม่พูด ในใจไม่รู้ว่าจะหัวเราะอย่างไรอีก
“ไม่เช่นนั้นพวกข้าเติมน้ำในบ่อ ท่านไปแช่ที่บ่อเถิด อากาศร้อนนัก ไปแช่อยู่ในบ่อสบายกว่า”
ดี ไปที่ใดก็ดี ขอเพียงไม่อยู่ในห้องนี้เป็นพอ นางให้สาวใช้สองคนนั้นออกไปแล้วฝืนพยุงตัวนั่งสวมชุด ทั้งแขนทั้งขาเหมือนดั่งถูกมัดด้วยตุ้มถ่วง จะยกขึ้นมาก็เหนื่อย นางเก็บของเรียบร้อยก็นึกถึงเรื่องที่เมื่อคืนลืมบอกเฝิงเยี่ยไป๋ นางจึงยื่นมือคลำหากระดาษที่อยู่ใต้หมอน เพียงแต่คลำไปแล้วก็ทำเอาตกใจ
หายไปแล้ว! กระดาษที่นางซ่อนไว้เสียดิบดีหายไปแล้ว!
นางซ่อนไว้อยู่ใต้หมอนแท้ๆ หลังจากซ่อนเสร็จแล้วตัวเองก็ไม่เคยออกจากห้อง ระหว่างนี้ก็ไม่มีใครเข้ามา ไฉนถึงได้หายไป หรือว่าเฝิงเยี่ยไป๋หยิบไปเสียแล้ว เมื่อคืนนางจะบอกเรื่องนี้กับเขา เพียงแต่เขาขยับรุกเข้ามาใกล้ ตัวเองเครียดขึ้นมาก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียหมดสิ้น เขาไม่รู้เรื่องนี้แล้วจะหยิบได้อย่างไร
คิดว่าคงหล่นอยู่ที่ใดสักที่หนึ่งกระมัง หายไปก็ดี ต่อให้หายก็หายอยู่ในห้อง ยังดีที่เรื่องนี้นอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครรู้อีก
นางจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว สายตาก็เหลือบเห็นรอยจุดแดงบนผ้าปูเตียง สิ่งนี้จะให้คนอื่นเห็นไม่ได้เด็ดขาด นางกัดฟันด้วยความแค้น แล้วม้วนผ้าปูที่นอนขึ้นมา มองซ้ายมองขวาไม่มีที่ซ่อน จึงยัดไว้อยู่ใต้เตียง คิดจะใช้เวลาช่วงที่ไม่มีคนแล้วค่อยเอาอ่างน้ำเข้ามาซักเอง
ว่าแล้วแช่อยู่ในบ่อสบายกว่าจริงๆ นางเริ่มขี้เกียจ หมอบอยู่ในบ่อไม่อยากขึ้นมา สาวใช้สองคน คนหนึ่งชื่อซั่งเหมยอีกคนชื่อซั่งเซียง เห็นนางไม่มีสีหน้าไม่พอใจ จึงเริ่มคุยกับนางขึ้นมา
“นายหญิง เมื่อครู่บ่าวไปเอาเสื้อผ้าให้ท่าน ไฉนผ้าปูเตียงนั้นถึงได้หายไปเสียแล้ว” ในคำพูดของซั่งเหมยมีความหมายแฝงอยู่ น้ำเสียงหยอกล้อ เฉินยางแช่อยู่ในน้ำโผล่เพียงศีรษะออกมา แล้ววกวักน้ำว่ายไปไกล ไม่ตอบนาง
ซั่งเซียงจิ้มนางไปทีหนึ่ง พูดตำหนิว่า “ระวังเถอะถ้าผู้ดูแลรู้เข้าจะโบยเจ้าเอา เรื่องของเจ้านายเป็นเรื่องที่เจ้าถามได้ง่ายๆ หรือ มีสีหน้าดีๆ ให้เจ้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไรแล้ว”
ซั่งเหมยบ่นขึ้นมา “ข้าก็เพียงแต่อยากรู้เท่านั้น เรื่องของเจ้านายข้าไม่ได้คิดจะถามหรอก”
เฉินยางว่ายไปหยุดอยู่ตรงกลางบ่อ สีหน้าเบื่อหน่าย “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากจะแช่อยู่ที่นี่คนเดียว”