ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 291 ปรนนิบัติดั่งบรรพบุรุษ / ตอนที่ 292 วิธีการร้ายยิ่งกว่า
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 291 ปรนนิบัติดั่งบรรพบุรุษ / ตอนที่ 292 วิธีการร้ายยิ่งกว่า
ตอนที่ 291 ปรนนิบัติดั่งบรรพบุรุษ
ว่าแล้วว่านายหญิงคนนี้พูดง่าย ซั่งเหมยและซั่งเซียงย่อตัวลงคำนับแล้วลุกขึ้นยืน ท่าทางเหมือนดั่งรอดชีวิตกลับมาเช่นนั้น “ขอบพระคุณนายหญิง หลังจากนี้ท่านก็เป็นบรรพบุรุษของพวกเรา บ่าวจะปรนนิบัติท่านเหมือนบรรพบุรุษเจ้าค่ะ”
เฉินยางบุ้ยปากด้วยความไม่พอใจนัก “พวกเจ้าพูดออกมาได้อย่างไร ข้าเป็นบรรพบุรุษพวกเจ้าเสียที่ใด อย่าเรียกให้ข้าดูแก่นักเลย” นางสวมรองเท้า ยกชายกระโปรงก้าวผ่านเศษกระเบื้องที่อยู่เต็มพื้น แววตาแฝงเลศนัย “เจ้าดูในห้องนี้สิ ไม่มีที่ให้เดินแล้ว พวกเจ้าเก็บกวาดเสียก่อน ข้าจะออกไปสูดอากาศ รอให้เก็บกวาดเสร็จแล้วพวกเจ้าค่อยมาเรียกข้า”
ขณะที่พูดอยู่นั้นก็จะออกไป ซั่งเหมยกับซั่งเซียงขานรับ ขณะกำลังจะลงมือ จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นมา รีบเข้าไปห้ามนาง ทำหน้าลำบากใจว่า “นายหญิง พวกเราเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ท่านก็อย่าได้ทำให้พวกเราลำบากเลยได้หรือไม่ ท่านอ๋องกล่าวแล้วว่าไม่ให้ท่านออกจากห้องนี้ ท่านก็อยู่ที่นี่เสียเถิด ท่านไปนอนอยู่บนเตียงครู่เดียว บ่าวจะกวาดเบาๆ รอท่านตื่นแล้ว ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิมแล้ว”
เฉินยางกัดฟันกรอด “เขามีสิทธิ์อะไรไม่ให้ข้าออกจากห้องนี้!”
ซั่งเหมยพูดว่า “เรื่องนี้บ่าวจะกล้าถามได้อย่างไร อย่างไรเสียท่านอ๋องก็พูดแล้วว่าไม่ให้ท่านออกจากห้องนี้ ท่านก็อย่าทำให้พวกเราลำบากเลย ไม่เช่นนั้นหากท่านอ๋องรู้เข้า ย่อมไม่ปล่อยพวกเราไปแน่ๆ”
เฉินยางก็เป็นคนนิสัยดื้อดึงเช่นนี้ ยิ่งเขาไม่ให้นางออกไป นางก็ยิ่งไม่ฟัง ข่มขู่คนหรือ มีใครไม่เป็นบ้าง นางเท้าเอว วางท่าเป็นนายหญิงขึ้นมา “เมื่อครู่ยังบอกว่าจะปรนนิบัติข้าเหมือนบรรพบุรุษของพวกเจ้าอยู่เลย ตอนนี้คำพูดของตัวเองไม่นับแล้ว? พวกเจ้าก็ไม่กลัวข้าเอาเรื่องที่พวกเจ้านินทานั้นไปบอกเฝิงเยี่ยไป๋หรือ ถึงยามนั้นพวกเจ้าก็อยู่ไม่สุขแน่”
การจัดการคนนั้นต้องใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ต้องให้ทั้งบุญคุณและข่มขู่ ตบหัวแล้วลูบหลังเป็นดีที่สุด นี่เป็นเรื่องที่นางเรียกจากเฝิงเยี่ยไป๋ คำพูดข่มขู่พูดไปแล้ว คำพูดดีๆ ก็ต้องตามมา ปลายลิ้นตวัดเล็กน้อย ละครเปลี่ยนหน้าก็ควรจะเผยออกมาแล้ว นางยิ้มขึ้นมา ดูไปแล้วก็ทำเอาชวนให้ระแวงเป็นที่สุด “ข้าเพียงออกไปเล็กน้อย ไปสูดอากาศ ไม่ให้ใครเห็น รอให้พวกเจ้าเก็บกวาดเสร็จข้าก็กลับมาแล้ว พวกเจ้าคิดเองดีๆ เรื่องที่ถูกเขาลงโทษเพราะพูดนินทาจะเ**้ยมโหดกว่า หรือว่าจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นข้าออกไป ถึงยามนั้นต่อให้ถูกเฝิงเยี่ยไป๋รู้เข้า พวกเจ้าก็ผลักความผิดมาให้ข้าเต็มที่ อย่างไรเสียพวกเราก็ทะเลาะกันจนเป็นเช่นนี้แล้ว เขาจะหย่ากับข้าอยู่แล้ว ข้าจึงไม่มีอะไรที่จะต้องเสียอีก”
ซั่งเหมยกับซั่งเซียงแลกสายตาซึ่งกันและกัน รู้สึกที่นางพูดก็มีเหตุผล เพียงแต่เหตุผลนั้นก็ไม่ถูกต้องนัก ฟังอย่างไรก็รู้สึกประหลาด กลัวท่านอ๋องรู้ว่าพวกนางนินทาลับหลัง และก็กลัวท่านอ๋องรู้ว่าพวกนางจงใจปล่อยพระชายาออกไป อย่างไรเสียก็ต้องตาย จึงจมอยู่ในความลำบากใจ ไม่มีความคิดขึ้นมาทันที
เฉินยางฉวยโอกาสยุยงขึ้นอีก “มีข้าปกป้องพวกเจ้าอยู่ มีอะไรต้องกลัวหรือ พวกเจ้าทำใจให้สบายเสียเถิด ข้าบอกแล้วก็เป็นเช่นนั้น เกิดเรื่องขึ้นก็ไม่ต้องเกรงใจ ผลักให้ข้าเต็มที่ หากเขาจะลงโทษพวกเจ้า ก็ต้องจัดการข้าเสียก่อน” พูดมาถึงเช่นนี้แล้ว หากยังขังไว้อีกก็ใช่เรื่อง นางไม่ใช่นักโทษเสียหน่อย ไฉนนางถึงต้องถูกขัง
สุดท้ายก็ยังเป็นซั่งเซียงที่คล้อยตาม นางขมวดคิ้วพูดว่า “เช่นนั้นท่านรีบกลับมานะเจ้าคะ บ่าวได้ยินเสี่ยวฉิงที่อยู่สวนนอกบอกว่าท่านอ๋องเรียกคนไม่น้อยไปสอบสวนที่สวนด้านหลังอยู่เลย ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ขอเพียงท่านอย่าได้ไปที่สวนด้านหลังเป็นพอ”
สอบสวน? เขาคิดว่าที่นี่คือคุกจริงๆ หรืออย่างไร ปากนางขานรับ พอออกจากประตู ก็ไปยังสวนด้านหลังอย่างอดใจไม่อยู่
——
ตอนที่ 292 วิธีการร้ายยิ่งกว่า
คนที่ไปห้องของเฉินยางได้มีไม่มาก ซั่งเหมยกับซั่งเซียงยังไม่พูดถึงก่อน คนอื่นหากไม่มีเรื่องใดจะเข้าไปละก็ ถ้าไม่ใช่ได้รับคำสั่งเข้าไปอย่างเปิดเผย ก็คือมีเป้าหมายบางอย่างแอบย่องเข้าไป นี่ยังต้องขอบคุณฮ่องเต้ที่วางสายตามากมายอยู่ที่เขานี้ วันหนึ่งสิบสองชั่วยามล้วนมีคนเฝ้าจับตาห้องนอนของเฉินยาง จึงไม่ยอมปล่อยผ่านไปแม้แต่คนเดียว
ก็ไม่ใช่ทุกคนจะรู้จักเปลี่ยนฝั่งตามสถานการณ์เหมือนเฉาเต๋อหลุน มักมีคนที่ดื้อดึงนัก คิดจะก้าวเดียวขึ้นฟ้า คนที่เคยไปในห้องของเฉินยางมีสองคน สาวใช้คนหนึ่งขันทีคนหนึ่ง ยังมีอีกหลายคนคือคนที่เฉินยางได้เจอที่สวนดอกไม้ด้านหลัง คนเหล่านี้น่าสงสัยที่สุด บางทีอาจจะมีคนเห็นเฉินยางหยิบกระดาษแผ่นนั้น จากนั้นก็บอกอีกคน แล้วทั้งสองคนร่วมมือกันไปเอากระดาษกลับไปเป็นหลักฐานก็ไม่แน่
ความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกันใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่โอกาสก็ไม่มากนัก คนเหล่านี้ล้วนเป็นเฉาเต๋อหลุนที่ดูแลอยู่ ตอนนั้นเพิ่งจะขู่เฉาเต๋อหลุนอยู่ เขายังแสดงความภักดีอยู่เลย พวกบ่าวรับใช้หากเจอเรื่องอะไรก็ควรจะรายงานเขาทันที เพียงแต่คนผู้นี้กลับไม่ นอกจากจะไม่พูดแล้ว แถมยังไปขโมยกระดาษโดยพลการ คิดว่าคนทำงานคนเดียวจนชินแล้ว ผลงานไม่อยากแบ่งกับใคร ตัวเองได้ดีเพียงคนเดียว จะได้ยศสูงขึ้นหรือมีรางวัลก็เป็นเขาคนเดียว เพียงแต่เขากลับนึกไม่ถึงว่าเฉาเต๋อหลุนเปลี่ยนฝั่งแล้ว วันนี้จะต้องสืบทราบหนูตัวนี้ออกมาให้ได้ แม้จะต้องยอมฆ่าคนผิดก็ปล่อยไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นวันหลังไม่แน่อาจจะก่อเรื่องที่ใหญ่กว่านี้อีกก็เป็นได้
ในศาลาไม่เย็นนัก เฝิงเยี่ยไป๋โบกพัดไปสองที หว่างคิ้วเผยความหงุดหงิดออกมา “เฉาเต๋อหลุนน่าจะบอกพวกเจ้าแล้วกระมัง จวนของข้านั้นไม่เลี้ยงสุนัขที่เห่าใส่เจ้านาย เพียงแต่ข้าเพิ่งพูดกับเขา คิดว่าคงยังไม่ทันได้พูดกับพวกเจ้า แต่เวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ ในจวนก็เกิดเรื่องขโมยขึ้นมา โจรคนนั้นก็อยู่ในหมู่พวกเจ้า หากเขาสามารถก้าวออกมาบอกเอง พวกเจ้าที่เหลือก็รอด แต่หากไม่มีใครยืนออกมา เช่นนั้นก็คงต้องยกเป็นศพออกไปนอนอยู่ในสุสานไร้นาม แม้แต่ตายก็ไม่ให้เหลือศพครบส่วน”
เฉาเต๋อหลุนก็คอยใส่ไฟอยู่ข้างหลังอีก “พวกเราล้วนมาจากในวัง ข้าขอเตือนพวกเจ้า อำนาจเงินทองใหญ่เพียงใดก็ต้องมีชีวิตถึงจะได้ใช้ พวกเราล้วนเป็นบ่าวรับใช้ ชีวิตในวังเป็นเช่นไร ชีวิตที่ออกมาแล้วเป็นเช่นไร คนเป็นมีสมองเพียงอย่างเดียวไม่ได้ สายตาก็ต้องแหลมคม ใครเป็นคนทำ รีบก้าวออกมา อย่าได้ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน”
ยอมรับก็เท่ากับตายแล้วจะมีใครกล้ายอมรับ? ในไม่มีใครกล้ายอมรับ จึงได้แต่คุกเข่าลงพื้น เหงื่อที่ผุดบนหน้าผากนั้นก็ไม่รู้ว่าเพราะอากาศร้อนหรือความหวาดกลัว พออ้าปากขึ้นมาก็ตะโกนว่า “ท่านอ๋องโปรดตรวจสอบ” อย่างไรหรือ คนตายกลุ่มหนึ่งก็ยังมีโอกาสที่จะรอดชีวิตได้ แต่หากมีคนเพียงสองคนก็ต้องตายอย่างแน่นอน
เฝิงเยี่ยไป๋หงุดหงิดที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขายกมือเกาหู ไม่อยากจะเสียเวลากับเรื่องเช่นนี้ ฆ่าเสียให้หมดเลยดีกว่า วันหลังจะได้ไม่ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก
“เฉาเต๋อหลุน เจ้าไม่ใช่บ่นว่าจะแสดงความภักดีหรือ นี่เป็นโอกาสของเจ้าแล้ว ฆ่าพวกเขาให้หมดแล้วเก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าได้วุ่นวายนัก พระชายายังอยู่ในจวน ระวังจะทำให้พระชายาตกใจ”
เขาบอกฆ่าคนง่ายเสมือนบอกให้ทำอาหารหรือรินเหล้าอย่างไรอย่างนั้น เฉินยางซึ่งย่อตัวอยู่ตรงมุมกำแพง ได้ยินเขาตะโกนสั่งเหมือนลูกค้าในร้านอาหารเช่นนั้นก็รู้สึกตกใจ เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองหรู่หนานนางเองก็เคยเห็นวิธีการของเขาที่จัดการคนอย่างไม่ลังเลเลย นึกไม่ถึงว่ามาถึงเมืองหลวงนี้วิธีการกลับร้ายยิ่งกว่าเสียอีก