ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 297 ถ้าสองคนนี้สามารถอยู่ได้กันได้ก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว / ตอนที่ 298 สามารถรักษาได้หรือไม่
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 297 ถ้าสองคนนี้สามารถอยู่ได้กันได้ก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว / ตอนที่ 298 สามารถรักษาได้หรือไม่
ตอนที่ 297 ถ้าสองคนนี้สามารถอยู่ได้กันได้ก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว
เรื่องวุ่นวายที่เฉินยางก่อขึ้น ทำให้ระดับความน่าเชื่อถือในการอ้างว่าป่วยของเฝิงเยี่ยไป๋นั้นยิ่งชัดเจน เขาได้กินยาที่อิ๋งโจวปรุงให้เขา และยังกำชับเฉาเต๋อหลุน ให้เขานำเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปเปิดเผยให้ฮ่องเต้ทรงทราบว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสิ่งชั่วร้ายที่เข้ามารังควาน แล้วค่อยไปเชิญพระอาจารย์มาทำพิธีที่จวน
เฉาเต๋อหลุนทำตามที่บอก บอกต้นสายปลายเหตุพร้อมใส่สีตีไข่ ให้ฮ่องเต้ได้มีเวลาทำใจก่อน พอถึงเวลานั้นแล้วค่อยส่งตัวหมอหลวงมา เขากินยาของอิ๋งโจว นอกจากจะไข้สูงไม่ลดแล้วก็ดูอาการอื่นไม่ออกเลย พอถึงเวลาไม่ว่าใครมาดูก็มองว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายที่เข้ามารังควาน แต่สำหรับเวลาไหนเหมาะนั้นยังไม่ได้กำหนด
พอป่วยก็ป่วยทีเดียวสองคน ข่าวคราวได้ยินไปถึงหูเว่ยหมิ่น นางจะนั่งติดที่ได้อย่างไร เหมือนดั่งไฟกำลังเผาก้นอยากจะวิ่งไปที่จวนอ๋องเดี๋ยวนี้เลย เหลียงอู๋เย่ว์ก็ประหลาดใจ อยู่ดีๆ ทำไมแม้แต่เฝิงเยี่ยเป๋ก็ป่วยไปด้วยได้
เว่ยหมิ่นบอกให้คนไปเอาโสมแก่กับบัวหิมะที่ห้องเก็บของ นี่เป็นของที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานแก่นาง บอกว่าเป็นเครื่องบรรณาการที่ทางเขตตะวันตกส่งมาให้ เป็นยาวิเศษที่มีอยู่มาร้อยกว่าปี สามารถชุบชีวิตได้
เหลียงอู่เย่ว์ไม่กล้าบอกว่านาง ในโลกนี้มียาวิเศษที่สามารถชุบชีวิตคนได้ที่ไหนกัน ยาสองอย่างนี้ใช้เป็นยาบำรุงร่างกายธรรมดาๆ นี่เอง
ทั้งสองคนไปอย่างรีบร้อน พอถึงครึ่งทางรถม้าได้ชนกับคนเข้า ชิวเหลียนที่อยู่ข้างกายเว่ยหมิ่นเป็นตัวละครที่ร้ายกาจคนหนึ่ง คนที่อยู่ตรงข้ามยังไม่โผล่ออกมา นางเอามือเท้าเอวแล้วด่าออกไป ”บังอาจ! ทางเดินของท่านหญิงพวกเจ้าถึงกับกล้าขวางทาง ยังชนรถม้าของท่านหญิงด้วย ยังไม่ออกมายอมรับโทษอีก!“
รถม้าคันที่อยู่ตรงหน้าได้มีผู้หญิงคนหนึ่งออกมา รองเท้าคู่หนึ่งที่มีลายดอกไม้จางๆ และมีกระดิ่งเดินลงมาจากรถ ท่าทางเหมือนเดินร่ายรำ เอวเหมือนต้นหลิวที่อ่อนแอโต้ลม เดินไปที่หน้ารถม้าของเว่ยหมิ่น แล้วค่อยๆ นั่งลงแล้วพูดว่า “ข้าน้อยน่าอวี้ ไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินท่านหญิง ขอให้ท่านหญิงโปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ”
ในหัวเว่ยหมิ่นมีไฟสุมอยู่เต็มจวนเจียนจะระเบิดออก ได้ยินคนที่อยู่ด้านนอกเอ่ยว่าคือน่าอวี้ พอคิดได้ว่ามิใช่ครั้งก่อนเจอที่อวี้เฉวียนซานจวงหรือ ผู้หญิงคนนี้ ทั้งสองคนเคยทักทายกัน ไม่ได้เป็นคนไร้มารยาทอะไร ครั้นเปิดผ้าม่านออกมาดู ช่างบังเอิญนัก เป็นนางจริงๆ ด้วย นางจึงกระแอมคราหนึ่งแล้วพูดกับชิวเหลียนว่า “ห้ามเสียมารยาท” แล้วลงไปพยุงนางขึ้นด้วยตัวเอง ”ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมาก คนของข้าไม่รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณี ขอท่านอย่าเก็บไปคิดเลย”
น่าอวี้อมยิ้มแล้วพูดว่า ”เดิมทีข้ากลับบ้านทางนี้จะใกล้หน่อย คิดไม่ถึงว่าจะล่วงเกินท่านหญิง ข้าผิดเอง ท่านหญิงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรใช่หรือไม่”
เว่ยหมิ่นจัดทรงผมพูดว่า ”ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แล้วเจ้า ครั้งก่อนได้พูดกับเจ้าเพียงไม่กี่ประโยคเจ้าก็บอกว่าจะกลับไปกินยา ช่วงนี้ร่างกายดีขึ้นบ้างหรือยัง ที่ข้ายังมีเห็ดหลิงจืออยู่บ้าง พอกลับไปแล้วประเดี๋ยวจะให้คนนำไปส่งให้เจ้า”
น่าอวี้ตอบกลับว่าไม่กล้า บอกว่าดีขึ้นมากแล้ว แล้วถามกลับท่านหญิงว่าจะไปไหน
เว่ยหมิ่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไปจวนท่านอ๋อง เมื่อวานท่านอ๋องกับพระชายาล้มป่วย ฮ่องเต้ส่งหมอหลวงไปดูแล้ว ข้าต้องไปดูสักหน่อย”
ป่วยหรือ? เมื่อวานนางอยู่ที่วัดนอกเมืองตลอด ยังไม่ทันได้กลับจวนเลย จึงยังไม่ได้ยินข่าวนี้ แต่ว่าดูท่าทางรีบร้อนของท่านหญิงเว่ยหมิ่นแล้ว เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องเล็ก โอกาสอยู่แค่เอื้อม นางผ่อนคลายใบหน้าเครียดขึ้งแล้วพูดขึ้นว่า “พระชายาก็ป่วยหรือ ถ้าอย่างนั้น…ข้าขอไปดูกับท่านหญิงด้วยแล้วกัน”
ก่อนหน้านี้เคยเจอกัน ก็นับได้ว่าคุยกันได้ ครั้งนี้บอกว่าจะไปดูหน่อย ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องไม่น่าคาดคิดอะไร
เว่ยหมิ่นครุ่นคิด ก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม พูดเสร็จทั้งสองคนก็ไปจวนอ๋องด้วยกัน
เหลียงอู๋เย่ว์เปิดผ้าม่านรถม้ามองน่าอวี้สักครู่ ผู้หญิงคนนี้สวยเพียบพร้อมไปทั้งตัว มองไม่ออกถึงความไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย เพียงแค่ไม่รู้ว่ารู้จักเว่ยหมิ่นได้อย่างไร คนหนึ่งที่สวยอ่อนโยนกับอีกคนที่หยาบคายเกรี้ยวกราด ทั้งสองคนสามารถเดินไปด้วยกันได้ช่างน่าประหลาดใจนัก
——-
ตอนที่ 298 สามารถรักษาได้หรือไม่
เฝิงเยี่ยไป๋เห็นความรู้สึกที่ฉายบนใบหน้าอิ๋งโจวเพียงแวบเดียวก็หายไปได้อย่างชัดเจน เจ็บปวดใจใช่หรือไม่ เสียใจใช่หรือไม่ แต่เป็นอย่างนั้นแล้วอย่างไร เฉินยางเป็นภรรยาของเขา คนข้างๆ แม้ว่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาก็ทำได้เพียงดู ไม่สามารถทำอะไรได้ ยิ่งไม่สามารถคิดอะไรได้
ผู้หญิงกับผู้ชายมีความแตกต่าง เขายังคุ้นชินกับการที่ใช้ผ้ามาวางรองระหว่างจับชีพจร สามนิ้วกดลงบนเส้นชีพจรตรงข้อมือของนางเบาๆ สภาพของชีพจรค่อนข้างอ่อน แค่กดจุดคงไม่พอ กลับเป็นเพราะตกใจจนเกินไป เขาจึงประสานมือคำนับพร้อมพูดว่า “ดูจากสภาพชีพจรของพระชายาแล้ว ทั้งอ่อนกำลังทั้งเล็ก น่าจะเป็นเพราะประทะกับสิ่งชั่วร้ายภายนอกทำให้ได้รับความกระทบกระเทือนอะไรสักอย่าง”
เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ค่อยรู้ทางด้านการแพทย์ สิ่งที่อิ๋งโจวพูดออกมานั้นเขาฟังไม่ออกสักคำ อดไม่ได้เลยขัดขึ้น ถามแค่ว่า “รักษาได้หรือไม่”
อิ๋งโจวตอบ “แค่สั่งยาบำรุงม้ามสักหลายเทียบ และยาที่ปรับเลือดลมให้นิ่งก็พอ เพียงแต่ว่า…”
เสียงพูดของเขา ประโยคที่ว่า ‘แต่ว่า’ ทำให้หัวใจของเฝิงเยี่ยไป๋เต้นแรงขึ้นมาอีก “การป่วยทางจิตใจยังต้องการหมอและยาทางใจ ขอถามท่านอ๋องหน่อย พระชายาถูกอะไรทำให้ตกใจได้ขนาดนี้”
เรื่องนี้ยังคงต้องปิดบังคนอื่นอยู่ ไม่สามารถพูดออกไปได้ เรื่องวุ่นวายข้างตัวคลี่คลายไปแล้ว แต่อย่างไรระวังไว้จะเป็นการดีกว่า เขาส่งสายตาให้เฉาเต๋อหลุน เฉาเต๋อหลุนก็เข้าใจ ก้าวขึ้นหน้าไปพูดว่า ”ข้าไปเอายากับท่านหมอแล้วกัน ท่านหมอเชิญทางนี้…”
เขาไม่พูด แต่อิ๋งโจวก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถูกทำให้ตกใจจนเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เจอผี ก็เป็น… เจอคนถูกฆ่าตาย เจอผีกลางวันแสกๆ ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ว่าเจอคนที่ดูฆ่าก็น่าจะไม่ยาก จะมีขุนนางสักกี่คนที่มือไม่เคยเปื้อนเลือดมาก่อน? เฝิงเยี่ยไป๋ให้ตนจัดยาให้เขาแกล้งป่วย จะต้องมีคนคิดจะทำร้ายเขาเป็นแน่ มิเช่นนั้นตอนนี้ชีวิตเขากำลังติดลมบน ไยต้องอ้างว่าป่วยเพื่อบอกปัดลาภยศที่หล่นลงมาจากฟ้าด้วยเล่า
เพียงแต่เขาไม่ค่อยวางใจกับเฉินยาง ก็ไม่รู้ว่านางไปเห็ฯภาพที่น่ากลัวมากเพียงใดกันแน่ ผู้หญิงดีๆ คนหนึ่ง ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลนับเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่กลับมาคลุกคลีอยู่กับเฝิงเยี่ยไป๋ ก็ไม่ได้จะบอกว่าเฝิงเยี่ยไป๋ไม่ดี เขาไม่ใช่ว่ารักนางมากหรอกหรือ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้ทรมานนางจนกลายเป็นเช่นนี้เสียได้ บนแขนนางมีรอยเขียวช้ำ มองแล้วเหมือนรอยนิ้วมือคนจับ ทว่าเมื่อเฝิงเยี่ยไป๋อยู่เขาจึงไม่กล้าถามอะไรมาก แค่ในใจคาดเดาไปต่างๆ นานา ไม่ใช่ว่านางถูกตีมาหรอกนะ
หลังจากอิ๋งโจวจากไป เฉินยางพลิกตัวกลับมา หน้ามองไปด้านในเตียง นางไม่กล้าหลับตา หลับตาลงแล้วก็มีเลือดสีแดงเต็มไปหมด จะสลัดทิ้งอย่างไรก็ไม่ไป
เฝิงเยี่ยไป๋อยู่ข้างกายนาง ถามนาง “เจ้าออกมาได้อย่างไร ทำไมถึงวิ่งไปที่นั่นได้”
เฉินยางน้ำตาไหลออกมา ที่จริงแล้วไม่มีอะไรที่น่าร้องไห้ แต่น้ำตาไหลออกมาจากตาเอง นางสูดจมูก ลูบหน้า พูดฟ้องขึ้นว่า “ท่านมีสิทธิ์อะไรถึงมาขังข้าไว้ไม่ให้ข้าออกไป”
คำถามนี้ถามจี้จุดเขาอย่างจัง คำพูดที่อยู่ภายในใจไม่สามารถพูดออกมาข้างนอกได้ จะบอกว่าเพราะกลัวนางกับอิ๋งโจวจะหนีตามกันไปก็ไม่ได้กระมัง ด้วยกลัวทำให้นางต้องเสียใจอีก เขาอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย
นางไม่ได้ถามอะไรต่อ ตัดบทสนทนาพูดขึ้นว่า ”ที่นี่คือที่ไหน”
“ห้องของข้าเอง”
นางร้องอ้อ “วันนี้ข้าทุบข้าวของไปมากมาย ห้องเละเทะไปหมด ตอนซั่งเหมยกับซั่งเซียงกำลังเก็บกวาดห้องข้าก็เลยออกมา เดิมทีข้าอยากจะถามท่านว่าเพราะอะไรถึงขังข้าไว้ นึกไม่ถึงว่าจะไปเห็น…”
ยังไม่ทันพูดจบ นางอึ้งไป ขดตัวกอดตัวเองไว้
“พรุ่งนี้ข้าจะให้เว่ยหมิ่นมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่”
“แล้วท่านเล่า”
“ข้าก็ยังอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเช่นกัน พรุ่งนี้ข้าไม่เข้าประชุมราชสำนัก ช่วงนี้จะไม่ไปสักระยะ”