ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 299 หมอไร้วิชา / ตอนที่ 300 ผู้ชายจะทนเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 299 หมอไร้วิชา / ตอนที่ 300 ผู้ชายจะทนเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
ตอนที่ 299 หมอไร้วิชา
เมื่อคืนฮ่องเต้ก็ทราบเรื่องของเฝิงเยี่ยไป๋กับภรรยาโง่ของเขานั้นแล้ว จะว่าไปก็บังเอิญเสียจริง พระองค์เพิ่งจะมอบตราทหารให้เขา เขาก็ป่วยเสียแล้ว ความฉลาดของเข้านั้นช่างทำเอาแค้นใจยิ่งนัก เขากลัวว่าพระองค์จะส่งเขาไปสู้รบกับซู่อ๋อง สุดท้ายถึงกับคิดวิธีนี้ขึ้นมา ประโยคนั้นว่าอย่างไรบ้างนะ? บนมีคำสั่งล่างมีวิธีรับมือ เขานอนป่วยอยู่บนเตียง พระองค์เป็นถึงฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถเพียงใดก็ไม่อาจให้คนป่วยขึ้นสนามรบฆ่าศัตรูได้
พระองค์เคยถามสำนักหมอหลวง บอกว่าจวนท่านอ๋องไม่ได้ส่งคนมาหาหมอหลวง ในพระทัยฮ่องเต้กริ้วนัก คงจะวางแผนเอาไว้แล้ว กำลังรอพระองค์อยู่เลย จะไม่ถามก็ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องส่งหมอหลวงไปสืบ
หมอหลวงมาถึงจวนท่านอ๋อง เฉาเต๋อหลุนเชิญเขาเข้าไป พอก้าวข้ามธรณีประตู มองครั้งแรกยังนึกว่าตัวเองอยู่ในสรวงสวรรค์เสียแล้ว ควันไอล้อมรอบ กลิ่นไม้จันทน์โชยเข้ามาในจมูก ในห้องติดยันต์อยู่ทั่ว นักพรตคนหนึ่งที่สวมชุดขาดๆ ในมือถือกระบี่ไม้ท้อ ปากก็พูดพึมพำบางอย่าง เห็นเขาเข้ามา ก็ติดยันต์ใบหนึ่งบนตัวเขา
หมอหลวงตกใจกับสิ่งที่เห็นเอามาก ในห้องมืดนัก เขาคลำไปถึงข้างเตียง เห็นใบหน้าที่ขาวซีดของเฝิงเยี่ยไป๋ เพียงแต่หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา เขาเรียก ‘ท่านอ๋อง’ เฝิงเยี่ยไป๋เหมือนดั่งไม่ได้ยินเช่นนั้น สองคิ้วขมวดแน่น ท่าทางดูแล้วทรมาน
นักพรตคนนี้ก็คือขู่เจ่า ถูกเฝิงเยี่ยไป๋มาแสดงละคร หมอหลวงคลำชีพจรให้เฝิงเยี่ยไป๋ จู่ๆ นักพรตก็ชูกระบี่กลางอากาศ ปากก็พูดว่า “บังอาจ! ท่านเซียนอยู่ที่นี่ ยังกล้าทำก่อเรื่องอีก”
หมอหลวงตกใจ มองไปข้างหลัง มีใครเสียที่ใด เขายื่นมือคลำยันต์ที่แปะอยู่ข้างหลังตัวเอง สถานที่นี้รีบไปเสียจะดีกว่า
หลังจากออกไป เฉาเต๋อหลุนก็รั้งหมอหลวงไว้ถามว่าเป็นโรคใดหรือ หมอหลวงปาดเหงื่อบนหน้าผาก พูดด้วยความหวาดระแวงว่า “นี่… ดูจากชีพจรแล้ว เพียงแค่ร่างกายอ่อนแอร้อนรุ่ม เพียงแต่… เพียงแต่ร่างกายกลับเย็นดั่งน้ำแข็ง ข้าไม่เคยเจอโรคนี้มาก่อน เกรงว่าข้าต้องกลับไปคุยกับใต้เท้าในสำนักหมอหลวงถึงจะได้ผลออกมา”
เฉาเต๋อหลุนกล่าว “ลำบากใต้เท้าแล้ว ข้าจะส่งใต้เท้าออกไป”
หมอไร้วิชานี้ เกรงว่าคงตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ข้างใน เพียงแค่ยาไม่กี่ตัว ผลของยาขัดแย้งกันเองเท่านั้น มาถึงที่เขานี้ ยังต้องกลับไปถกกันเสียอีกถึงจะรู้ผล
เฉาเต๋อหลุนกลั้นหัวเราะไปส่งหมอหลวงตลอดทาง ยามที่กลับไปนั้น สิ่งที่แสดงอยู่นั้นล้วนถอดหมดแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋ดื่มยาคลายร้อนที่อิ๋งโจวส่งมาได้ตื่นขึ้นมาแล้ว เขาบีบจมูกไล่กลิ่นฉุนที่อยู่ในห้อง เห็นเขากลับมาก็ถามว่า “เขาว่าเช่นไรบ้าง”
“เรียนท่านอ๋อง หมอไร้วิชานั้นบอกว่าโรคของท่านไม่เคยพบมาก่อน ต้องกลับไปคุยกับเหล่าใต้เท้าที่อยู่สำนักหมอหลวงถึงจะได้ผลออกมา ตามที่บ่าวว่า คงจะตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ข้างในเมื่อครู่นี้”
ขู่เจ่าเก็บกระบี่ไม้ท้อกลับ ขยับเข้าไปหาเฝิงเยี่ยไป๋เหมือนดั่งขอรางวัลเช่นนั้น “เป็นเช่นไรบ้าง พิธีที่ข้าทำเจ้าไม่เลวกระมัง เจ้าไปสืบในเมืองหลวงดูได้ หานักพรตที่มีวิชาเก่งกล้ากว่าข้าไม่ได้อีกแล้ว”
เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ตอบ เฉาเต๋อหลุนก็ให้หน้า คนเขายอตัวเองเช่นนั้นแล้ว ก็เอาใจเสียหน่อย “เป็นเช่นนั้นเลย ท่านอยู่ที่นี่เป็นสิ่งนี้” เขาชูนิ้วโป้ง ประโยคเดียวก็ชมเอาเขาดีใจมากแล้ว
“ท่านหญิงมาแล้วหรือไม่” ที่เฉินยางนั้นขาดคนไม่ได้ เมื่อคืนดื่มยาของอิ๋งโจวไป เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดฉากละคร ยังไม่ทันได้ไปเยี่ยมนางเลย
——
ตอนที่ 300 ผู้ชายจะทนเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
จวนอ๋องก็ไม่ได้คึกคักดั่งวันนี้มานานหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ก็ส่งหมอหลวงมาตรวจโรคให้เฝิงเยี่ยไป๋ จากนั้นก็เรียกหลี่เต๋อจิ่งเอาเห็ดหลิงจือชั้นดีมาให้เขา พอเลิกประชุมราชกิจตอนเช้า ใต้เท้าทั้งสามคนที่พลาดท่าที่ ‘ฉื่อเจียนฝูเซิง’ ก็คิดจะให้โอกาสนี้มาแสดงความภักดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าคนที่คิดจะฉวยโอกาสเข้ามาตีสนิทอีก ตั้งแต่เช้ามาจนถึงเที่ยงก็มีคนมาไม่ขาดสาย เพียงแต่ล้วนกลัวจะได้รับโชคไม่ดีกลับไป จึงวางของลงแล้วถามไถ่กับเฉาเต๋อหลุนสองสามประโยคก็จากไป ใช้เวลาเพียงแค่ไม่นาน
และในที่สุดก็เงียบสงบลง เว่ยหมิ่นและเหลียงอู๋เย่ว์ก็มา มาก็มาเถิด แถมยังพาแขกที่ไม่รู้จักมาอีก เฉาเต๋อหลุนไม่เคยเจอน่าอวี้ จึงไม่เชื่อคนแปลกหน้าด้วยสัญชาตญาณ จึงเรียกเพียงเว่ยหมิ่นเข้าไป แล้วให้นางนั่งรออยู่ที่โถงหน้า
เว่ยหมิ่นรู้ว่าเฝิงเยี่ยไป๋แกล้งป่วย วันนี้ที่มาก็ไม่เพียงจะมาเยี่ยมเขา เรื่องแย่ๆ ที่เขาทำนั้นนางก็รู้แล้ว อย่าว่าแต่เฉินยางเลย แม้แต่นางเองก็ยังไม่เคยเจอภาพเช่นนั้นมาก่อน เฉินยางไม่ตกใจจนเป็นลม ณ ตอนนั้นก็ถือว่าดีแล้ว
ระหว่างทางที่มาเหลียงอู๋เย่ว์ก็ได้ยินเว่ยหมิ่นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เขาฟังมาพอประมาณแล้ว พอมาถึงที่นี่ก็เริ่มแกล้งหงุดหงิด “เฝิงเยี่ยไป๋ เจ้าเก่งเสียจริงๆ ตกลงเจ้ายังคิดว่าข้าเป็นพี่น้องหรือไม่ เรื่องใหญ่เช่นนี้เจ้าไม่บอกข้าหรือ”
เฝิงเยี่ยไป๋ขมวดคิ้วมองเขา “บอกเจ้าทำไม ให้เจ้าเป็นห่วงไปอีกคนหรือ”
เขาทำให้เหลียงอู๋เย่ว์ลำบากมามากแล้ว จะให้เขาลำบากกว่านี้ไม่ได้อีก บอกเขาไม่ได้ หนึ่งคือกลัวจะทำให้เขาลำบาก สองคือเขาคิดว่าตัวเองมีความสามารถที่จะจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ เรื่องที่เขาทำเองได้ ไฉนถึงต้องทำให้อีกคนหนึ่งลำบากไปอีก!
“น่าอวี้ก็มาแล้ว น่าอวี้เจ้าน่าจะรู้จักอยู่กระมัง ลูกสาวของเจี่ยงเหว่ย ก่อนหน้านี้ข้าและเฉินยางเคยเจอนางที่อวี้เฉวียนซานจวง วันนี้เจอนางระหว่างทางพอดี ข้าจึงพานางมาด้วยกัน ไม่แน่อาจจะทำให้นางดีขึ้นได้”
แม่นางคนนี้เขาก็เจออยู่หลายครั้ง ย่อมรู้จักอย่างแน่นอน คนมีมารยาท ไม่ร้อนรน ทั้งตัวไม่มีนิสัยคุณหนู การพูดจาและการกระทำก็มีกาลเทศะ ที่สำคัญคือนางแผ่บรรยากาศที่อ่อนโยน ให้นางไปเยี่ยมเฉินยาง ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
“ที่ข้านี้ไม่ต้องใช้คนแล้ว พวกเจ้าไปดูเฉินยางก่อนเถิด”
เหลียงอู๋เย่ว์ขยับสะโพกเปลี่ยนที่นั่งแต่ไม่ได้ไป “ที่ภรรยาของเจ้านั้นข้าก็ไม่ไปแล้ว ล้วนมีครอบครัวกันแล้ว ไม่เหมาะสม”
เขายังรู้ว่าไม่เหมาะสมเขียนอย่างไร เฝิงเยี่ยไป๋ยิ้ม แล้วให้เขานั่งลงคุยต่อ
คนในห้องไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงเขาและเหลียงอู๋เย่ว์ เป็นพี่น้องกัน ใส่กางเกงตัวเดียวโตมาด้วยกันจะพูดอะไรก็ไม่ต้องปิดบัง เหลียงอู๋เย่ว์ถามเขาว่าเฉินยางตกใจได้อย่างไร เฝิงเยี่ยไป๋ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง พูดจบก็ถอนหายใจ รู้สึกผิดและโทษตัวเองที่ไม่ดูนางให้ดีๆ
เหลียงอู๋เย่ว์ทำเสียงอุบเบาๆ แล้วถามเขาว่า “พวกเจ้า ‘ทำเรื่องนั้น’ แล้ว?”
เฝิงเยี่ยไป๋ยังไม่รู้สึกตัว “เรื่องใด”
“ก็คือเรื่องนั้น…” เหลียงอู๋เย่ว์ชี้ไม้ชี้มือ “ก็คือเรื่องนั้น… ร่วมหอ!”
ผู้ชายคุยเรื่องนี้ไม่อาย เขาก็ยอมรับอย่างเปิดเผย “ก็คืนก่อน ข้ากลับมาจากหอนางโลม… จะว่าไปเจ้าเด็กนี่ก็ไม่รู้เรื่องเลยเสียจริง บอกว่าตัวข้าหอม ข้าบอกนางว่าข้ากลับมาจากหอนางโลม นางกลับไม่โกรธแม้แต่น้อย ล้มตัวก็นอนเสีย เจ้าก็รู้ ผู้ชายทนเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าจึงได้ลงมือ นางไม่พอใจ เพียงแต่ข้าโกรธถึงหัวแล้ว จะสนเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร สุดท้ายก็ทำเอานางเจ็บไปทั้งตัว เมื่อวานยังกระฟัดกระเฟียดกับข้าบอกจะขอหนังสือหย่า ข้าโมโหนัก จึงขังนางเอาไว้ นึกไม่ถึงว่า…”