ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 301 ไฉนถึงยังไม่เห็นท้อง / ตอนที่ 302 ไฉนเขาถึงทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ได้
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 301 ไฉนถึงยังไม่เห็นท้อง / ตอนที่ 302 ไฉนเขาถึงทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ได้
ตอนที่ 301 ไฉนถึงยังไม่เห็นท้อง
ยามที่ใกล้สิ้นสุดเดือนหก ยังไม่ทันได้ทำอะไรเพียงแค่ขยับร่างกายเล็กน้อยก็มีเหงื่อเต็มตัว เพียงแต่เฉินยางนั่งอยู่ กลับตัวสั่นไม่หยุด
ในห้องมี ‘หลิงอิน’[1] ใช้ทำให้รู้สึกเย็น ข้างในใส่น้ำแข็งเอาไว้แผ่ความเย็นออกมา คลายร้อนกำลังพอดี แต่หากจะให้รู้สึกหนาวนั้นก็ยังไม่พอ ซั่งเหมยซั่งเซียงรู้สึกว่านางตกใจหนัก ยามนี้แม้แต่สีแดงก็มองไม่ได้ พอหลับตาก็รู้สึกว่ามีคนจะทำร้ายนาง แม้ว่าจะกินยาของอิ๋งโจวไปแล้ว เพียงแต่ก็ได้ชั่วคราวเท่านั้น อิ๋งโจวบอกนี่คือไข้ใจ กินยาเพียงอย่างเดียวรักษาไม่หาย
ยามที่เว่ยหมิ่นมานั้น เฉินยางกำลังกอดเข่าเหม่อลอย สองตาจ้องถลนดั่งระฆัง กลางวันเช่นนี้ ดูแล้วก็น่ากลัวอยู่บ้าง
ซั่งเหมยซั่งเซียงคำนับเว่ยหมิ่นตามระเบียบ แล้วโค้งตัวไปเรียกเฉินยางเบาๆ “นายหญิง ท่านหญิงมาเยี่ยมท่านแล้ว”
“เวรกรรมจริงๆ คนดีๆ คนหนึ่ง กลับตกใจจนเป็นเช่นนี้แล้ว” เว่ยหมิ่นนั่งอยู่ที่ขอบเตียงกุมมือเฉินยาง นางกะพริบตา น้ำตาเกือบร่วงลงมา “เฉินยาง ข้าคือเว่ยหมิ่น เจ้ายังจำได้หรือไม่ พวกเรายังไปแช่บ่อด้วยกันมาเลย เจ้าจะลืมข้าไม่ได้นะ!”
เฉินยางเชิดมุมปากเล็กน้อย พูดด้วยความจนใจว่า “ข้าตกใจ แต่ไม่ได้กลับไปโง่เหมือนเดิม เจ้าเป็นท่านหญิงข้าจะไม่รู้จักเจ้าได้อย่างไร” นางเหลือบมองข้างหลัง “ยังมีน่าอวี้… ข้าก็จำได้ ซั่งเซียง เอาเก้าอี้ให้แม่นางเจี่ยง ช่างลำบากพวกเจ้าเสียจริง ไม่รังเกียจว่าข้าโชคร้ายนัก ยังมาเยี่ยมข้าอีก”
ซั่งเซียงยกเก้าอี้กลมไม้สักแปดขาเชิยน่าอวี้นั่งลง น่าอวี้กล่าวขอบคุณ ก็เริ่มบรรเทาอาการของนาง “เจ้าเป็นหญิงแกร่งจริงเชียว ภาพเช่นนั้น หากเป็นข้า คงจะตกใจจนเป็นลมไปเลย โชคร้ายหรือก็ไม่ถึงกับเป็นเช่นนั้น พวกเราเป็นคนซื่อตรง ภูตผีปีศาจก็ไม่กลัว หากยังไม่ไหวอีก พรุ่งนี้ข้าให้กระบี่ไม้ท้อ[2]เล่มหนึ่ง แขวนอยู่บนหัวเตียงทุกวัน ดูว่ามีผีที่ไม่รู้เรื่องใดกล้ามา ให้มันมาแล้วกลับไม่ได้เลย”
เฉินยางป้องปากหัวเราะ “เช่นนั้นก็ดี กลับไปข้าจะเชิญจงขุย[3]แขวนไว้บนประตู นี่เรียกว่าไม่พลาดแน่ๆ”
ยังเป็นเหล่าผู้หญิงที่คุยกันอยู่ด้วยกันได้ เมื่อครู่ในห้องยังมืดมนไร้ชีวิตชีวาอยู่เลย ยามนี้กลับเหมือนดั่งเวทีที่มีละครแสดงอยู่ คึกคักยิ่งนัก และล้วนเป็นผู้หญิง จะพูดอะไรก็ไม่ต้องเกรงใจ ยังไม่ถึงสองสามประโยคก็พูดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว
เว่ยหมิ่นอยากรู้ จึงไม่สนว่าเหล่าสาวใช้ยังอยู่ อ้าปากก็คือความสุขในห้องนอน “เจ้ากับเฝิงเยี่ยไป๋แต่งงานมานานเช่นนี้แล้ว ไฉนถึงยังไม่เห็นท้องเสียทีล่ะ”
ซั่งเหมยซั่งเซียงกลั้นหัวเราะไว้ หน้าของเฉินยางแดงขึ้นมาทันที สองแก้มแดงก่ำเหมือนดั่งเพิ่งเอาออกจากกองไฟ จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืน ก็โมโหขึ้นมา “เจ้าอย่าว่าข้า ตอนนี้เหลียงอู๋เย่ว์ก็เป็นจวิ้นหม่าแล้ว ข้ายังไม่ได้ถามท้องเจ้าเลยว่าไฉนถึงยังไม่มีวี่แวว เจ้ากลับมาถามข้าก่อน”
เว่ยหมิ่นเอามือเท้าเอว พูดมีเหตุผลว่า “ไม่เหมือนกัน เจ้าและเฝิงเยี่ยไป๋แต่งงานตั้งแต่อยู่ที่เมืองหรู่หนานแล้ว ข้าและเหลียงอู๋เย่ว์เพิ่งจะแต่งงานมานานเท่าใดกัน หากจะมีวี่แวว ก็ควรจะเป็นพวกเจ้าสองคนก่อน”
น่าอวี้เป็นแม่นางที่ยังไม่ได้แต่งงานฟังเรื่องเหล่านี้ก็ไม่เหมาะสมนัก เฉินยางเห็นแล้ว จึงยื่นมือไปอุดปากเว่ยหมิ่น “ไฉนเจ้าถึงพูดจาไม่คิดเช่นนี้ ยังมีคนอยู่เลย อย่าได้พูดเลย ไม่อายหรือ”
ช่วงฤดูร้อนนั้นเสื้อผ้าก็บางเป็นปกติ รวมๆ ไปแล้วก็เพียงสองสามชั้น แถมยังเป็นผ้าไหมชั้นดี จับแล้วลื่นนัก ใส่แล้วก็เย็นสบาย เพียงยกแขนก็ลื่นมาอยู่ที่ไหล่ได้ นางยกมือไม่ได้คิดอะไร กลับทำเอาเว่ยหมิ่นเห็นแล้วตกใจยิ่งนัก
——
[1] หลิงอิน อ่างใส่น้ำแข็ง
[2] กระบี่ไม้ท้อ เป็นกระบี่ที่ใช้ปราบผีหรือปีศาจในลัทธิเต๋า โดยทำจากกิ่งท้อ
[3] จงขุย เทพในลัทธิเต๋า เป็นผู้ปราบผี
ตอนที่ 302 ไฉนเขาถึงทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ได้
ผู้หญิงเทียบกับผู้ชายแล้วนั้นก็มีความแตกต่างตามธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่สามารถเสริมในภายหลังได้ เขาดึงเจ้าเล็กน้อย หากไม่ใช่แรงก็ช่างเสียเถิด หากใช้แรงเข้าให้ แถมยังกระชากอีก ไม่ใช้เจ้าจะดิ้นหลุดได้ง่ายๆ นัก
เฉินยางพยายามที่จะปกปิดแผลที่มีอยู่เต็มตัวของตนเอง เรื่องในมุ้งของนางและเฝิงเยี่ยไป๋นั้น นางไม่ยอมพูดและก็ไม่อยากพูด เมื่อครู่สองตายังเปล่งประกายอยู่เลย ตอนนี้กลับเหมือนดั่งเมฆหนาบดบังแสงจันทร์ ขุ่นมัวยิ่งนัก กลับเป็นไร้ชีวิตชีวาอีกครั้ง
เว่ยหมิ่นไม่ค่อยเชื่อ คางแทบร่วงลงพื้นเช่นนั้น สุดท้ายก็ยังถามด้วยความไม่อยากเชื่อว่า “เป็นเฝิงเยี่ยไป๋ที่ทำหรือ”
นอกจากเขาแล้วยังมีใครได้อีก น่าอวี้บิดผ้า ในใจก็รู้สึกตกใจเช่นกัน บนหน้ากลับไม่แสดงอาการ เพียงแสดงความสงสารอยู่หว่างคิ้ว ที่แสดงออกมาไม่มากไม่น้อย ทั้งไม่ทำให้รู้สึกไร้ความเมตตานัก และก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดูหมิ่น ช่างทำได้ดีเสียยิ่งนัก
เพียงแขนก็เป็นเช่นนี้แล้ว บนตัวยังจะดูได้อีกหรือ เว่ยหมิ่นเหมือนถูกคนเอาขวานฟาดเข้าให้ ในหัวดังโครม แม้แต่จะพูดก็ลำบากขึ้นมา “ไม่ใช่…เจ้าอย่า…เขา…ไฉนเฝิงเยี่ยไป๋ถึงทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ได้ เขานี่เก่งนัก ลงมือกับผู้หญิง ช่างเก่งเหลือเกิน ตอนนี้ยิ่งนั่งยิ่งสูง วิธีของเมื่อก่อนไม่สมฐานะของเขาแล้ว ล้วนเอาวิธีใหม่ๆ มาเล่น!”
เฉินยางถูกนางพูดจนหน้าขาวบ้างแดงบ้าง นางไม่ได้รู้สึกสบายใจเช่นนั้น เรื่องเช่นนี้ถูกพูดออกมาจะไม่รู้สึกก็คงโกหก แม้ว่าเว่ยหมิ่นที่เกรี้ยวกราดเช่นนี้ก็เพราะรักนาง เพียงแต่อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก ในห้องมีคนยืนอยู่มากมายเช่นนี้อีก ปากของสาวใช้เชื่อไม่ได้เป็นที่สุด หากแพร่ออกไปแล้ว นางยังจะมีชีวิตได้อีกหรือไม่
น่าอวี้รู้ใจคนอื่น นางตบหลังมือเว่ยหมิ่นเบาๆ สองที พูดเปลี่ยนเรื่องว่า “ถือว่าข้าขอร้องพวกเจ้าเถิด นายหญิงน้อยทั้งสอง สงสารข้าเสียหน่อยเถิด โรคที่เป็นมาตั้งแต่เกิด ตลอดทั้งปีก็ดื่มยาไม่เคยขาด แม้แต่สาวใช้ที่อยู่ข้างตัวข้าก็ยังบอกว่าข้าเป็นคนที่ทำมาจากยาเลย ดูข้านี่สิ จะกลายเป็นสาวแก่อยู่แล้ว ไม่มีบ้านใดกล้ามาขอแต่งงาน กลัวความโชคร้ายของข้านี้ทำให้บ้านนั้นลำบาก ดูสภาพเช่นนี้ ข้าคงจะต้องโดดเดี่ยวเดียวดายไปทั้งชีวิตแล้ว”
ขณะที่พูดอยู่นั้นนางยิ้มอยู่ตลอด เยาะเย้ยตัวเองแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “ข้ายังคิดไว้เลย หากไม่มีใครเอา ก็จะออกบวชเป็นแม่ชี”
เว่ยหมิ่นจะไม่รู้ความตั้งใจของน่าอวี้ได้อย่างไร นางพูดแทงใจเฉินยาง นางกำลังกังวลว่าจะพูดอย่างไรต่อดีอยู่เลย น่าอวี้ก็ได้พูดคลายสถานการณ์ให้นาง ช่างเป็นแม่นางที่ดีเสียจริงๆ นางจึงพูดไปตามน่าอวี้ เลี่ยงเรื่องที่คุยก่อนหน้า แล้วพูดเรื่องอื่นต่อ
เฉินยางพอถูกพวกนางสองคนก่อกวนเช่นนี้ คิ้วก็คลายลงแล้ว พูดคุยสนุกสนาน ครึ่งวันนี้ก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เว่ยหมิ่นและน่าอวี้ลุกขึ้นเตรียมจะจากไป เฉินยางอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก เฉินยางลงจากเตียงไปส่งพวกนาง เฉินยางส่งไปถึงประตู เว่ยหมิ่นโทษสาวใช้ว่าทำงานไม่เป็น ข้างนอกร้อนนัก เป็นบ่าวรับใช้ไฉนถึงไม่รู้จักดูแลเจ้านาย ร้อนเย็นสลับกันจะเป็นโรคเอาได้ พวกนางลาจากกันที่ทางเดิน เว่ยหมิ่นกล่อมให้นางกลับไป “พรุ่งนี้พวกเราก็มาอีก เจ้าก็อย่าส่งเลย” นางลังเลอยู่พักใหญ่ก็พูดอีกว่า “เจ้าก็อย่าได้คิดเรื่องไม่ดีเหล่านั้นเลย หากวันหลังเฝิงเยี่ยไป๋กล้ารังแกเจ้าอีก เจ้าก็มาหาข้า ข้าจะสั่งสอนเขา…ตอนแรกเห็นเจ้าเป็นแม่นางดี ข้าถึงได้ตัดใจยอมให้เขากับเจ้าไป ข้ายังคิดว่าเขาจะดีกับเจ้าได้เพียงใด ที่แท้ก็รักใหม่ทิ้งเก่า เจ้าก็ไม่ต้องกลัว คนเหล่านั้นเจ้าไม่ได้เป็นคนฆ่า จะแก้แค้นก็ไม่ถึงเจ้า เฝิงเยี่ยไป๋เองก็ไม่ได้พูดอะไร พวกเราก็ต้องทำใจให้สงบให้ได้”