ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 369 สาวน้อยเขินแทบตาย / ตอนที่ 370 ลูกชายเหมือนดั่งจิ้งจอกยั่วสวาท
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 369 สาวน้อยเขินแทบตาย / ตอนที่ 370 ลูกชายเหมือนดั่งจิ้งจอกยั่วสวาท
ตอนที่ 369 สาวน้อยเขินแทบตาย
แผนการไม่ทันการเปลี่ยนแปลง แผนการของฮ่องเต้ที่คิดจะควบคุมเว่ยเฉินยางล้มเหลวแล้ว เพียงแต่ยังดีที่พระองค์ก็ได้ทำให้เฝิงเยี่ยไป๋ลำบาก ราชโองการนี้ที่ให้เขาไปทำช่างสะใจยิ่งนัก
เมฆหมอกผันเปลี่ยน สถานการณ์ตอนนี้ ก็เหมือนดั่งปอกหัวหอมเช่นนั้น ปอกไปทีละชั้น เผยไส้ข้างในออกมา สีดำสนิท ห่อหุ้มด้วยเลือด ล้วนเป็นของพี่น้อง ของประชาชน
เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับซู่อ๋องมากนัก ความสัมพันธ์ในตอนเด็กนั้นก็ถูกเวลากลืนกินไปเสียหมดแล้ว นอกจากจะเคยทำการค้ากับเขาอยู่ไม่กี่ครั้ง อย่างอื่นก็ไม่มีแล้ว
เพียงแต่หากพูดจากใจ ซู่อ๋องฉลาด มองการณ์ไกล เทียบกับฮ่องเต้ที่สนเพียงประโยชน์เล็กน้อยตรงหน้า เขาเหมาะยิ่งกว่าที่จะนั่งอยู่ในตำแหน่งฮ่องเต้ก้มมองใต้ฟ้า ชี้สั่งทุกทิศ เพียงแต่ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมาระเบียบการแต่งตั้งฮ่องเต้นั้นล้วนผู้ที่มีอายุมากกว่ามีสิทธิ์ก่อน ซู่อ๋องเสียเปรียบเรื่องอายุ จึงเป็นได้เพียงอ๋อง เพียงแต่ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่โง่เขลา ลูกชายตัวเองมีนิสัยเป็นเช่นไร ในหัวคิดอะไรอยู่ มีเล่ห์เหลี่ยมเพียงใดพระองค์จะไม่รู้หรือ ดังนั้นถึงได้ทิ้งราชโองการอีกฉบับหนึ่ง ก็คงเกรงว่ารากฐานที่ตัวเองสร้างมาอย่างยากลำบากจะพังลงบนมือลูกชายตัวเองกระมัง!
เฝิงเยี่ยไป๋จะไป ‘ฉื่อเจียนฝูเซิง’ พบเจอซู่อ๋อง ตอนที่ไปนั้นก็ได้บอกเฉินยางตรงๆ บอกว่าที่นั่นเป็นหอนางโลม เพียงแต่ที่เขาไปคือคุยเรื่องจริงจัง ผู้หญิงเหล่านั้นจะสวยงามเพียงใดก็ไม่เข้าตาเขา ให้นางวางใจได้
เว่ยหมิ่นยังไม่ไปเลย นางใช้สายตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พูดด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าเป็นทาสภรรยาเสียตั้งแต่เมื่อใด ไปเที่ยวซ่องยังต้องบอกภรรยา ชีวิตยิ่งใช้ยิ่งท้อถอยเสียแล้วจริงๆ” พูดจบนางก็หันไปคล้องแขนเฉินยางด้วยความสนิท แกล้งพูดว่า “ไม่ต้องสนเขา หากเขาจะมีคนรักอยู่ข้างนอกก็ปล่อยเขาไป พวกเรายังสามารถหาคนที่ดีกว่าได้ ไม่เสียดายเขาคนนี้”
เฝิงเยี่ยไป๋หยิกหูเว่ยหมิ่นส่ายไปมาสองที “อย่างน้อยเจ้าก็เป็นคนที่จะเป็นป้าแล้ว ต่อหน้าเด็กยังจะพูดเหลวไหลเช่นนี้อีก? เอานิสัยที่ใช้ไม่ได้ของเจ้าเก็บกลับไปเลย ทำเอาภรรยาของข้าเสียคนระวังข้าจะมาคิดบัญชีกับเจ้า”
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาเรียกนางว่า ‘ภรรยาของข้า’ อย่างจริงจัง หน้าของเฉินยางแดงไปถึงคอทันที เวลานี้นางก็ยังไม่ลืมให้หน้าเขา “ข้ารู้ ล้วนแสร้งทำทั้งสิ้น หากพวกเขาเรียกผู้หญิงที่สวยงามให้ท่านจริงๆ ท่านก็อย่าได้หักหน้าพวกเขา อย่างน้อยก็ให้หน้าพวกเขาเสียบ้าง ขอเพียงยามที่กลับมายังครบถ้วนก็พอ”
เว่ยหมิ่นฟังแล้วได้เรื่องขึ้นมา ชี้ไปตรงนี้ทีตรงนั้นที แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยว่า “ครบถ้วนเช่นนั้นหรือ” นางเอาไหล่ชนเฉินยาง “เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขากลับมาครบถ้วนหรือไม่ เขามไม่ครบถ้วนตั้งนานเสียแล้ว เจ้าจะตรวจอย่างไร”
สองตาของเฉินยางโค้งงอ ยิ้มแล้วช่างสวยงามยิ่งนัก “จมูกข้าไวนัก หากเขากล้าทำจริงๆ เช่นนั้นข้าก็จะเป็นนางมารร้ายเสียรอบหนึ่ง ไม่ให้เขาเข้าบ้าน ข้างนอกมีภูเขาสายน้ำ มีฟ้าเป็นผ้าห่มมีพื้นเป็นเตียง ให้เขานอนได้ตามใจชอบเลย”
เฝิงเยี่ยไป๋หยิกแก้มนาง “นางมารน้อย!”
เว่ยหมิ่นได้ยินจนขนลุกไปทั้งตัว “พอได้แล้ว ข้างนอกยังมีคนอยู่เลย พวกเจ้าก็เกรงใจเสียบ้าง ทำเอาข้าที่เป็นสาวน้อยเขินแทบตายแล้ว”
เฝิงเยี่ยไป๋ได้กลิ่นไม่ชอบมาพากล เลิกคิ้วจ้องมองนาง “เจ้ากับเหลียงอู๋เย่ว์ก็แต่งงานนานเพียงใดแล้ว ยังเป็นสาวน้อยอีกหรือ ไม่ใช่ว่าเหลียงอู๋เย่ว์มีโรคที่บอกคนอื่นไม่ได้กระมัง โรคนี้ปล่อยให้อยู่นานไม่ได้ พอดีอิ๋งโจวยังอยู่ในจวนข้า พรุ่งนี้เชิญเขามาจับชีพจร มีโรคต้องรีบรักษาถึงจะดี”
——
ตอนที่ 370 ลูกชายเหมือนดั่งจิ้งจอกยั่วสวาท
ฉื่อเจียนฝูเซิงเป็นหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ทั้งขุนนางและราชวงศ์ ที่ไม่ขาดที่สุดก็คือคนมีเงิน
ที่ซู่อ๋องเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ ในใทองหลวงนั้นนอกจากเฝิงเยี่ยไป๋แล้วก็ไม่มีใครรู้ แม้แต่ลูกชายก็ยังกล่อมเขา เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง ไฉนถึงได้เชื่อใจเขาเช่นนี้ หากกลับไปเขาไปทูลฮ่องเต้ พวกเขานั้นไม่เท่ากับฆ่าตัวตายหรือ
ซู่อ๋องถามเขากลับว่า “เรื่องราชโองการนั้นตอนนี้รู้กันไปทั่ว คนที่ร้อนรนที่สุดคือใคร ย่อมเ)นฮ่องเต้ วันก่อนมีสายลับในวังมาแจ้ง บอกว่าราชโองการนั้นเขียนไม่ครบ ชื่อที่อยู่บนนั้นเขียนไม่จบ ราชโองการที่เขียนครบนั้นอยู่ในกรมความลับทหาร ยามนี้ฮ่องเต้เหมือนดั่งมดที่อยู่บนกระทะร้อน ร้อนรนจนหาวิธีมั่วไปหมด”
อวี่เหวินลู่หมุนแก้วชา เขาเหมือนดั่งอ๋องบิดาของเขาซ่อนความฉลาดในแววตาไม่อยู่ “ข้าเคยเห็นรายงานที่สายลับส่งมา บอกว่าเขียนเพียงอักษรข้าง `เดิน` ก่อนหน้านี้จะสงสัยว่าเป็นเฝิงเยี่ยไป๋ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล นามของท่านก็เป็นพระอัยกาตั้งด้วยตัวพระองค์เองว่าเหยาจือ นามของเฝิงเยี่ยไป๋ก็เป็นพระอัยกาที่ตั้งให้ตอนยังอยู่ในโรงเรียนในวังว่าเหลียวอี้ บอกกับความสัมพันธ์ของไทเฮากับพระอัยกานั่น รักบ้านถึงนก บอกว่าเป็นเขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีที่มา”
อ๋องซุ่เลิกคิ้วเห็นด้วย “ไม่เลว ฮ่องเต้อยากเห็นข้าสู้กับเฝิงเยี่ยไป๋ เขาจะได้นั่งรอผลประโยชน์ ช่างเป็นแผนดีเสียจริง”
“ยังเป็นอ๋องบิดาที่เก่งกว่า หากสามารถร่วมมือกับเฝิงเยี่ยไป๋ต่อกลกับฮ่องเต้ได้ ใต้ฟ้านี้ก็จะเป็นของท่าน” พูดจบก็กล่าวอีกว่า “เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋นี้… คนนี้ต่อกลได้ยากนัก อานคตหากแว้งกัดคืนมาจะกลายเป็นภัยร้ายแรงแน่ๆ”
“หากอยากทำเรื่องยิ่งใหญ่ให้สำเร็จ ในมือก็จำต้องมีดาบสองคมหลายเล่ม ดาบสองคมนี้หากใช้ดีแล้ว อนาคตถึงจะได้ใจประชาชนโดยง่าย เจ้าจงจำไว้ ผู้เป็นอ๋อง ได้ใจประชาชนคือได้แผ่นดิน ใจประชาชนนั้นไม่ใช่เพียงใจของประชาชนใต้ฟ้าเท่านั้น ยิ่งเป็นใจของเหล่าขุนนาง หากไม่สามารถใช้เขาทำงานให้เจ้าได้ ก็เป็นความล้มเหลวของเจ้า”
ผู้เป็นลูกชายสามารถได้รับการสอนจากพ่อของตัวเองทั้งหมดเช่นนี้ถือเป็นเรื่องโชคดี อวี่เหวินลู่ประสานมือขันรับ แล้วดื่มเหล้าในจอกจนสิ้น แววตาคล้ายดั่งพ่อของเขา ตอนนี้แม้นางของเขาจะเป็นเพียงซื่อจื่อ[1] เพียงแต่อนาคตรอให้ท่านพ่อของเขาละจากฐานะ เขาก็จะเป็นฮ่องเต้ของต้าเยี่ย สิ่งที่ต้องเรียนมีไม่น้อย มีเรื่องมากมายก็ต้องทำเอง อ๋องซุ่ไม่เคยปิดบังความทะเยอทะยานของตัวเอง ตอนแรกอาศัยข้ออ้างที่ลงใต้ปราบกบฏนั้น เขาได้ซื้อใจกบฏไว้ แล้วบุกเมืองเหมิงลงมาได้ และก็ตั้งรากฐานไว้ที่เมืองเหมิง แล้วกบฏตรงๆ
อวี่เหวินลู่ไม่รู้สึกว่าพ่อของเขาทำผิด ตรงกันข้าม ความสามารถด้านการเมืองต่างๆ ของฮ่องเต้นั้น ก็ไม่สู้ท่านพ่อของเขาจริงๆ ที่สามารถนั่งในตำแหน่งดั่งทุกวันนี้ก็เป็นเพียงเพราะเกิดก่อนไม่กี่ปี ใต้ฟ้านี้ก็ควรจะเป็นของพ่อเขาตั้งแต่แรก
ท่านแม่ของเขาด่วนจากไป เหล่าภรรยาของท่านพ่อนั้นแต่ละคนอายุก็น้อย ดังนั้นเขาจึงอยู่ข้างกายพ่อตั้งแต่ยังเด็ก ความฉลาดของพ่อเขานั้นก็เรียนมาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว อยากได้สิ่งใดไม่มีการปิดบังแน่นอน
ครั้งแรกที่เฝิงเยี่ยไป๋เห็นอวี่เหวินลู่นั้น ก็ไม่มีภาพลักษณ์ที่ดีนัก เจ้าเด็กนี่หน้าตาเหมือนดั่งจิ้งจอกยั่วสวาท ท่าทางมีความเป็นชายน้อยหน่อย หากพูดถึงเพียงหน้าตา จะว่าไม่ดีก็ไม่ได้ อย่างไรเสียผู้ชายก็ไม่ชอบใบหน้านี้แน่นอน เพียงแต่หากวางอยู่ในกลุ่มผู้หญิง จะต้องได้รับความนิยมอย่างแน่นอน
อีกอย่างเจ้าเด็กนี้มีท่าทางเจ้าเล่ห์นัก เขามองแล้วก็คันไม้คันมือ จะให้ชอบได้หรือ ช่างเสียเถิด
ไม่ต้องมีการแนะนำ ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะนั้นก็คือซู่อ๋อง ดูแล้วท่าทางยิ่งใหญ่ห้าวหาญ ไฉนลูกชายถึงได้เหมือนดั่งจิ้งจอกยั่วสวาทเช่นนี้ได้
บนโต๊ะรวมๆ แล้วก็มีเพียงพวกเขาสามคน ย่อมไม่นับเหล่าองครักษ์ที่ปะปนอยู่ในผู้คน
——
[1] ซื่อจื่อ ตำแหน่งบุตรชายผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ของบิดา ส่วนใหญ่มักเป็นบุตรชายคนโตหรือบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอก