ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 371 ใจรักแล้วก็คือทั้งชีวิต / ตอนที่ 372 ซื่อจื่อเคยได้แต่งภรรยาหรือไม่
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 371 ใจรักแล้วก็คือทั้งชีวิต / ตอนที่ 372 ซื่อจื่อเคยได้แต่งภรรยาหรือไม่
ตอนที่ 371 ใจรักแล้วก็คือทั้งชีวิต
ในเมื่อซู่อ๋องกล้าเลือกสถานที่ไว้ที่นี่ ก็เห็นได้ว่าเตรียมตัวมาอย่างดี ไม่กลัวถูกคนอื่นพบเข้า เช่นนั้นเฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว อย่างน้อยก็แสดงได้ถึงความจริงใจของซู่อ๋อง เขาให้จุดอ่อนกับเขาเอง หากอีกครู่เดียวเจรจาไม่สำเร็จ เขาก็สามารถกลับไปทูลฮ่องเต้ ถึงยามนั้นฮ่องเต้มาจับพวกเขา พวกเขาก็ไม่มีใครหนีรอดไปได้
เฝิงเยี่ยไป๋ประสานมือคำนับซู่อ๋อง ท่าทางนั้นไม่ได้ดีนัก เรียกว่าทำไปตามมารยาทจะให้ตำหนิก็ไม่ได้ ซู่อ๋องอายุมากกว่าเขาปีสองปี ช่วงหลายปีมานี้อยู่ที่เมืองเหมิงได้ฝึกจนสุขุมสงบนิ่ง ใบหน้ายามที่เจอคนก็มีรอยยิ้ม เทียบกับฮ่องเต้ที่แสดงอารมณ์ทั้งหมดไว้บนพระพักตร์นั้นมั่นคงกว่ามาก
ซู่อ๋องกดมือลงเชิญเขานั่งลง “ไม่ต้องมากพิธี พวกเราก็ถือว่าเป็นคนรู้จักกันมานานแล้ว ข้ายังจำได้ว่าคราวก่อนที่เจอเจ้าอยู่ที่เมืองหรู่หนาน จากกันคราวนั้น จนถึงวันนี้ก็ผ่านไปอีกสองสามปีแล้ว”
เฝิงเยี่ยไป๋ฉีกมุมปาก “ก็ไม่ใช่หรือ ขอบคุณที่ท่านอ๋องไม่รังเกียจ การค้าเล็กน้อยของข้านั้นก็ยังให้ความสำคัญ”
จุดประสงค์การสนทนาเริ่มจะไปผิดทางแล้ว อวี่เหวินลู่ขมวดคิ้ว ชูแก้วให้เฝิงเยี่ยไป๋ “ได้ยินว่าตอนนี้ท่านได้เป็นท่านกู้หลุนอ๋องแล้ว แถมยังได้รับการประทานให้อยู่จวนซู่อ๋อง… ไม่ใช่ ตอนนี้ควรเรียกจวนท่านกู้หลุนอ๋องแล้ว ช่างน่ายินดียิ่งนัก!”
เฝิงเยี่ยไป๋เหลือบมองเขา ไม่ยกแก้วขึ้น กลับแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้ว่า “ขอถามท่านอ๋อง ไม่ทราบว่าท่านนี้คือ…”
ซู่อ๋องบิดหน้ายิ้มพูดว่า “ลูกลู่ อย่าได้เสียมารยาท!” จากนั้นก็ยิ้มขอโทษเฝิงเยี่ยไป๋ “คนนี้เป็นลูกชายคนโตของข้า ปีนี้อายุครบสิบหก ยังหนุ่มไม่รู้เรื่องนัก เสียมารยาทกับท่านอ๋อง ต้องขออภัยด้วย”
เจ้าเด็กที่ขนยังขึ้นไม่ครบ อาศัยอะไรมาข่มขู่เขา ท่าทางการกระทำของพ่อเขาไม่ได้ขาด เพียงแต่ความสงบนิ่งนั้นขาดเสียหน่อย ขึ้นมาก็หาเรื่อง ใจร้อนเกินไป ไม่รู้เรื่องนัก
อวี่เหวินลู่มีพ่อของเขากดไว้อยู่ก็ไม่กล้าทำอีก เขาดื่มแก้วหนึ่งขอโทษเฝิงเยี่ยไป๋ว่า “ท่านอ๋องโปรดอภัย เหล้าแก้วนี้ข้าขอโทษท่าน”
เขายังคงไม่ยกแก้ว บนหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ท่านอ๋องส่งนกพิราบส่งสารมาตั้งไกลเชิญข้ามาพบกันที่โรงเหล้า ไม่ทราบว่าเพราะเรื่องใดหรือ”
ซู่อ๋องก็สงบนิ่งและไม่โกรธ เขาถูหัวเข่า บนหน้าถึงกับมีความเขินอาย “วันก่อนมีนกพิราบตัวหนึ่ง ก็เป็นเพียงนกพิราบส่งสาร ตอนแรกเลี้ยงไว้อยู่ในบ้าน จะฝึกมันบินไปที่อื่น ในตอนเช้าได้เขียนจดหมายไว้เรียบร้อย วันถัดมากลับถูกภรรยาที่ไม่รู้เรื่องของข้านั้นมัดไว้ที่ขานกแล้วปล่อยออกไป รอให้รู้เรื่องนั้นก็สายไปแล้ว”
คนนี้ก็ช่างเป็นคนสงบนิ่งนัก ก่อกบฏเป็นเรื่องใหญ่เพียงใด จดหมายที่ไปๆ มาๆ นั้น ล้วนกระทบถึงรากฐานที่สร้างไว้ เพียงแค่ฉบับเดียวก็สามารถเอาชีวิตเขาได้ เขากลับใจใหญ่ ไม่ซ่อนเอาไว้แถมยังให้ผู้หญิงดู ดูท่าทางจะไร้สาระนัก เกรงว่าก็เป็นคนที่รักลึกคนหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็คงไม่เชื่อใจถึงขั้นนี้
อวี่เหวินลู่หน้าดำทันที รู้สึกอับอายที่พ่อของเขาเปิดเผยเรื่องนี้ เขารู้เรื่องชายหญิงตั้งแต่อายุสิบสี่ พ่อของเขาก็ได้ยัดเด็กสาวสองคนไว้ที่ห้องของเขา หน้าตาสวยงามมีเสน่ห์ พอเรียก `ซื่อจื่อ` ออกจากปากก็ทำเอาแทบละลาย มองดูก็เรื่องหนึ่ง เพียงแต่เข้าปากชิมแล้วก็เท่านั้น เขาไม่เข้าใจนัก ผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น ไฉนถึงได้ทำให้พ่อของเขารักหนักหนา
ที่พ่อของเขาสอนเขาคือผู้ที่ทำการใหญ่ไม่คิดเล็กคิดน้อย เขากลับดี ตัวเองจมอยู่ในความรักชายหญิงเสียแล้ว พ่อของเขาบอกว่าเขายังไม่เจอคนที่สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของเขาได้ ไม่เช่นนั้น ก็จะเป็นดั่งเขา ผู้ชายไม่ได้รักง่ายนัก พอรักแล้วก็คือทั้งชีวิต
แม้แต่เฝิงเยี่ยไป๋ที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ ในบ้านก็มีนายหญิงประจำบ้าน ก็คุมเขาอย่างสนิทเช่นกัน
——
ตอนที่ 372 ซื่อจื่อเคยได้แต่งภรรยาหรือไม่
ซู่อ๋องพบเฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่ได้เพื่อเรื่องใหญ่อันใด ต่อให้มีเรื่องใหญ่จริงก็ไม่อาจผ่านมือเขาได้ เริ่มต้นมาก็คุยสัพเพเหระ ตอนหลังพูดเข้าเรื่องแล้ว เขาก็ถอนหายใจเบาๆ ว่า “แคว้นไม่เป็นแคว้น อวี่เหวินชังไร้ความสามารถ สนเพียงแต่นั่งอยู่บนที่สูงเป็นฮ่องเต้อย่างสบายใจนัก หลายปีมานี้ ก็ไม่เคยเยี่ยมเยือนประชาชนเลย ที่สงบก็สงบเพียงเมืองหลวง ทั่วแคว้นทั้งหมดล้วนพินาศมากมาย
พูดถึงตรงนี้ก็อดเจ็บปวดไม่ได้ “โดยเฉพาะปีก่อนเขาก็ได้สั่งให้สร้างหอเด็ดดาวอะไรนั่นอีก ทั้งแรงงานเงินทองล้วนสิ้นเปลืองอยู่ที่นั่น ก่อนที่จะมีงานชุมนุมใหญ่ของเหล่าเชื้อพระวงศ์แคว้นอื่นๆ ก็เริ่มเตรียมการไว้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแคว้นเล็กที่อยู่รอบๆ ยังมีเจ้าครองแคว้นอันชิ่ง ซิงผิงทั้งสองคน แอบสะสมกำลังทหารไว้ ต่างรอศึกนี้กันอยู่เลย ฮ่องเต้รอให้พวกเราสู้รบกันเอง ข้างหลังยังมีคนที่รอเก็บผลประโยชน์มากมายอยู่เลย”
เฝิงเยี่ยไป๋พูดว่า “เหล่าขุนนางที่อยู่ในราชสำนักนั้นล้วนเป็นคนไร้ความสามารถ คิดแต่จะปีนให้สูงขึ้น พอเจอเรื่องก็ถอยดั่งเต่าหดหัว หวังจะให้คนพวกนั้นช่วยแคว้น ไม่สู้สละบัลลังก์ให้คนอื่น อย่างน้อยก็ไม่ต้องนองเลือดกัน”
พูดมาถึงจุดนี้แล้ว ใครว่าพวกเขาคิดไม่ตรงกัน นี่ก็อยู่บนทางเดียวกันไม่ใช่หรือ! ซู่อ๋องถวายเขาหนึ่งแก้ว เหมือนดั่งมีท่าทางที่ได้เจอคนรู้ใจ “เจ้าและข้าก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน เมื่อก่อนเล่าเรียนในวังนั้น ราชครูก็ไม่สนรัชทายาทพี่ชายข้าเลย ชมเพียงเจ้าที่ความรู้ดี พระบิดาก็เช่นกัน มีครั้งหนึ่งสอบความรู้พวกเราก็ยังพูดอยู่เลยไม่ใช่หรือว่า หากเจ้าได้เป็นรัชทายาท อนาคตก็จะเป็นฮ่องเต้ได้ หากข้าจำไม่ผิด นามของเจ้าก็ยังเป็นพระบิดาของข้าที่มอบให้กระมัง?”
พูดมาถึงตรงนี้ก็เริ่มไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋ดื่มเหล้าแล้วคิดอยู่เล็กน้อย ในคำพูดมีความหมายแฝงอยู่ ยิ้มขึ้นมาสามส่วนจริงเจ็ดส่วนปลอม จงใจพูดอ้อมกับเขา “คำพูดนี้ข้าไม่อาจปฏิเสธ เพียงแต่หลังจากนั้นก็มีเรื่องไทเฮานั่นอีก แม้ว่าในนามข้าจะเป็นลูกชายครึ่งหนึ่งของเขา เพียงแต่ลูกบุญธรรมจะใกล้ชิดกว่าลูกแท้ๆ ได้อย่างไร ตอนหลังก็เพราะคำพูดนี้ เกือบจะทำข้าตาย จนไปอยู่หรู่หนานก็ไม่จบไม่สิ้น เพลิงครั้งเดียว เกือบเผาพ่อข้าจนตาย ในวังไร้ความผูกพันยิ่งนัก ประโยคเดียวก็ทำให้คนตายได้ เรื่องมาถึงวันนี้ข้าก็ไม่อยากสืบว่าเป็นใครที่ทำร้ายข้าแล้ว อย่างไรก็ตายเสียหมดแล้ว ที่ยังไม่ตาย ก็เหลือเพียงฮ่องเต้กับท่านแล้ว ดังนั้นข้าจึงคิดว่าคงไม่ใช่ท่านกระมัง”
หน้าซู่อ๋องอึ้งอำ
อวี่เหวินลู่รีบพูดต่อ “ท่านอ๋องพูดไปถึงที่ใดเสียแล้ว อ๋องบิดาข้าตรงไปตรงมา ไม่เคยทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ ไฉนถึงได้สงสัยมาถึงอ๋องบิดาข้าเสียแล้ว”
จะใช่หรือไม่ก็ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ อยากจะสืบก็สืบไม่ได้แล้ว ในคำพูดของซู่อ๋องมีกลลวงใส่เขา อยากจะให้เขาหลงกล ทดสอบดูว่าเขารู้เรื่องในราชโองการมากน้อยเพียงใด และก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะเอาเรื่องเก่าๆ ออกมาพูด ไม่ต้องสนว่าในตอนนั้นเป็นเขาหรือไม่ ยามนี้อย่างไรก็ยอมรับไม่ได้ ดึงเขาเข้ามายังไม่ทันเลย จะสร้างศัตรูในยามนี้ได้อย่างไร
เฝิงเยี่ยไป๋ดื่มเองสนุกเอง ที่ข้างหูมีเสียงดนตรี ดงหญิงงาม ที่ผลาญเงิน อย่างพวกเขาที่มีลูกมีภรรยานั้น ให้ความสำคัญกับภรรยาเป็นที่สุด การไม่หวั่นไหวเป็นเรื่องดี เพียงแต่ชายหนุ่มดั่งอวี่เหวินลู่ที่อยู่ในวัยเลือดลมพลุ่งพล่านนั้น ถึงกับไม่หวั่นไหว ช่างไม่เข้าใจยิ่งนัก
หลังจากมองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง เฝิงเยี่ยไป๋ก็เปลี่ยนเรื่องถามซู่อ๋องว่า “ซื่อจื่อก็อายุไม่น้อยแล้ว ไม่รู้ว่าเคยได้แต่งภรรยาแล้วหรือไม่”
ซู่อ๋องกล่าว “ยังไม่เคย ในบ้านมีเพียงหญิงปรนนิบัติสองคน เหล่าผู้ชายน่ะ มีความทะเยอทะยาน อายุน้อยก็ถูกผู้หญิงขัดขาเอาไว้จะไม่ดี”