ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 391 บทนี้ก็เป็นน้ำตาล / ตอนที่ 392 ท่านอ๋องที่เป็นแพะรับบาปยังแข็งข้ออีก
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 391 บทนี้ก็เป็นน้ำตาล / ตอนที่ 392 ท่านอ๋องที่เป็นแพะรับบาปยังแข็งข้ออีก
ตอนที่ 391 บทนี้ก็เป็นน้ำตาล
ยามที่เฉินยางไปนั้น ตอนแรกบอกว่าไม่พาซั่งเหมยซั่งเซียงไป หรือพาไปเพียงคนเดียว เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋ไม่เห็นด้วย ให้พาไปทั้งสองคน บอกว่าเหล่าสาวใช้ก็จะได้ดูแลกันเองได้ แน่นอนอยู่แล้วว่า คนข้างกายนาง ดูแลนางก็ยิ่งถนัด
รอบนี้ไม่ได้พาเฉาเต๋อหลุนไป เขาไม่มีวิชา ไปแล้วเกรงจะวุ่นวายอีก กององครักษ์ที่ติดตามไปด้วยก็ไม่รู้จักองครักษ์ในจวนของเขา จึงเรียกเจี่ยชีไปอีกคน แล้วเอาคนที่ปกป้องเฉินยางอยู่ลับๆ ไปด้วยกัน
ทางบกกันดาร เฉินยางก็มีครรภ์อยู่ บอกกับอาเจียนช่วงท้องรุนแรงนัก สุดท้ายนางก็รู้ซึ้งถึงความหวังดีของเฝิงเยี่ยไป๋ เขาจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก็เพื่อว่าระหว่างทางนางไม่สบายจะไม่จวนตัว ดูแลนางไม่ได้ แม้ว่าของบนรถเอาลงมาไม่น้อย เพียงแต่ของนางก็ยังเหลือไว้อยู่มาก
ซั่งเหมยเอาลูกไหนเปรี้ยวให้นาง ชี้ไปที่ท้องของนางบ่นว่า “ซื่อจื่อน้อยนี้ก็วุ่นวายเสียจริง ไม่ใช่ว่าแม่ลูกใจสื่อถึงกันหรือ ยามที่อยู่ในจวนก็สงบดี พอออกมาก็วุ่นวายแล้ว”
เฉินยางยิ้มอย่างอ่อนแรง “ก็วุ่นวายเสียจริง ข้าอ้วกจนน้ำย่อยก็จะอ้วกออกมาแล้ว”
ลูกไหนยังไม่ทันได้กัดลงไป ก็เริ่มอ้วกอีกครั้ง ซั่งเซียงรีบเอากระโถนมา นางอุ้มกระโถน อาเจียนอยู่นาน นอกจากน้ำย่อยแล้ว อ้วกอะไรไม่ออกอีก กระเพาะก็ว่างเปล่าแล้ว ยังจะอ้วกสิ่งใดออกมาได้อีก
การตั้งครรภ์เป็นเรื่องเหนื่อยยาก วันนี้นางก็ได้รับรู้ด้วยตัวเองแล้ว
เฝิงเยี่ยไป๋อยู่ข้างหน้าออกคำสั่ง ได้เลือกหลายตำแหน่งบนแผนที่ เขาตัดสินโรงเตี๊ยมที่จะพักในคืนนี้ มองรถม้าข้างหลังด้วยสายตากังวล ข้างหน้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เขาวางมือลง ทิ้งประโยคไว้ว่า “ไม่ต้องรีบร้อนเดินทาง ขับรถม้าให้นิ่ง” หัวหน้าองครักษ์ขันรับ พริบตาเดียวเขาก็หายไปเลย
ตอนที่เขาเปิดม่านมุดเข้าไปในรถนั้น เฉินยางพิงอยู่บนตัวซั่งเหมยด้วยความอ่อนแรง ซั่งเซียงลูบหลังให้นาง ทั้งสองคนล้วนไม่มีประสบการณ์ เจอเรื่องเช่นนี้ก็ไม่มั่นใจ ไม่รู้จะปรนนิบัติอย่างไร จึงได้แต่ทำตามที่ทำอยู่ปกติ ป้อนนางดื่มน้ำให้หายใจสะดวกขึ้น
พอเฝิงเยี่ยไป๋เข้ามา ในรถม้าก็ใส่ไม่หมดแล้ว ซั่งเหมยซั่งเซียงถอยออกไปอย่างรู้ตัว ใบหน้าเฉินยางเหลืองซีด พูดจาก็อ่อนแรง เห็นเฝิงเยี่ยไป๋ ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “ลูกชายท่านก็ใจร้ายเสียจริง ของก็ไม่ให้ข้ากินแล้ว ข้าอ้วกแทบจะตายแล้ว ไม่รู้จักรักแม่ของเขาเลย”
เฝิงเยี่ยไป๋เจ็บปวดมากมาย มือวางอยู่บนท้องของนาง นวดเบาๆ “รอเขาออกมาแล้ว ข้าตีเขาระบายให้เจ้า”
เฉินยางยิ้มอย่างจนใจ “นั่นเป็นลูกชายของเจ้า เจ้าไม่เจ็บปวดหรือ”
“เพียงแต่ข้ารักเจ้ายิ่งกว่าทำอย่างไร” เขาจูบหน้าผากนาง เจ็บปวดแทบตาย “นี่เป็นลูกคนแรกของข้า ข้าไม่เคยรู้เลยว่าผู้หญิงตั้งครรภ์ลำบากเพียงนี้ เจ้าลำบากข้าก็พลอยรู้สึกลำบากไปด้วย จะทำอย่างไรดี ตอนแรกข้ายังอยากได้อีกหลายคน เพียงแต่เจ้าเป็นเช่นนี้… พวกเรามีเพียงคนเดียวก็พอแล้ว ข้าไม่อยากเห็นเจ้าทรมาน”
เฉินยางพิงอยู่ในอกของเขา เล่นนิ้วของเขาพูดว่า “ข้าก็รู้สึก คนเดียวก็พอแล้ว ท่านพ่อของข้ามีข้าคนเดียวก็ดีใจมากแล้ว รอข้ากลับไปแล้วจะปรนนิบัติเขาดีๆ”
เฝิงเยี่ยไป๋แอบยิ้ม “ท่านพ่อของเจ้าไม่ได้มีลูกสาวเสียเปล่าเลย”
“เช่นนั้นแล้วหากข้าคลอดลูกสาวออกมาจะทำอย่างไร เจ้าจะไม่ชอบหรือไม่”
เขาเคาะที่หน้าผากนางเบาๆ “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ขอเพียงเป็นเจ้าคลอดข้าล้วนชอบหมด ลูกสาวข้าก็ชอบ หากเป็นลูกสาว ข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าสองแม่ลูก เลี้ยงเขาเหมือนดั่งเจ้าหญิง หากเป็นลูกชาย ข้าจะสอนหมัดมวยให้เขา พวกเราพ่อลูกเลี้ยงเจ้าเอง”
ตอนที่ 392 ท่านอ๋องที่เป็นแพะรับบาปยังแข็งข้ออีก
ตะวันตกดิน พวกเฝิงเยี่ยไป๋เข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งย่านชานเมือง เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น จึงเหมาทั้งโรงเตี๊ยมไว้ เฝิงเยี่ยไป๋และเฉินยางพักอยู่ชั้นสอง องครักษ์ทั้งหมดอยู่ชั้นหนึ่งผลัดเวรกัน กลางคืนไม่จำเป็นต้องให้ซั่งเหมยซั่งเซียงปรนนิบัติ เพียงแต่เพื่อความสะดวก ก็ให้พวกนางพักอยู่ชั้นสอง
คนทำงานใช้แรงจะให้หิวไม่ได้ มื้อกลางคืนมีครบทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ เหล่าผู้ชายกินข้าวเสียงดังสนุกสนาน ยังดีที่ดื่มเหล้าไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงวุ่นวายกันน่าดู
เฉินยางกินอยู่ที่ชั้นสอง อาหารไม่ต่างจากชั้นล่างมากนัก เพียงแต่ล้วนเป็นอาหารที่เฝิงเยี่ยไป๋กำชับห้องครัวเอาไว้ น้ำมันน้อย และไม่เลี่ยน เพื่อจะให้นางกินไดเสะดวก
นางตักน้ำแกงด้วยความเบื่อหน่าย วางอยู่ข้างริมฝีปาก กลับยากจะกลืนลงไป “กินแล้วก็อ้วกอีก ช่างเสียเถิด”
ซั่งเหมยกล่อมนาง ท่านไม่กินซื่อจื่อน้อยจะโตได้อย่างไร อ้วกออกมาก็ต้องกิน ไม่เช่นนั้นในกระเพาะว่างเปล่า หิวแล้วไม่ทรมานหรือ”
ซั่งเซียงปาดน้ำมันที่ลอยอยู่บนน้ำแกงไก่จนเกลี้ยง ใช้ช้อนคนเล็กน้อย แล้วส่งให้นางใหม่ “จะมากจะน้อยท่านก็ดื่มคำหนึ่ง ทางข้างหน้ายังอีกไกล จะอ้วกก็เพียงช่วงนี้ รอผ่านช่วงไม่กี่เดือนแรกไปก็ดีขึ้นแล้ว”
นางไม่กิน ลูกในท้องของนางก็ไม่ได้กิน นางหิวไม่เป็นไร ลูกหิวจะทำอย่างไรดี ลูกคนนี้ตอนนี้เป็นร่างเดียวกับนาง เพื่อลูก ต่อให้อ้วกจนกระเพาะและไส้ออกมาก็ต้องยัดกลับเข้าไปกินต่อ
นางถือถ้วยไว้ ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ดื่มรวบเดียวหมด น้ำแกงเข้าปาก นางไม่รู้รสชาติแล้ว นางรีบกินข้างและอาหารต่อ รอบหนึ่งลงมา สุดท้ายก็ได้กินอิ่มเสียที
กลางคืนก่อนจะนอนนางก็อ้วกอีกหลายครั้ง ข้าวคือกินเสียเปล่าแล้ว เพียงแต่จะมากจะน้อยก็มีประโยชน์อยู่บ้าง เฝิงเยี่ยไป๋เห็นท่าทางของนางเช่นนี้ ทั้งคืนก็ตื่นไปตามนางไม่ได้หลับดี ภรรยาของเขาทำเพื่อลูกจนเป็นเช่นนี้แล้ว จะให้เขานอนเขาก็นอนไม่หลับ เฉินยางชกที่อกเขาแอบร้องไห้ ไม่ใช่ว่านางเอาแต่ใจ ความรู้สึกนี้ใครตั้งครรภ์ถึงจะรู้ กินไม่อิ่มนอนไม่หลับ ทรมานยิ่งนัก
จากเมืองหลวงไปเมืองเหมิง หากเป็นม้าเร็วแล้วเร่งอีก ก็เพียงระยะทางสามถึงห้าวัน เพียงแต่พวกเขามาครั้งนี้มีรถม้าห้าคัน เดินๆ หยุดๆ ดังนั้นเดินทางมาแล้วเจ็ดวันก็ยังไม่ถึงเขตเมืองเหมิงเลย เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้ร้อนรนนัก ถือเสียว่าเขาพาภรรยามาเที่ยว เขาไม่รีบร้อน เพียงแต่มีคนรีบร้อนจนอยู่ไม่สุข อวี่เหวินลู่ส่งคนสืบข่าวว่าเขาไปถึงที่ใดแล้วทุกวัน คนส่งข่าวก็ร้อนรน วันหนึ่งเดินทางได้แปดชั่วยาม เขาสามารถหยุดพักได้สี่ชั่วยาม จะไม่ช้าได้หรือ
อ๋องซุ่บ่นว่าเขาร้อนรนเกินไป ไม่มีความสุขุม “คนเขาประโยคเดียวก็กระตุ้นเจ้าจนโกรธเช่นนี้แล้ว เช่นเจ้านี้ สองสามประโยคก็โกรธขึ้นมา อารมณ์ล้วนเขียนอยู่บนหน้า ยากจะทำเรื่องใหญ่โตนัก”
อวี่เหวินลู่ทุบกำปั้นอย่างหนักลงที่โต๊ะ “ไม่ใช่ลูกชายไม่เอาถ่าน เป็นเขาเฝิงเยี่ยไป๋รังแกคนนัก คำพูดของเขาในวันนั้นท่านก็ได้ยินแล้ว นี่ไม่ใช่ตบหน้าลูกชายต่อหน้าท่านหรือ”
“เขาพูดผิดแล้วหรืออย่างไร” ซู่อ๋องแค้นจัดที่ลูกชายไม่ได้ความ “ข้าที่เป็นพ่อเจ้าตัวโตเท่าเจ้านั้น เจ้าก็มุดเข้าไปอยู่ในท้องของแม่เจ้าแล้ว หญิงปรนนิบัติที่หาให้เจ้า เจ้าก็นอนเพียงครั้งเดียว ยังบอกว่าไม่สนใจผู้หญิง เช่นนั้นเจ้าสนใจสิ่งใด สนใจผู้ชายหรือ เจ้าอยากให้พ่อเจ้าขาดคนสืบตระกูลหรืออย่างไร”
“เช่นนั้นเขาเฝิงเยี่ยไป๋เล่า นี่ก็สามสิบแล้ว ก็เพิ่งได้ลูกชายไม่ใช่หรือ ตัวเขาเองก็ใช้ไม่ได้ อาศัยอะไรมาว่าข้า ก็เพียงแค่เป็นท่านอ๋องแพะรับบาปเท่านั้น ยังกล้าแข็งข้ออีก อาศัยอะไรหรือ!”