ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 397 เขาช่างแต่งภรรยาได้เก่งเสียจริง / ตอนที่ 398 ตัวเล็กตัวน้อยยังกล้าขวางข้า
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 397 เขาช่างแต่งภรรยาได้เก่งเสียจริง / ตอนที่ 398 ตัวเล็กตัวน้อยยังกล้าขวางข้า
ตอนที่ 397 เขาช่างแต่งภรรยาได้เก่งเสียจริง
เฉินยางได้ยินข้างนอกมีเสียงดังโครมคราม ยังมีเสียงร้องโหยหวนของผู้หญิง จึงเรียกซั่งเหมยออกไปดู ซั่งเหมยวิ่งออกไปดู ครู่เดียวก็กลับมา พูดอย่างดีใจว่า “ท่านอ๋องประหารใต้เท้าหลี่แล้ว ค้นสิ่งของออกมาได้มากมาย ใต้เท้าหลี่ก็จมบ่อน้ำแล้ว ท่านอ๋องบอกว่าพรุ่งนี้ก็เอาข้าวที่เขาโกงมาได้นั้นแบ่งให้กับประชาชนทุกข์ยากในเมือง ยังมีเงินเหล่านั้น ก็ได้ให้คนไปซื้อข้าวแล้ว”
เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ให้นางยุ่ง เฉินยางยังคิดว่าเขาเองก็จะยืนดูเฉยๆ นึกไม่ถึงว่าประหารข้าราชการโกงกินคนนั้นได้เร็วเช่นนี้ ช่างสะใจยิ่งนัก
เฝิงเยี่ยไป๋กลับมาจากข้างนอก ความเ**้ยมโหดบนตัวก่อนหน้านี้ได้หายไปหมดสิ้น เขาทำหน้ายิ้ม เห็นอาหารบนโต๊ะที่ยังไม่ถูกแตะแม้แต่คำเดียว ก็เข้าใจขึ้นมาทันที เขาเรียกซั่งเหมยซั่งเซียงยกอาหารออกไป แล้วทำใหม่อีกชุดหนึ่ง เขาเข้าไปประคองนางนั่งลงอีก “ข้าวกินให้สบายใจได้ เรื่องของผู้ชาย ผู้หยิงไม่ต้องยุ่ง”
นางมองไปข้างนอก “เช่นนั้นแล้วครอบครัวของใต้เท้าหลี่ล่ะ จะจัดการอย่างไร?”
เขาพูดว่า “ภรรยาหลวงคนหนึ่ง ภรรยารองห้าคน ยังมีลูกชายที่ใช้ไม่ได้สองคน กินดีอยู่ดีไม่เคยลำบากอะไร ก็พอดี ตอนนี้ก็ได้ให้พวกเขาลิ้มรสการที่ต้องทนหิวเป็นรสชาติอย่างไร”
เฉินยางส่งเสียง “อ้อ” เบาๆ แล้วบ่นขึ้นมาว่า “เขาช่างแต่งภรรยาได้เก่งเสียจริง”
เฝิงเยี่ยไป๋ยิ้มบีบปลายจมูกนาง “พรุ่งนี้พวกเราไปทางใต้ต่อ ยิ่งไปทางใต้ก็ยิ่งลำบาก ข้ารู้ว่าเจ้ามีจิตเมตตา เพียงแต่จะเนคนน่าสงสารก็ให้เงินให้อาหารไม่ได้ เจ้าช่วยคนหนึ่ง ข้างหลังยังมีคนกลุ่มหนึ่งยืนมือรออยู่ เพียงแค่พวกเรา ช่วยคนไม่ได้มากมายเช่นนี้ ถึงยามนั้นอย่าได้เมตตาเกินไปรู้หรือไม่”
เฉินยางพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว” แล้วก็ถามเขาว่า “ท่านกินข้าวมาแล้วหรือไม่ กินด้วยกันกับข้าเถิด”
เจี่ยชีอยู่ข้างนอกเรียกท่านอ๋อง เขายังไม่ทันได้ตอบนางก็ออกไปอีกแล้ว เจี่ยชีประสานมือส่งจดหมายให้ฉบับหนึ่ง “นี่เป็นจดหมายที่ถูกคนเอาลูกดอกมาปักไว้บนเสาตอนที่ค้นศาลอยู่ มีเพียงข้าที่เห็น ไม่มีใครรู้”
เขาจับจดหมาย ขมวดคิ้วขึ้นมา พอเปิดดู ก็เป็นดั่งที่คิด นอกจากซู่อ๋อง ก็ไม่มีใครแล้ว
ซู่อ๋องรู้ว่าเขามาถึงสุยหนิง จึงเชิญเขาไปพบกันที่เมืองเหมิง ยังพูดอีกว่า “ขารู้เรื่องที่เขาค้นศาลสุยหนิงแล้ว ได้ให้ลูกชายพาคนไปเติมตำแหน่งที่ว่างเว้นอยู่
เขาเพิ่งจะค้นศาลสุยหนิง เขาก็รู้ในทันที สายข่าวนี้ช่างเก่งเสียยิ่งนัก เขาไม่พูดพล่ำทำเพลง รีบหาคนมาเติมตำแหน่งว่าง นี่ไม่ใช่เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าผลักเขาไปบนหน้าผาหรือ ราชสำนักประหารข้าราชการ ขุนนางที่ก่อกบฏส่งคนมาเติมตำแหน่งว่าง ฮ่องเต้ก็เป็นคนที่ขี้ระแวง ข่าวไปถึงพระกรรณพระองค์ ตัวเองก็กลายเป็นพวกเดียวกับซู่อ๋องแล้ว ครั้งก่อนดึงเขาเข้าร่วม เขาไม่สนใจ ว่าแล้วก็ใช้ทุกวิถีทางเสียจริง ครั้งนี้ตัดทางถอยของเขาตรงๆ ไม่เข้าร่วมกับเขา ตัวเองกลับไปก็ตายสถานเดียว แผนดีเหลือเกิน!
เขาโยนจดหมายเผาทิ้งที่เชิงเทียนหินข้างประตู ความเ**้ยมโหดในแววตาซ่อนไว้ไม่อยู่อีกแล้ว สุดท้ายก็ยิ้มอย่างเ**้ยมโหดว่า “เจ้าส่งคนไปสืบดู ดูว่าอวี่เหวินลู่ไปถึงที่ใดแล้ว”
เจี่ยชีรับสั่งกำลังจะลงไป เขาเปลี่ยนความคิดขึ้นมา เรียกเขาไว้อีกครั้ง “ช่างเสียเถิด ไม่ต้องไปแล้ว เจ้าไปบอกหัวหน้าองครักษ์ คนที่ติดตามมานั้น นับจำนวนคนทุกครึ่งชั่วยาม หากมีคนไม่อยู่…” เช่นนั้นก็คือส่งข่าวให้ฮ่องเต้แล้ว “ฆ่าไม่ให้เหลือ!”
เจี่ยชีขานรับ แล้วถอยลงไป
เรียกคนเตรียมรถม้ารอเขาที่ประตูอีก หันกลับไปที่ห้อง ก็เจอกับแววตากังวลของเฉินยางมองมาที่เขา “เป็นอะไรหรือ เกิดเรื่องใดขึ้น”
ตอนที่ 398 ตัวเล็กตัวน้อยยังกล้าขวางข้า
เฝิงเยี่ยไป๋ปลอบนางว่าไม่มีอะไร “คนที่ส่งไปซื้อข้าวเจอฝั่งนั้นขึ้นราคา ข้าจะไปดู ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรล่ะก็ พรุ่งนี้เที่ยงก็กลับมาแล้ว”
นางยังคงเป็นกังวล “ไกลหรือไม่ ท่านไปคนเดียวหรือ” จากนั้นก็ด่าด้วยความโกรธแค้นว่า “คนเหล่านี้ไฉนถึงทำเช่นนี้ได้ กำไรน้อยลงหน่อยจะทำให้เขาหิวตายหรือ”
“พ่อค้าล้วนเป็นเช่นนี้ เจอโอกาสทำเงินได้ย่อมไม่ปล่อยไป เจี่ยชีจะอยู่ที่นี่ปกป้องเจ้า หากเจ้าจะออกไปเดินเล่นก็ให้ซั่งเหมยซั่งเซียงตามด้วย อย่าได้ออกไปคนเดียว รู้หรือไม่”
นางไม่อยากเป็นภาระให้เขา และก็ไม่อยากให้เขาเป็นกังวล นางขันรับ ก็กำชับให้เขาระวังความปลอดภัย ส่งเขาจนถึงหน้าประตูจากไปด้วยสายตา ในใจจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกเศร้าสร้อยไม่น้อยนัก
ทางฝั่งนี้อวี่เหวินลู่พาคนที่จะมาเติมตำแหน่งเร่งรีบมาที่นี่ ระหว่างทางสายข่าวรายงาน บอกว่าเฝิงเยี่ยไป๋ได้ไปที่เมืองเหมิงเพียงคนเดียวแล้ว
ในใจอวี่เหวินลู่คิด ‘เขาช่างใจกล้ายิ่งนัก ก็ไม่กลัวอ๋องบิดาใช้โอกาสนี้ ยกทัพบุกตี ตอนนี้เขาถูกบีบอยู่ระหว่างกลาง ไม่ระวังก็สิ้นชีพเอาง่ายๆ ได้ ออกมาครั้งนี้ไม่ง่ายนัก หากถูกฮ่องเต้สงสัยเข้าให้ เขาก็ไม่มีทางรอดแล้ว’
“สุยหนิงยังมีใครอีก”
สายข่าวพูดว่า “ยังมีกององครักษ์ที่ติดตามมาด้วย อ้อใช่แล้ว ได้ยินว่าพระชายาก็อยู่ในศาล”
นี่ก็คือภรรยาในปากเฝิงเยี่ยไป๋ที่ว่าสวยยิ่งกว่านางฟ้าหรือ ก็ดี เขาก็อยากจะดู ภรรยาในปากเขาที่ว่าสวยยิ่งกว่านางฟ้าตกลงหน้าตาเป็นอย่างไร ได้ยินว่าอายุน้อยกว่าตัวเองหนึ่งปี หญ้าอ่อนที่เฝิงเยี่ยไป๋กินนี้ก็อ่อนเสียจริงๆ เป็นลูกสาวเขาก็ยังได้เลย เขายังกลืนลงได้
เขาเสียดสีเฝิงเยี่ยไป๋ในใจหนักๆ เงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นประตูเมืองสุยหนิงแล้ว ทหารเฝ้าประตูเมืองสุยหนิงไม่กล้าขวางเขา ไม่มีเจ้านาย พวกเขาก็เป็นเพียงทรายที่อยู่กระจัดกระจาย ย่อมไม่กล้าผิดใจกับซื่อจื่อคนนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นลูกชายขุนนางกบฏ
อวี่เหวินลู่มาถึงศาลสุยหนิงอย่างสะดวก เจอกับกององครักษ์ที่เฝิงเยี่ยไป๋พามา ถูกขวางไว้อยู่นอกประตูอีก ยามที่เขามาก็พาองครักษ์สิบกว่าคน ทั้งสองฝ่ายต่างชักดาบใส่กัน ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
“ที่นี่เป็นเขตเมืองเหมิงของข้า เพียงคนตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเจ้า ยังกล้าขวางข้าอีกหรือ” เขาถือกระบี่ก้าวขึ้นไปสองก้าว เมื่อเ**้ยมขึ้นมา ใบหน้าก็ไม่ได้ดูดีนัก
หัวหน้าองครักษ์ก็เป็นคนดื้อดึง เขาถือดาบขยับเข้าใกล้ “ใต้ฟ้านี้ล้วนเป็นแผ่นดินของฮ่องเต้ เมืองเหมิงได้เป็นเขตของพวกเจ้าเสียเมื่อใด เพียงแค่ขุนนางกบฏเท่านั้น ก่อการกบฏสมควรตายอยู่แล้ว!”
แม้จะพูดเช่นนั้น เพียงแต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีใครกล้าลงมือก่อน ใครลงมือก่อน ตีกันขึ้นมา คนนั้นก็แพ้เหตุผล ตกลงซู่อ๋องซ่อนทหารอยู่ในเมืองเหมิงเท่าไร ก็ไม่มีใครรู้ หากลงมือกันจริงๆ กององครักษ์ของพวกเขานี้ ยังไม่พออุดรูในฟันพวกเขาเลย เพียงแต่อยู่ในช่วงเวลาที่ประชาชนลำบาก เพื่อคำนึงถึงประชาชนแล้ว ฝ่ายใดก็ไม่ลงมือ
เช่นนั้นก็น่าอับอายเสียแล้ว จะตั้งท่าใส่กันอยู่เช่นนี้ตลอดก็ไม่ได้กระมัง หากยังตั้งท่าใส่กันอยู่เช่นนี้ เมื่อใดถึงจะจบสิ้น
อวี่เหวินลู่จ้องเขาเขม็ง สุดท้ายก็ออกคำสั่งเสียงเบากับคนข้างกายให้รวบรวมประชาชนไว้อยู่ที่เดียว คนที่อยู่ข้างหลังเขา จัดแจงเสื้อผ้า แล้วยืนออกมาพูดว่า “ทุกคน ข้าเป็นคนที่ซู่อ๋องส่งมาดูแลพวกเจ้า ซู่อ๋องรู้ว่าพวกเจ้ามีชีวิตลำบาก ดังนั้นจึงตั้งใจส่งข้ามาแจกอาหาร ซู่อ๋องพูดแล้ว ตอนนี้กำลังจัดเตรียมอาหารอยู่ เตรียมจะตั้งลานข้าวต้มในเมือง ถึงยามนั้น จะต้องให้ประชาชนทุกคนกินจนอิ่ม”
พอคำพูดนี้ออกมา ก็ได้เสียงโห่ร้องยินดี ประชาชนไม่ได้สนใจว่าใครพูดแล้วใช่ ใครเป็นเจ้านาย ขอเพียงมีคนทำให้พวกเขากินอิ่ม พวกเขาก็สนับสนุนคนนั้น