ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 417 ทำงานไม่ดีข้าจะตัดศีรษะเจ้า / ตอนที่ 418 ข้างในล้วนทำเรื่องเหลวไหล
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 417 ทำงานไม่ดีข้าจะตัดศีรษะเจ้า / ตอนที่ 418 ข้างในล้วนทำเรื่องเหลวไหล
ตอนที่ 417 ทำงานไม่ดีข้าจะตัดศีรษะเจ้า
หลังจากเฝิงเยี่ยไป๋กลับมาถึงเมืองหลวงก็ต้องเข้าวังไปรายงาน เฉินยางบอกอยากจะเข้าวังไปกับเขา จะได้ไปเยี่ยมเว่ยหมิ่นพอดี เว่ยหมิ่นเคยช่วยนางไม่น้อย ตอนนี้นางถูกฮ่องเต้กักบริเวณอยู่ในวัง กินนอนไม่ดีต้องทรมานแน่ๆ นางไปแล้ว 0tได้เอาของบำรุงร่างกายให้นาง ที่เอามาจากข้างนอก อย่างน้อยก็กินได้สบายใจกว่าที่นางกินอยู่ในวัง
เฝิงเยี่ยไป๋มีตัวอย่างก่อนหน้า ไม่ยอมให้นางเข้าวัง สถานการณ์ในวันนี้ผันเปลี่ยนอยู่ทุกวัน ฮ่องเต้แม้จะไร้ความสามารถ แต่ก็ใช่ว่าจะโง่เขลา ความเคลื่อนไหวฝั่งเมืองเหมิงและอ๋องนอกด่านสองคนนั้น พระองค์ก็ต้องรู้แน่ๆ ครั้งนี้ที่ไปเมืองเหมิงนั้น คนที่ติดตามก็มีคนของฮ่องเต้อยู่ เขาก็รู้ ดังนั้นแล้วจะให้เฉินยางเข้าวังไม่ได้เด็ดขาด
ยามที่เขาไปนั้นได้กำชับเฉาเต๋อหลุน “ไม่มีคำสั่งจากข้า อย่าให้พระชายาออกไป หากมีคนอ้างเป็นคนในวังจะมารับคน ไม่ต้องสนว่าเป็นใคร ให้ขวางไว้อยู่นอกประตู ไม่ให้เข้าไปแม้แต่คนเดียว หากเรื่องนี้ทำไม่ดี กลับมาข้าจะตัดศีรษะเจ้า!”
เฉินยางอุ้มท้องส่งเขาไปถึงประตู กำชับเขาอย่าลืมไปเยี่ยมเว่ยหมิ่น พูดไปอยู่นาน ถึงได้ส่งเขาจากไปด้วยสายตา
ตอนนี้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนัก หากไม่มียศบนศีรษะนี้ สถานที่เปลี่ยนกลับไปที่หรู่หนาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าชีวิตจะมีความสุขมากเพียงใด เพียงแต่ความเป็นจริงมักไม่ได้ดั่งใจ ชีวิตดีๆ ของเขานี้ถูกฮ่องเต้ทำลายเสีย ได้ยุ่งเกี่ยวกับตระกูลนี้ช่างเป็นเวรกรรมที่ทำมาแต่ชาติปางก่อนแท้ๆ
เฉินยางเข้าวังไม่ได้ ในใจก็คิดถึงอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้เป็นแม่คนแล้วหรือไม่ ช่วงนี้นางมักจะเป็นกังวลหลายเรื่อง เรื่องเรื่องหนึ่งกดอยู่ในใจ แก้ไขไม่ได้ ก็คิดอยู่ตลอด ในใจปล่อยวางไม่ลงเช่นนั้น นางรู้ว่าเป็นเช่นนี้ไม่ดี เฝิงเยี่ยไป๋ก็ให้นางอย่างได้กังวลมากมายนัก เพียงแต่นางควบคุมไม่ไหว ในหนึ่งวันมีเวลาว่างมากเกินไป ต่อให้ไม่คิด เรื่องเหล่านั้นก็จะค่อยๆ มุดเข้ามาอยู่ในหัวของนาง ไล่ก็ไล่ไม่ออก ไม่ถอนรากก็ไล่ไม่ออกเช่นนั้น
ซั่งเหมยบอกว่านางว่างเกินไป จะลากนางไปเดินเล่นในสวนให้ได้ วันนี้แดดกำลังดี ออกไปเดินบ้างก็ดีกับลูกในท้องของนาง
ที่จริงแล้วในสวนก็ไม่มีอะไรน่าดู ฤดูนี้แล้ว ดอกไม้ดอกหญ้าก็ร่วงโรยนานแล้ว เฉินยางเดินไปถึงที่ที่นางได้เจอต้าหมี่ครั้งแรก ถึงได้นึกถึงแมวของนางขึ้นมา นางถามซั่งเหมยว่า “ต้าหมี่เล่า? ไม่ได้เจอนานเช่นนี้ ไม่รู้ว่ายังจำข้าได้หรือไม่”
ซั่งเหมยยิ้มหรี่ตาพูดว่า “นายหญิงท่านยังไม่ทราบกระมัง ต้าหมี่ก็ท้องแล้วเช่นกัน คลอดลูกแมวออกมาครอกหนึ่งเลย หลังจากที่พวกเราไปแล้วก็ให้ผู้ดูแลใหญ่เฉาดูแลอยู่ ผู้ดูแลใหญ่เฉาได้สร้างรังให้มันที่ห้องมุมตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งครอกก็อยู่ที่นั่นเลย”
แมวท้องสามเดือนหมาท้องสี่เดือน เฉินยางงอนิ้วนับดู “เช่นนั้นแล้วก่อนที่พวกเราจะไปมันก็ท้องลูกแมวแล้ว พอนับเช่นนั้น ไม่แน่อาจจะท้องวันเดียวกับข้าอยู่เลย”
ซั่งเหมยหัวเราะนาง “นายหญิง มีใครเทียบตัวเองกับสัตว์หรือ เพียงแต่ ช่วงที่ท่านตั้งครรภ์อยู่นั้น ต้าหมี่ก็ติดท่านจริงๆ พอเป็นเช่นนั้นแล้วก็บังเอิญเหลือเกิน หรือว่านี่จะเป็นบุพเพ”
เฉินยางบ่นนาง “ไม่ให้ข้าพูดเจ้ากลับพูดเอง ดูเหมือนว่าข้าจะนิสัยดีเกินไปแล้ว ทุกครั้งที่บอกจะลงโทษเจ้าล้วนไม่ได้ทำ ถึงได้ทำเอาเจ้าไม่มีระเบียบเช่นนี้” นางเลี้ยวไปฝั่งตะวันออก “ก็ดี พวกเราไปดูต้าหมี่ ไม่ได้เจอมันนานแล้ว ข้าคิดถึงมันจริงๆ ”
ฝั่งตะวันออกมีแสงแดดมาก แมวชอบตากแดด สร้างรังที่หันไปทางแดดให้มัน มันก็สามารถนอนได้ทั้งวัน เฉาเต๋อหลุนจัดการได้ดีนัก ในใจนางรู้สึกดีใจ อยากจะเรียกเขามาชมเสียเหลือเกิน
ตอนที่ 418 ข้างในล้วนทำเรื่องเหลวไหล
ไปฝั่งตะวันออกจะมีป่าไผ่อยู่ ปลูกตั้งแต่สมัยท่านอ๋องคนเก่า พวกเขาจะไปทางห้องข้างดูแมว ก็ต้องเดินผ่านป่าไผ่ ที่นี่ปกติไม่มีคนมา ข้างหลังก็เป็นห้องเก็บฟืนสองห้องและห้องเก็บของ พวกนางเดินมาที่สวนพอดี เพื่อความรวดเร็ว ถึงได้เลี้ยวมาทางนี้
ตอนที่เดินผ่านป่าไผ่นั้นเฉินยางได้ยินข้างในมีเสียงคนคุยกันอยู่ นางถามซั่งเหมย ซั่งเหมยตอนแรกบอกไม่ได้ยิน ตอนหลังตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็บอกมีจริงๆ
เฉินยางหูไว แม้ว่าจะได้ยินไม่ชัดว่าพวกเขาพูดอะไรกัน เพียงแต่พอฟังออกว่าเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง นางดึงซั่งเหมยเข้ามาใกล้ๆ ถามนางเสียงต่ำว่า “ใครมาคุยอะไรกันที่นี่ มีอะไรคุยกันอย่างเปิดเผยไม่ได้ ถึงจะต้องวิ่งมาที่ลับตาคนคุยกัน”
ซั่งเหมยพูดด้วยความเหนื่อยใจว่า “นายหญิง เรื่องต่ำทรามเช่นนี้ท่านก็อย่าได้ยุ่งเลย มาคุยกันที่ลับตาคนเช่นนี้จะมีเรื่องดีอะไร ล้วนเป็นเหล่าคนที่ทนความเหงาไม่ได้ พลอดรักกันอยู่ข้างใน”
“พลอดรักกันแล้วมีอะไร ในจวนมีระเบียบไม่ให้คนพลอดรักกันหรือ”
ซั่งเหมยคิดว่านางฉลาด มีคนคอยชี้ทางก็จะเข้าใจ ใครจะคิดว่านางคิดเป็นจริงเป็นจังเสียได้ ยังตั้งท่าพูดเหตุผลกับนางอีก นายหญิงของนางนี้ ยามที่ฉลาดก็ฉลาดจริงๆ ยามที่โง่เขลาก็โง่เขลาจริงๆ อยู่กับท่านอ๋องมานานเช่นนี้แล้ว ในเรื่องนี้ยังมองไม่ออกเท่านางที่ยังไม่ได้แต่งงานเลย
“นายหญิง อย่าดูเลย พวกเราไปเถิด” ซั่งเหมยยื่นมือดึงนางมา “ข้างในล้วนทำเรื่องเหลวไหลอยู่ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งอยู่ข้างในจะทำอะไรได้ พวกเขากำลังลอบมีความสุขกันอยู่ พวกเราไปกันเถิด อย่าได้ทำให้ท่านต้องเห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็น กลับไปบอกท่านอ๋อง ให้ท่านอ๋องลงโทษพวกเขา”
เฉินยางไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้นเลย ยังคิดว่าคุยกันอยู่ตรงนั้นจริง พอได้ยินซั่งเหมยพูดเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที นี่ยังเป็นกลางวันอยู่เลย กลางวันทำเรื่องเช่นนี้ ไม่อายกันเลยหรือ
ขณะที่พูดอยู่นั้นก็ก้าวเท้าเดินไป หากทำเรื่องของคนอื่นเขาเสีย ทั้งสองฝ่ายจะเขินเอาได้ เพียงแต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไปสองก้าว ต้นไผ่ข้างหน้าก็สั่นไหว คนที่อยู่ข้างในก็เดินออกมา ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นพวกเขาที่เขินอาย กลับกลายเป็นว่าเฉินยางหน้าแดง กระตุกซั่งเหมยจะกลับไปเดินอีกทางหนึ่ง
“เฉินยาง?”
ข้างหลังมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เสียงที่อ่อนนุ่มค่อยๆ ลอยมา
เฉินยางกุมท้องเอาไว้แล้วหยุดนิ่ง ค่อยๆ หันกลับมา พูดด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า “น่าอวี้?”
ไม่ใช่เพียงน่าอวี้ ยังมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง นางคุ้นเคยยิ่งกว่าใครๆ ท่าทางสง่า หน้าตาหล่อเหลา ยืนอย่างมาดนิ่ง แววตาเปล่งประกาย คืออิ๋งโจว
น่าอวี้และอิ๋งโจว? ไฉนพวกเขาถึงอยู่ด้วยกันได้ แล้วไฉนถึงได้เดินออกจากป่าไผ่ด้วยกัน หรือว่าเป็นดั่งที่ซั่งเหมยพูด พวกเขากำลังทำเรื่องเหลวไหลในป่าไผ่?
ตอนแรกซั่งเหมยก็ไม่ได้มีภาพลักษณ์ดีๆ กับน่าอวี้นัก ครั้งนี้ก็ยิ่งรังเกียจขึ้นมา “พระชายารองเจี่ยง บังเอิญเสียจริง เมื่อวานพวกเรากลับมาจวนท่านอ๋อง พระชายารองอีกสองคนล้วนมาแล้ว มีเพียงท่านที่บอกว่าสุขภาพไม่ดีจึงปฏิเสธไป เป็นอะไรหรือ วันนี้ท่านดีขึ้นแล้ว ไฉนถึงยัง… ยังมุดป่าไผ่อยู่กับผู้ชายเสียแล้ว ชายโสดหญิงเดี่ยว นี่แพร่ออกไปแล้วจะให้ชื่อเสียงท่านอ๋องของเราไปไว้ที่ใด”
น่าอวี้มีสีหน้าอับอาย นางก้มศีรษะบิดผ้าไม่พูดอะไร อิ๋งโจวยืนออกมา บังนางไว้เหมือนดั่งปกป้องนางอยู่ “เป็นข้าที่เรียกนางมา ไม่เกี่ยวกับนาง”
“ท่านหมออิ๋งโจวไม่ทราบฐานะของพระชายารองเจี่ยงหรือ มีอะไรไม่สามารถพูดอย่างเปิดเผยได้ ถึงจะต้องมาพูดในที่ลับตาคนเช่นนี้”