ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 421 คนโง่มีโชคของคนโง่ / ตอนที่ 422 วิถีแห่งขุนนางของเขา
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 421 คนโง่มีโชคของคนโง่ / ตอนที่ 422 วิถีแห่งขุนนางของเขา
ตอนที่ 421 คนโง่มีโชคของคนโง่
เฉินยางไม่รู้ว่าคนที่น่าอวี้พูดว่าชอบนั้นคือใคร พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็คิดเสียอยู่นาน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ตั้งสติกลับมาได้ นางดื่มเหล้าไปคำหนึ่ง เม้มปากพูดว่า “พวกเจ้าต่างรักกันไม่ใช่หรือ ไฉนเขาถึงไม่รอเจ้า”
“รอ? รอได้อย่างไร แต่งงานแล้วก็เป็นทั้งชีวิต ข้าจะให้เขารอข้าไปทั้งชีวิตไม่ได้กระมัง” นางกำลังเปรียบเทียบอยู่ ความเป็นจริงเศร้ายิ่งกว่าที่นางพูด ในสายตาของเฝิงเยี่ยไป๋แล้วไม่มีนางเลย นางกลับยังหลอกตัวเองอยู่
เฉินยางพยักหน้าเห็นด้วย ความสัมพันธ์นี้ก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ คนหนึ่งอยู่ผิดคนแล้ว มักจะทำให้เสียใจทั้งสองคน ธนูที่ง้างแล้วพุ่งไปไม่มีย้อนกลับมา ความผิดพลาดใหญ่หลวงเพียงใด ชาตินี้ก็ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว
“เช่นนั้นแล้วเจ้าคิดจะบอกท่านพี่เมื่อใด” นางกอดไหเหล้าเล็กเอาไว้ ลิ้มรสหวานๆ คำต่อคำจนหยุดไม่ลง ใบหน้าเริ่มแดงก่ำขึ้นมา “ข้าคิดว่าเขาน่าจะเห็นด้วยกระมัง”
น่าอวี้จับไหเหล้าที่อยู่ในอ้อมกอดนางไว้ “รอให้ท่านอ๋องกลับมาข้าก็จะพูดกับเขา… พอได้แล้ว ท่านก็อย่าดื่มอีกเลย เหล้านี้เมาง่าย ยังดื่มอีกต่อไป อีกเดี๋ยวท่านอ๋องกลับมา ก็จะโทษข้าเอาเสียได้”
“ไม่เป็นไร ดื่มไม่มาก ข้ายังมีสติอยู่เลย” ปากดื่มจนเบี้ยวแล้วยังบอกว่าดื่มไม่มากอีก น่าอวี้กดปากไหเอาไว้ แล้วหยิบไหเหล้ามา เห็นนางนั่งอยู่บนเตียงส่ายไปมาเกือบจะล้มลง จึงรีบยื่นมือไปประคองนาง
“เช่นนั้นแล้วท่านหมออิ๋งโจวได้เล่าเรื่องของเขาให้เจ้าฟังหรือไม่” เหล้านี้ไม่ดีตรงนี้ เพิ่งจะได้รสชาติ ก็เมาเสียแล้ว ตรงหน้านางหมุนเคว้งไปหมด จึงพิงอยู่ที่ตัวน่าอวี้ ในหัวมึนงง คิดอะไรได้ก็พูดอะไร ไม่มีการยับยั้งเลย
น่าอวี้ระวังท้องของนาง นางเปลี่ยนท่าที่สบายให้นางพิง แล้วพูดต่อว่า “เป็นเรื่องของแม่นางเสียนกระมัง เขาบอกข้าแล้ว ข้าไม่ได้รู้สึกอะไร เขามีชีวิตหลายปีมานี้ที่ข้างกายก็มีผู้หญิงเพียงคนนี้คนเดียว ชายคนนี้ก็ช่างรักเดียวใจเดียวเสียเหลือเกิน ข้ารู้สึกก็ดีเช่นกัน”
นางส่ายศีรษะไปมาพยักหน้า “อืม รักเดียวใจเดียวจริง…”
ยามที่พูดก็เริ่มไม่ระวังลิ้น ไม่ทันไรก็กัดริมฝีปากเข้า เจ็บจนนางร้อง น่าอวี้หัวเราะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ได้ยินนางพูดด้วยความโกรธแค้นว่า “ฮ่องเต้เป็นคนเลว คนเลวเช่นนี้ไฉนถึงได้เป็น…ได้เป็นฮ่องเต้เล่า”
คิดว่าคงเป็นเรื่องของเว่ยหมิ่นกระมัง น่าอวี้ถอนหายใจตาม แล้วตบที่หลังมือนางเบาๆ “คนมักพูดว่าคนโง่มีโชคของคนโง่ คำพูดนี้ไม่ผิดจริงๆ ท่านถึงจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในพวกเราแล้ว มีสามีที่รักท่านเช่นนี้ ปกป้องท่านทุกอย่าง นั่นเป็นคนอื่นที่อิจฉาก็ไม่ได้มา ท่านต้องรักษาไว้ดีๆ”
นางตอบอืม แล้วบุ้ยปากพูดว่า “เจ็บ… เจ็บจริงๆ [ 1 ]”
คำพูดของคนเมากับคนที่ยังมีสติอยู่นั้นเป็นคนละโลกเลย น่าอวี้ฟังไม่ออกคำว่า `เจ็บ` ของนาง กับคำว่า `รัก` ของนางต่างกันอย่างไร
“ข้าเรียกสาวใช้ของท่านปรนนิบัติให้ท่านนอนเสียเถิด ตอนนี้อากาศหนาว นั่งนานไม่ดี รีบนอนเสียเถิด”
นางเงยหน้ามองไปที่นอกหน้าต่างด้วยความเหม่อลอย ท้องฟ้าเพิ่งจะมืดเอง ยังไม่ดึกเลย นางส่ายหน้าไม่ยอม “ท่านพี่ยังไม่กลับมาเลย ข้าจะรอเขากลับมา”
“รอเขากลับมาเห็นท่าทางเมาเหล้าของท่านหรือ” น่าอวี้หยิบหมอนมาให้นางพิง “ข้าก็ควรจะไปแล้ว กลับมาค่อยมาคุยกับท่าน”
นางออกไปเรียกซั่งเซียงเข้ามาปรนนิบัติให้นางนอน นางก้าวสู่พื้นที่มาแสงจันทร์ เรื่องในใจต่างๆ วุ่นวาย รวมๆ กันแล้วแทบจะกดนางจนหายใจไม่ออก ก็ไม่รู้ว่าเฝิงเยี่ยไป๋จะหาน้องชายของเขาเจอหรือไม่ หากทำได้ เช่นนั้นแล้วเรื่องทำร้ายคนนี้ นางก็จะได้รามือเสีย
ตอนที่ 422 วิถีแห่งขุนนางของเขา
วันนี้เฝิงเยี่ยไป๋เข้าเมืองหลวงรายงาน ตอนแรกก็ยังถือว่าราบรื่น สืบคนโกงกินที่สุยหนิงช่างสะใจยิ่งนัก เรื่องในตอนหลังก็เพียงทำเอาหน้าแล้ว งานราชโองการ มีใครบ้างที่ไม่ใช่ร้องเอาเงิน การจะปลอบประชาชนที่ทุกข์ยากต้องใช้เบี้ยหวัดมาก ไม่มีราชสำนักช่วยเหลือ อาศัยเพียงพวกเขา คิดจะทำให้ประชาชนสงบลงได้ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ฮ่องเต้ได้ยินแล้ว ก็ทุบโต๊ะตะโกน ด่าคนข้างล่างเสียรอบใหญ่แล้วก็ถามเขาเรื่องที่ซู่อ๋องส่งคนไปแทนตำแหน่งที่เมืองสุยหนิง
เขาพูดไปตามความจริง เห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ไม่พอพระทัย มีแววว่าจะโกรธขึ้นมา จึงนิ่งเงียบถึงที่สุด ปล่อยให้ฮ่องเต้คาดเดาเอาเอง
แม่ทัพอวี้เต๋อได้ส่งฎีกาให้ฮ่องเต้นานแล้ว จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็นฮ่องเต้ตรัสถึง จึงประสานมือขึ้นไปทูลว่า “วันก่อนกระหม่อมเคยได้ทูลฝ่าบาท ซู่อ๋องได้แอบติดต่อกับอันผิง อันชิ่งอ๋องนอกด่านมั้งสองคน และอ๋องนอกด่านสองคนนั้นก็ได้มีความเคลื่อนไหวตั้งแต่หลายเดือนก่อน แอบรวบรวมกำลังทหาร กระหม่อมสงสัย ซู่อ๋องร่วมมือกับอ๋องนอกด่านสองคนนั้นตั้งใจจะบุกเมืองหลวง จะส่งทหารหรือไม่ ขอให้ฝ่าบาทออกคำสั่ง”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่เฝิงเยี่ยไป๋ “ท่านอ๋องมีความเห็นว่าเช่นไร ส่งทหารไปยามนี้เป็นเช่นไร”
เขาทูลว่า “กระหม่อมไม่เข้าใจการทหารนัก ยามใดควรส่งทหาร จะถูกเวลาหรือไม่ กระหม่อมมิบังอาจกล่าว ท่านแม่ทัพสู้ศึกบนสนามรบมานาน ข้กระหม่อมคิดว่า ท่านแม่ทัพกล่าว ย่อมมีเหตุผล”
ไม่พูดมาก ไม่ทูลกล่าว นำพาเพียงหูไม่นำพาปาก เมื่อเจอเรื่องก็ปัด นี่เป็นวิถีแห่งขุนนางของเขา ทำเอาคิดจะจับผิดเขาได้ก็เป็นไปไม่ได้เลย สามสิบหกพิชัยยุทธใช้บนตัวเขาก็เหมือนดั่งชกเข้าไปในปุยนุ่น ไม่เกิดสิ่งใดขึ้น ทำร้ายเขาไม่ได้เลย ตอนแรกคิดว่าจะอาศัยการออกตรวจครั้งนี้ ให้เขากับซู่อ๋องต่อสู้กัน เขากลับดี ไปแล้วก็ไม่ยุ่งเรื่องต่างๆ ทำงานก็ทำได้ผิวเผินนัก เปลี่ยนที่ทุกวัน ไม่อยู่นานเลย กององครักษ์ที่ติดตามไปด้วยมีแรงไม่มีที่ใช้ ถึงขั้นผ่านไปเดือนเศษแม้แต่ดาบก็ยังไม่ได้ชักออกมา
การตอบสนองของซู่อ๋องก็ทำเอาคนไม่เข้าใจ ความจริงแล้วที่สุยหนิงครั้งนั้นก็ควรมีความเคลื่อนไหวแล้ว เพียงแต่เขากลับอดกลั้นเอาไว้ได้ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าฮ่องเต้จะสงสัยว่าทั้งสองคนนี้จะมีอะไรหรือไม่ แต่ไม่มีหลักฐาน เพียงคิดไปก็เกรงจะคิดผิด ตอนนี้ก็มีเรื่องของอ๋องนอกด่านทั้งสองคนอีก เรื่องมาต่อๆ กัน ช่างทำเอาพระองค์ปวดพระเศียรเหลือเกิน
“ทุกครั้งที่เราถามเจ้าเจ้าก็บอกปัดว่าไม่รู้ ไม่มีความคิดเห็น เจ้าอย่าได้บอกปัดอีกมาหลอกเรา!” ฮ่องเต้เริ่มหงุดหงิดแล้ว “ที่เจ้าไปเมืองเหมิงครั้งนี้ก็ไม่เจอว่าที่ซู่อ๋องนั้นมีอะไรไม่เหมาะหรือ”
เฝิงเยี่ยไป๋ประสานมือทูลว่า “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทหมายถึงไม่เหมาะทางใด พระองค์เพียงให้ข้าไปเยี่ยมเยือนพื้นที่ทุกข์ยาก กระหม่อมทำตามบัญชาราชโองการมิอาจขัด ไม่ได้ไปที่เมืองเหมิงนั่น ระหว่างทางที่พบก็พบเพียงประชาชนที่ไร้ที่อาศัย กินไม่อิ่มท้อง ส่วนซู่อ๋องนั้นมีสิ่งใดไม่เหมาะ… โปรดอภัยให้กระหม่อม ไม่อาจแบ่งเบาภาระให้ฝ่าบาทได้”
ช่างเป็นคนฉลาดเสียจริง ยามนี้แกล้งโง่กับพระองค์ได้อีก ฮ่องเต้แค้นจนกัดฟัน หันพระเศียรไปถามแม่ทัพอวี้เต๋อว่า “ได้สืบทราบหรือไม่ว่าอ๋องนอกด่านสองคนนั้นได้แอบสั่งสมกำลังทหารมากน้อยเพียงใด”
แม่ทัพอวี้เต๋อก็ตอบอ้ำอึ้ง “สายข่าวที่ส่งไปนั้นไม่มีคนใดรอดกลับมาเลย ตกลงมีกำลังทหารเพียงใด ก็ทำได้เพียงคาดคิด ซู่หยางอุดมสมบูรณ์ ทุกปีนอกจากส่งบรรณาการให้ราชสำนักแล้ว ที่เหลือไว้ของตัวเองก็มีไม่น้อย หากคิดไปตามนี้ รวมมาหลายปี จะเกณฑ์ทหารแสนกว่านายก็พออยู่ เฟินหยางแม้จะไม่เทียบซู่หยาง แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากมายนัก อ๋องหนึ่งสะสมทหารแสนกว่านาย บวกกับของอ๋องซู๋นั้น รวมๆ กันแล้วก็คงมีสองสามแสนกระมัง!”
——
[ 1 ] ในภาษาจีนนั้นคำว่า รัก และคำว่า เจ็บ สามารถใช้คำเดียวกันได้คือ เถิง