ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 465 จุดอ่อนของเขา / ตอนที่ 466 ให้ผู้หญิงออกหน้าแทน
ตอนที่ 465 จุดอ่อนของเขา
ที่จริงแล้วฮ่องเต้ก็รู้อยู่แก่พระทัย ข่าวลือพูดต่อๆ กันมา ก็มักจะมีตอนที่พูดเพี้ยนไป อาจไม่สามารถหาคนที่กุเรื่องคนแรกขึ้นมาได้ เพียงแต่พระองค์ต้องได้พระพักตร์ ไม่อาจทนได้ มิอาจยอมให้คนอื่นมาแตะต้องพระองค์ ไม่สนว่าคนนั้นเป็นใคร ขอเพียงได้แทงเสียสองทีแล้วกดข่าวลือลงไป เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว
หลี่เต๋อจิ่งปรนนิบัติอยู่ข้างพระกายฮ่องเต้มานาน รู้ความคิดของฮ่องเต้เป็นอย่างดี เพียงแค่จับใครมาก็ได้แล้วบอกว่าเป็นตัวการพร้อมติดประกาศ หากใครยังกล้านินทาฮ่องเต้ ถูกพบเจอเข้าก็จะจับให้หมดแล้วตัดศีรษะเสีย
คนเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงสงบสุขเกินไปแล้ว ปากไม่พูดอะไรก็มีชีวิตไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเวลาว่างมากมายเช่นนี้จะไปใช้ที่ใดหรือ คนที่นั่งอยู่ในร้านน้ำชายังต้องหยุดเล็กน้อยเพื่อวิจารณ์หนังสือเลย ต่อให้เป็นขุนนางใหญ่จากที่ใดก็ไม่อาจคุมปากของคนอื่นได้ อย่างไรเสียในสายพระเนตรฮ่องเต้ให้ทำพอเป็นพิธีเป็นพอ ไม่จำเป็นต้องสืบให้ละเอียด
หลี่เต๋อจิ่งเพิ่งออกจากตำหนักหย่างซินก็เจอเข้ากับพั่งไห่ที่เดินสวนมา พั่งไห่ขึ้นไปโค้งคำนับเขา ปั้นหน้ายิ้มแล้วพูดกับเขาว่า “ผู้ดูแลใหญ่นี่ จะไปที่ใดหรือ ไม่ต้องปรนนิบัติฝ่าบาทแล้ว?”
หลี่เต๋อจิ่งไม่ชอบเขา แต่อย่างน้อยก็ยังต้องเอาหน้าอยู่ อารมณ์ทุกอย่างล้วนแสดงอยู่บนหน้าถึงจะเป็นคนโง่ที่ทำ อยู่ในวังใช้ชีวิตไม่ไหว คนอื่นหัวเราะ เขาก็หัวเราะ คิ้วแทบจะบินไปอยู่หลังหูเสียแล้ว “ก็ไม่ใช่หรือ ราชโองการของฮ่องเต้ พวกเราที่เป็นบ่าวก็ต้องรีบไปทำ ทว่าข้างพระกายฝ่าบาทเองก็ขาดคนปรนนิบัติไม่ได้ ในเมื่อได้เจอกับผู้ดูแลรองพั่งแล้ว เช่นนั้นก็ขอให้ผู้ดูแลรองไปปรนนิบัติฝ่าบาทแทนข้าเถิด!”
คำพูดที่กล่าวออกมานี้ ไฉนถึงเหมือนสั่งให้เขาไปปรนนิบัติฮ่องเต้เช่นนั้น พั่งไห่เก็บความโกรธเอาไว้ รอยยิ้มจางลงเรื่อยๆ “การปรนนิบัติฮ่องเต้ก็เป็นหน้าที่ของพวกเรา ไม่ต้องให้ผู้ดูแลใหญ่เตือน ข้าก็จะทำอย่างเต็มที่ ในเมื่อเป็นราชโองการของฝ่าบาท ผู้ดูแลใหญ่ก็อย่าได้รอช้าเลย รีบไปทำเสียเถิด!” พูดส่งปัดกันไปมา ต่อให้ฐานะจะต่ำกว่าอยู่จริง ก็ไม่อาจเสียหน้าได้ เขายังสามารถได้ใจไปอีกกี่วันเชียว คนแก่แล้ว ยังจะมีชีวิตอีกได้นานเท่าเขาหรือ ต้องมีสักวันที่จะดึงเขาลงมา
ออกจากประตูตำหนักหย่างซิน หลี่เต๋อจิ่งก็ไปที่กรมความลับทหารร่างหนังสือ เพียงแค่คนไม่เอาถ่านมารวมตัวกันเท่านั้น ใครจะเพื่อคุยเล่นสะใจแล้วไม่เอาชีวิตได้อีก
ฝั่งนี้ฮ่องเต้กำลังเครียดอยู่ พั่งไห่ขึ้นไปโค้งคำนับทูลว่า “ฝ่าบาท ฝั่งจวนท่านอ๋องนั้นมีข่าวแล้ว”
ฮ่องเต้กำลังเครียดอยู่เลย พอได้ยินข่าวนี้ ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา “รีบพูดมา จวนท่านอ๋องนั้นมีความเคลื่อนไหวอะไร”
พั่งไห่ทูลว่า “ทูลฝ่าบาท ที่จริงแล้วเฝิงเยี่ยไป๋นั้นกลับเมืองหลวงมานานแล้ว เพียงแต่ยามที่กลับมานั้นเขาแอบกลับมา ไม่ยอมเข้าวังมาทูลฝ่าบาท มีความคิดเป็นเช่นไร มองดูก็รู้ ไม่เพียงแค่นั้น บ่าวยังได้ยินว่าเขาคิดจะไปช่วยเหลียงอู๋เย่ว์ ทั้งยังจะส่งเฉินยางกลับหรู่หนานอีก”
ฮ่องเต้ขมวดพระขนง “กลับมาแล้วกลับไม่ยอมเข้าวังมาทูลข้า ดีเสียเหลือเกิน เขาช่างบังอาจนัก ตอนนี้ถึงกับไม่เห็นเราอยู่ในสายตาเสียแล้ว ฝั่งหานสือนั้นมีข่าวอะไรหรือไม่ เขาไม่ใช่ว่าจะไปช่วยเหลียงอู๋เย่ว์หรือ ฝั่งเขานั้นเห็นความผิดปกติหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท ฝั่งหัวหน้าหานนั้นบ่าวเพิ่งไปดูมา หัวหน้าบอกว่าทุกอย่างปกติดี ไม่มีปัญหาอันใด” ดวงตาเขากลอกไปมา แผนขึ้นมาอยู่ในใจ “ฝ่าบาท ตอนนี้เฝิงเยี่ยไป๋เผยจุดอ่อนออกมาแล้ว ฝ่าบาทจะกุมเอาไว้เสียหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ตอนที่ 466 ให้ผู้หญิงออกหน้าแทน
รุ่งเช้า หนังสือประกาศจากกรมความลับทหารก็ออกมาแล้ว ทั้งตรอกเล็กตรอกใหญ่ล้วนติดประกาศไว้เต็มไปหมด หลี่เต๋อจิ่งลงไปคุมด้วยตัวเอง เหล่าทหารชี้ไปที่ประกาศแล้วพูดเชิงข่มขู่ว่า “ช่วงนี้ในวังได้ยินข่าวลือมากมายนัก ถึงกับมีคนกล้านินทาฮ่องเต้ ตอนนี้ได้สืบมาแล้ว มีคนจงใจสร้างข่าวลือมาทำลายชื่อเสียงของฮ่องเต้ หากใครกล้าแพร่ข่าวลือนั้นอีก สืบออกมาได้ ประหารทันที!”
ต่อหน้าทหาร ย่อมไม่มีใครกล้าพูดอะไร แต่ละคนล้วนเงียบเสียงไป ล้อมวงมองดูด้วยความหวาดกลัวอยู่พักหนึ่งก็แยกย้ายกันไปต่อหน้าไม่กล้าพูดต่อๆ กันแล้ว เพียงแต่ในใจก็ยังเชื่อว่าฮ่องเต้ละอายใจอยู่
กององครักษ์หน้าประตูจวนท่านหญิงยังมีเวรยามทั้งกลางวันกลางคืน ไม่มีท่าทีจะลดกำลังลงเลย ดูเหมือนว่ายังคงป้องกันคนไปช่วยเหลียงอู๋เย่ว์ เพียงแต่วันนี้ เฝิงเยี่ยไป๋ต้องเข้าวังแล้ว ไม่เช่นนั้นฮ่องเต้จะสงสัยเอาได้ ก่อนจะไปอวี่เหวินลู่มาหาเขา “เจ้าคิดจะบอกการจัดทัพของซู่หยางและเฟินหยางให้ฮ่องเต้ตามจริงหรือ”
เฝิงเยี่ยไป๋ถามกลับ “เจ้าคิดว่าฮ่องเต้ส่งข้าไปซู่หยางและเฟินหยางสืบกำลังทหารคือเชื่อใจข้าจริง? ใครจะรู้ว่าพระองค์ไม่เคยส่งคนไปดูมาก่อน ข้าไม่บอกไปตามจริง เจ้าไปตายแทนข้า?”
“หากฮ่องเต้รู้การจัดทัพของทั้งสองที่ ไม่เท่ากับให้พวกเราไปตายหรือ” อวี่เหวินลู่กัดฟันพูดว่า “เจ้าอย่าลืมนะ ตอนนี้เจ้าลงเรือลำเดียวกันกับพวกเราแล้ว หากใครตายคนหนึ่งก็ตายกันทั้งลำ”
“เช่นนั้นแล้วเจ้าคิดว่าข้าควรจะพูดอย่างไร” เขามีท่าทางไม่สนใจสิ่งใดนั่งดื่มชาที่โต๊ะ เลิกคิ้วมองเขา เหมือนดั่งอยากจะฟังความคิดเห็นของเขาจริงๆ
“เจ้าเล่าทุกอย่างให้ฮ่องเต้ฟังแล้ว ถึงเวลาอ๋องนอกด่านทั้งสองพ่ายแพ้ สำหรับพวกเราแล้วก็ไม่ใช่เรื่องดี ราชสำนักมีทหารนับล้าน คิดจะสู้กับราชสำนัก ทหารทุกนายของพวกเราล้วนต้องใช้บนคมดาบ ดังนั้นแล้วอะไรที่เจ้าปิดบังได้ก็ปิดบังไป อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ทหารเรือหลายหมิ่นนั้นจะให้ฮ่องเต้รู้ไม่ได้เด็ดขาด ราชสำนักอ่อนแอก็อยู่ตรงที่ทหารเรือ หากพวกเราสามารถตีทะลุด่านซื่อสุ่ยได้ จะบุกถึงเมืองหลวงก็ง่ายเสียนัก!”
เฉินยางฟังคำพูดของเขานั้นเหมือนดั่งหลอกตัวเอง เก่งเพียงฝีปากเท่านั้น ยามที่พูดราวกับมีเหตุผล เมื่อต้องลงมือจริงๆ ก็คงจะไม่ได้ราบรื่นดั่งที่คิดแล้ว
พอเฝิงเยี่ยไป๋ฟังเขาพูดจบก็พยักหน้าชื่นชมเสียก่อนแล้วพูดต่อว่า “ไฉนพ่อเจ้าถึงมีลูกชายที่ไม่เอาไหนเช่นเจ้าได้”
อวี่เหวินลู่ได้ยินก็โมโหขึ้นมาทันที “เจ้าว่าใครใช้ไม่ได้ เฝิงเยี่ยไป๋ เจ้าอย่าคิดว่าที่นี่เป็นเมืองหลวงแล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า!”
เฉินยางอุ้มท้องเดินขึ้นไปข้างหน้า “เจ้ากล้าก็ลองดู!”
“เฝิงเยี่ยไป๋ เจ้าเก่งเสียจริงๆ ให้ผู้หญิงออกหน้าแทนเจ้า เป็นผู้ชายที่ดีเสียเหลือเกิน”
“สามีข้า ข้าพอใจ เกี่ยวอะไรกับเจ้า!”
เฝิงเยี่ยไป๋ดึงนางกลับมา แล้วให้นางนั่งอยู่ที่เก้าอี้ดีๆ มองอวี่เหวินลู่เหมือนดั่งมองคนโง่เช่นนั้น “พ่อเจ้ามีใจจะแย่งบัลลังก์ อ๋องนอกด่านทั้งสองอยู่นอกด่านมานาน ย่อมอยากจะลิ้มรสของบัลลังก์เสีบบ้าง บัลลังก์ก็ฮ่องเต้เป็นของดี ใครๆ ก็อยากขึ้นไปนั่งบ้าง ในเมื่อมีแผนยิงครั้งเดียวได้นกสองตัว ไยต้องลงมือเองเพื่อสู้กับทั้งสองคนด้วยตัวคนเดียว”
อวี่เหวินลู่ไม่เชื่อเขา “ในเมื่อบัลลังก์ฮ่องเต้เป็นของดี เจ้าไม่อยากขึ้นไปนั่งบ้างหรือ”
“หากแผ่นดินนี้เป็นแซ่อื่น ไม่แน่ข้าอาจจะแย่งนั่งกับพวกเจ้าจริงๆ เพียงแต่แผ่นดินนี้ดันแซ่อวี่เหวิน ของตระกูลอวี่เหวินพวกเจ้า ข้าไม่สนใจ”