ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 469 ร้องไห้พอแล้วหรือไม่ / ตอนที่ 470 การเป็นภรรยาจะต้องมีความสามารถอะไรสักอย่างอยู่เสมอ
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 469 ร้องไห้พอแล้วหรือไม่ / ตอนที่ 470 การเป็นภรรยาจะต้องมีความสามารถอะไรสักอย่างอยู่เสมอ
ตอนที่ 469 ร้องไห้พอแล้วหรือไม่
ตอนนี้รับรู้ถึงความน่ากลัวของข่าวลือแล้วจึงไม่กล้าฆ่าคนง่ายๆ เช่นนั้นก็เลยทำได้แค่เพียงส่งเขากลับหรู่หนาน อย่างไรเสียเหลียงอู๋เย่ว์ก็เป็นปัญหา ให้อยู่ที่นี่ต่อมีแต่จะทำให้เว่ยหมิ่นคิดถึงไม่หาย
เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้พูดอะไร ออกจากตำหนักหย่างซินก็ไปที่ตำหนักอวี้ชิ่งแล้ว
สองวันนี้ไทเฮาอยู่ข้างกายเว่ยหมิ่นอยู่ตลอด เว่ยหมิ่นเพิ่งจะเสียลูกไป ร่างกายอ่อนแอนัก ตอนแรกควรจะรักษาตัวดีๆ เพียงแต่นางเศร้าใจยิ่ง ความเศร้าสะสมที่อก ระบายไม่ออก ร่างกายหดเ**่ยวลงทุกวัน อายุน้อยๆ เช่นนี้กลับเหมือนดั่งดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรย หมอหลวงมาดูทุกวัน ยาก็กินอยู่ทุกวัน เพียงแต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย เมื่อวานยังไอเป็นเลือดออกมา ไทเฮามีหลานสาวคนนี้เพียงคนเดียว รักยิ่งกว่าลูกสาว วางใจไม่ลง จึงเฝ้าด้วยตัวเอง คอยอยู่กับนาง อย่างน้อยก็ยังปลอบนางได้ คลายความทุกข์ให้นาง
ยามที่เฝิงเยี่ยไป๋มาถึงตำหนักอวี้ชิ่งนั้นไทเฮาก็อยู่มาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ แล้ว คนพอมีอายุ ร่างกายก็ทนไม่ค่อยไหว กำลังให้นางกำนัลปประคองกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักฉือหนิง นึกไม่ถึงว่าระหว่างทางจะเจอเฝิงเยี่ยไป๋ นางรีบเข้าไปหา “ไฉนเจ้าถึงมาแล้ว”
“ข้ามาเยี่ยมเว่ยหมิ่น” ไทเฮาดูแล้วท่าทางเหนื่อยล้า นางเลี้ยงเว่ยหมิ่นมากับมือ วันนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางย่อมรู้สึกแย่ ยามนี้เขาก็ไม่อยากทำให้นางโกรธอีก เสียงที่พูดออกมาก็อ่อนโยนลงไม่น้อย “เว่ยหมิ่นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ไทเฮารู้สึกเศร้าจากใจขึ้นมา เอาผ้าเช็ดหางตา พูดสะอื้นว่า “กินไม่ลงนอนไม่หลับ เหมือนดั่งธาตุไฟเข้าแทรกเช่นนั้น บนปากก็บ่นถึงลูกอยู่ตลอด ยาที่หมอหลวงสั่งให้ก็ใช้ไม่ได้ บอกว่าโรคทางกายนั้นรักษาง่าย โรคทางใจรักษายาก คนนะ ไม่มียาใจรักษา ก็เสื่อมลงอยู่ทุกๆ วัน”
เฝิงเยี่ยไป๋ขมวดคิ้ว มองเข้าไปในตำหนักแล้วพูดว่า “ข้าจะไปกล่อมนาง” แล้วหันศีรษะมาพูดกับไทเฮาว่า “ข้าเห็นท่านสีหน้าไม่ดีนัก รีบกลับไปพักผ่อนเสียเถิด”
ไทเฮาอมน้ำตาพยักหน้า เดินไปสองก้าวแล้วเรียกเขาเอาไว้ หลุดจากคนข้างกาย กดเสียงต่ำพูดว่า “ลูกของเว่ยหมิ่นถูกคนของฮ่องเต้ที่ส่งคนมาแอบเลื่อยรั้วที่อยู่ในสวนดอกไม้ เว่ยหมิ่นพิงเข้าไป รั้วหัก ถึงได้หกล้ม เจ้าต้องหาวิธีพาเว่ยหมิ่นออกจากวังให้ได้ จะให้นางอยู่ในวังอีกไม่ได้เด็กขาด ไม่เช่นนั้น นางจะตายเสียจริงๆ”
คราวนี้ไทเฮาไม่โง่เสียแล้ว ยังรู้ว่าต้องกำชับเขา ต่อให้นางไม่พูด เขาก็ไม่ลืม ฝั่งซู่อ๋องนั้นบอกจะบุกเข้ามาก็เร็วนัก เว่ยหมิ่นอยู่ในวังก็ไม่ปลอดภัย เขาย่อมต้องหาวิธีพานางออกจากวังให้ได้
“ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ลูกเจอกันใหม่แล้วได้พูดคุยกันดีๆ ปกติเถียงกันไปมา ต่างคนต่างแค้น แทบไม่อยากจะเจอกันตลอดชีวิต พูดคุยกันดีๆ ขึ้นมากลับมีความรู้สึกที่แตกต่างกันเสียแล้ว ถึงกับได้รสที่เป็นห่วงใยกันขึ้นมา แม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่ประโยค ที่คุยอยู่นั้นยังไม่ใช่ตัวเอง เพียงแต่ก็ถือว่ามีความก้าวหน้า
ไทเฮาถูกประคองกลับตำหนักฉือหนิงด้วยความอาลัยอาวรณ์ ยามที่เฝิงเยี่ยไป๋เข้าไปในตำหนักอวี้ชิ่งนั้น นางกำลังร้องไห้อยู่ นางกำนัลที่อยู่ข้างกายได้เปลี่ยนคนไปแล้ว ยามที่ปรนนิบัติไม่ชำนาญ นางบิดผ้าหมากๆ ถืออยู่ในมือทำตัวไม่ถูก เว่ยหมิ่นเอามือปิดหน้า นางไม่รู้ว่าควรจะเช็ดไปที่ใด บนปากก็เรียกท่านหญิงด้วยความร้อนรน บนมือกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
เฝิงเยี่ยไป๋รับผ้ามาบอกว่า “ข้าทำเสียเถิด” เขาขึ้นไปหยิบมือเว่ยหมิ่นออก แถมเอาผ้าที่ร้อนอยู่ปิดที่ตาของนาง “ร้องไห้พอแล้วหรือไม่”
ตอนที่ 470 การเป็นภรรยาจะต้องมีความสามารถอะไรสักอย่างอยู่เสมอ
เฝิงเยี่ยไป๋เข้าพระราชวัง ที่น่าเป็นกังวลที่สุดไม่ใช่เฉินยางแต่เป็นอวี่เหวินลู่ เขาจะสั่งคนให้มาค่อยถามเป็นระยะ ด้วยสถานะของเขาตอนนี้ หากเข้าพระราชวังคือการไปตาย เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในวังตอนนี้ แค่หลับหูหลับตามาก็เท่านั้น ถ้าเกิดครั้งนี้เฝิงเยี่ยไป๋เกิดขายเขาขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างต้องจบสิ้นลง
เฉินยางขี้เกียจจะสนใจเขา ครั้งนี้รู้แล้วว่าเป็นกังวล ถ้ารู้ก่อนหน้าคงจะสามารถเรียนรู้การก้มหัวยอมให้ และคงขอโทษนางดีๆ ไม่แน่ว่านางอาจจะเผยข้อมูลอะไรให้แก่เขาก็เป็นได้ พอถึงตอนนี้ ใครจะอยากไปสน!
สิ่งที่เฉินยางสามารถทำได้ในตอนนี้นับวันยิ่งน้อยลงไปทุกที ตอนนี้ทำได้เพียงเป็นแค่คนสวยๆ นั่งอยู่หน้าหน้าต่าง เรียนรู้การเย็บปักทักร้อยจากซั่งเหมย เวลานี้ควรเรียนรู้งานฝีมือสักเล็กน้อย ก่อนที่ลูกจะลืมตามองโลกยังสามารถเย็บเสื้อผ้าสักชุดให้เขาได้ ก็นับว่าเป็นน้ำใจของคนเป็นแม่ที่จะทำให้ได้
ซั่งเหมยเป็นครูสอนที่ไม่มีความอดทนคนหนึ่ง เฉินยางเลือกเข็มเลือกด้ายไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ นางก็เริ่มชักสีหน้า แต่ดีที่ว่าต่างกันตรงที่ทั้งสองเป็นนายกับบ่าว เลยไม่กล้ากำเริบเสิบสานด้วย ปากก็ชมว่า “นายหญิง ท่านทำได้สวยมาก” แต่สีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสนั้นค่อยๆ เลือนหายไป สุดท้ายเร่งนางจะสอนนางอย่างไรก็ทำไม่ได้ ในที่สุดก็ทนต่อไปไม่ไหว แล้วถอนหายใจออกมายาวๆ คำพูดบ่นต่างๆ นานาก็พูดบ่นออกมาหมด ทำให้คิดถึงสีหน้าท่านอ๋องตอนที่โมโหแล้วก็กลบเกลื่อนหายไป
เฉินยางก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไร ในใจของนางมุ่งมั่นอยากเรียนรู้ ดั่งสุภาษิตที่ว่าอาจารย์ที่เข้มงวดจะสอนลูกศิษย์ให้เก่งได้ ซั่งเหมยแม้ว่าจะเข้มงวดไปหน่อย แต่วันข้างหน้าคงสอนเฉินยางให้ทำได้ การเย็บปักถักร้อยของนางก็ไม่ถึงกับเลวร้ายจนเกินไป การเป็นภรรยาจะต้องมีความสามารถอะไรสักอย่างอยู่เสมอถึงจะถูก
นางเรียนกับซั่งเหมยมาทั้งเช้า ตอนนี้ถึงเพิ่งจะเรียนรู้ได้ เฉาเต๋อหลุนเขามาแสดงความเคารพ พูดกับนางว่า “นายหญิง ท่านหมออิ๋งโจวรออยู่ด้านนอกแล้ว บอกว่ามีธุระอยากจะขอพบท่าน”
เฉินยางวางสะดึงด้ายลงแล้วให้ซั่งเหมยประคองนางลุกขึ้น “น่าอวี้ไม่มาหรือ มาแค่เขาคนเดียว?”
เฉาเต๋อหลุนตอบว่า “มาแค่เขาคนเดียว”
แม้ว่าจะอยู่ในจวนเดียวกัน แต่นางไม่ได้เจออิ๋งโจวมานานมากแล้ว เขามาหานางครั้งนี้ จะมีเรื่องอะไรอีก
“งั้นเชิญเขาเข้ามาก่อนเถิด”
ซั่งเหมยประคองนางยืนขึ้นไปนั่งที่โต๊ะนอกห้อง อยู่ต่อหน้าคนนอก มารยาทก็ยังคงต้องมีครบทุกสิ่งอย่าง แม้จะบอกว่าอิ๋งโจวไม่ได้นับง่าเป็นคนนอกอะไร แต่อย่างน้อยก็ต้องมีความแตกต่างของชายหญิง ตามหลักประเพณีละเลยมิได้ ถ้าข่าวออกไปจะต้องมีคนเอาไปนินทา
อิ๋งโจวเข้ามาข้างใน มองไปที่นางแล้วทำความเคารพ “ถวายบังคมพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
จะให้เฉินยางรับไว้ได้อย่างไรกัน รีบบอกไปว่าไม่กล้ารับ ตัวเองลงมาไม่ได้ รีบบอกให้ซั่งเหมยไปประคองขึ้น ชี้ไปที่ม้านั่งเชิิญให้เขานั่งที่ม้านั่งแปดมุมที่อยู่ข้างๆ “ท่านหมอ เชิญนั่ง”
อิ๋งโจวเอ่ยขอบคุณ มองไปที่ซั่งเหมยสักครู่ อ้ำอึ้งไม่พูดไม่จา ดีที่เฉินยางตอนนี้ก็นับได้ว่ารู้ตัวแล้ว รู้ความหมายที่เขาจะสื่อให้ โบกมือบอกให้ซั่งเหมยออกไปก่อน
“ท่านหมอมาหาข้าวันนี้มีธุระอะไรหรือ”
“ข้ามีธุระถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหมือนว่าเขาจะลำบากใจ “นับตั้งแต่ที่ท่านอ๋องกลับมา เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เพียงแค่กลัวว่าชื่อเสียงของท่านอ๋องจะเสียหาย สองสามวันก่อนอวี๋เออร์มาหาข้า บอกว่าสุขภาพร่างกายของน่าอวี้นับวันยิ่งดูแย่ลง การอาเจียนบ่อยขึ้น ข้าอยากไปดูให้เขาสักหน่อย แต่จะให้ตายอย่างไรนางก็ไม่ยอมพบข้า ยังบอกอีกว่าต่อไปจะไม่เจอข้าอีก ให้ข้าไปไกลจากนางไม่ให้ข้าเข้าใกล้นาง เรื่องของความรู้สึกข้าสามารถพักไว้ก่อนได้ แต่ว่าอาการป่วยของนางกลับไม่สามารถช้าต่อไปได้ นางไม่ยอมพบข้า ดังนั้นข้าอยากขอร้องให้ท่านช่วยเกลี้ยกล่อมนางให้หน่อย ไม่ว่าจะอย่างไร อาการป่วยไม่สามารถล่าช้าต่อไปได้อีก ไม่ว่าจะอย่างไรให้ข้าได้รักษานางก่อนอย่างอื่นแล้วค่อยว่ากัน”
ในใจเฉินยางรู้สึกแน่นคับ “ครั้งก่อนข้าไปเยี่ยมนางก็ดูออกว่าสีหน้านางไม่ค่อยดี นางบอกกับข้าว่านางแค่เป็นไข้ตัวร้อน ทำไมถึงได้อาเจียนได้เล่า นางป่วยเป็นอะไรกันแน่”