ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 513 กินอะไรเสริมสิ่งนั้น / ตอนที่ 514 ผ้าของเจ้าจนถึงตอนนี้เราก็ยังเก็บไว้อยู่
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 513 กินอะไรเสริมสิ่งนั้น / ตอนที่ 514 ผ้าของเจ้าจนถึงตอนนี้เราก็ยังเก็บไว้อยู่
ตอนที่ 513 กินอะไรเสริมสิ่งนั้น
เฉินยางคิดในใจ น่าเสียดายที่ครั้งก่อนในความฝันไม่ได้เห็นใบหน้าของท่านแม่ของนาง หากแม่ของนางยังมีชีวิตอยู่ก็น่าจะงดงามดั่งไทเฮากระมัง!
ไม่ว่าจะเป็นแม่ได้ดีเพราะลูก หรือไทเฮารักนางจากใจจริง ระหว่างแม่กับสะใภ้สามารถอยู่ด้วยกันได้ดีก็ย่อมดีที่สุด นางก็ไม่ใช่คนที่แค้นฝังในไปตลอดชาติ นางหูเบา ถูกคนพูดจนหวั่นไหวได้ง่าย ไทเฮาแสดงท่าทีสนิทสนมกับนาง นางก็ยินดีที่จะเชื่อฟังไทเฮา ก้มศีรษะตั้งใจฟัง ช่างเป็นเด็กดีเสียยิ่งนัก
ไทเฮาให้คนเอาของขวัญที่จะให้เด็กยกเข้ามา เป็นแม่กุญแจทองคำ นางถืออยู่ในมือ ลูบเบาๆ แล้วส่งให้กับเฉินยาง “เจ้าเก็บรักษาไว้แทนลูก นี่เป็นแม่กุญแจที่ข้าไปแก้บนที่วัดขอเจ้าอาวาสมา เปิดเนตรมาแล้ว สามารถอวยพรให้ชีวิตยืนยาว ข้ารอโอกาสที่จะให้หลานอยู่ตลอด ตอนแรกคิดว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสแล้ว นึกไม่ถึงว่าฟ้าสวรรค์จะยังเมตตาคนแก่เช่นข้า ชาตินี้ยังมีโอกาสได้มอบแม่กุญแจนี้ให้กับหลานของข้าด้วยมือตัวเอง”
เฉินยางรับไว้อย่างระมัดระวัง หน้าของแม่กุญแจประณีตมาก วางอยู่ในมือรู้สึกค่อนข้างหนัก นางโค้งตัวกล่าวขอบคุณ “เช่นนั้นลูกสะใภ้ขอขอบคุณไทเฮาแทนจิ่งอวี๋แล้ว”
“เอาเถิด พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธีเช่นนั้น” ไทเฮาทำท่าประคองนาง “หลานข้าก็ได้เห็นแล้ว ลูกสะใภ้ข้าก็ได้เจอแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนแล้ว หงอวี้ เตรียมเกี้ยว พวกเราเตรียมตัวกลับวังเสียเถิด!”
เฉินยางได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมากะทันหัน “ไทเฮา ท่าน… เห็นว่าใกล้จะเที่ยงแล้ว ท่านไม่อยู่เสวยกระยาหารหน่อยหรือ แม้ว่าพ่อครัวในจวนจะไม่เทียบเท่าในวัง…” นางส่งสายตาไปให้เฝิงเยี่ยไป๋ “เพียงแต่อาหารก็ยังพอรับประทานได้ ท่านมาที่เองก็ไม่ได้ง่ายนัก เช่นนั้นอยู่เสวยก่อนแล้วค่อยไปเสียเถิด”
ไทเฮานึกไม่ถึงว่านางจะเอ่ยปากรั้งนางไว้จึงรู้สึกตะลึง คนทั้งสองต่างมองเฝิงเยี่ยไป๋ รอเขาพยักหน้า ในใจไทเฮาทั้งรู้สึกประหลาดใจและรู้สึกกังวล หากเขาสามารถรั้งตัวเองให้กินข้าว เช่นนั้นความร้าวฉานระหว่างแม่ลูกก็อาจจะลดลงไปบ้าง
เมื่อครู่ตอนที่เฉินยางส่งสายตาให้เขานั้นเขาก็รู้แล้ว ที่จริงแล้วจะให้อยู่กินข้าวต่อก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อันใด เพียงแต่แต่ละคนล้วนมองเขาด้วยสายตาหวาดกลัวเล็กน้อย เหมือนว่าหากเขาไม่ตกลงก็จะทำให้คนมากมายเสียใจเช่นนั้น
อย่างไรเสียแม่ลูกก็แยกจากกันนานเช่นนี้ เฝิงเยี่ยไป๋ก็เจ็บแค้นไทเฮามานานหลายปี จะให้คืนดีกันในทันทีก็เป็นไปไม่ได้ เรื่องเช่นนี้รีบร้อนไม่ได้ ต้องค่อยเป็นค่อยไป เขาถูกมองจนหาที่ลงไม่ได้ จึงหันไปพูดกับเฉาเต๋อหลุนว่า “ยังมัวอึ้งอะไรอยู่ ไม่ได้ยินหรือว่าไทเฮาจะกินมื้อเที่ยงที่นี่ ยังไม่รีบให้คนไปตระเตรียมอีก”
หน้าของเจ้านายสำคัญที่สุด ผู้เป็นบ่าวไม่กล้าขัด ไม่มีใครหาที่ลงให้ท่านอ๋อง เช่นนั้นเขาก็ต้องหาที่ลงเอง พวกเขาเป็นบ่าวได้รับความน้อยใจเล็กน้อยจะเป็นอะไรไป เขารีบสั่งคนลงไปเตรียมของแล้วโค้งตัวเชิญไทเฮาไปที่โถงหน้า
เฉินยางยังออกจากห้องไม่ได้ นางโค้งตัวส่งไทเฮา เฝิงเยี่ยไป๋แกล้งเดินช้าไปก้าวหนึ่ง มองเฉินยางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ข้าเป็นสามีไฉนกันถึงเพิ่งสังเกตว่าวันนี้ว่าเจ้าฉลาดเช่นนี้ ตั้งครรภ์ครั้งเดียวโง่สามปี แต่ข้าดูแล้ว เจ้าไม่ได้โง่เอาเสียเลย!”
“ข้าไม่ได้โง่แต่แรกอยู่แล้ว” นางเงยหน้าขึ้นมา แสร้งทำเป็นภูมิใจ “ข้าจงใจสร้างโอกาสให้ท่านได้คลายปมในใจกับไทเฮา หรือว่าท่านดูไม่ออก”
เฝิงเยี่ยไป๋กระชับผ้าคลุมให้นาง “ดูออกแล้ว ช่างลำบากสมองเล็กๆ ของเจ้าเสียจริง อีกเดี๋ยวให้ห้องครัวต้มแกงที่บำรุงสมองมาให้ กินอะไรเสริมสิ่งนั้น ขอให้ความฉลาดของเจ้าที่ใช้ไปนั้นเสริมกลับคืนมา”
ตอนที่ 514 ผ้าของเจ้าจนถึงตอนนี้เราก็ยังเก็บไว้อยู่
พูดถึงเว่ยหมิ่น ระหว่างที่ไปทะเลสาบเป้เอ่อร์ก็เป็นกังวลอยู่ตลอด ตลอดทางนี้เดินๆ หยุดๆ ต้องใช้เวลาวันหนึ่งจะถึง ฮ่องเต้เสด็จย่อมอลังการและได้แจ้งข้าราชการที่อยู่เบื้องล่างไว้ก่อนหน้าแล้ว ต้องเตรียมทางให้ดี ดังนั้นแล้วตลอดทางก็ราบรื่น เมื่อเดินทางก็ไม่ได้ทุลักทุเลอย่างใด
ราชรถของฮ่องเต้ใหญ่มาก นอกจากชั้นวางหนังสือและเตาถ่านแล้วยังมีเครื่องตกแต่งต่างๆ ในรถอีก นอกจากนี้ยังสามารถจุคนได้สิบหลายคน นางกำนัลที่อยู่ในรถล้วนถูกฮ่องเต้ตรัสสั่งให้ออกไปเสียหมดแล้ว เว่ยหมิ่นนั่งไปพร้อมกับฮ่องเต้ เตาถ่านที่อยู่ข้างหน้ามีไฟลุกโชน ใบหน้าของเว่ยหมิ่นถูกส่องจนแดงเดื่อ นางมองถ่านที่ถูกเผาอยู่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
ฮ่องเต้ชงชาที่อุ่นท้องแล้วส่งให้นางหนึ่งแก้ว แย้มพระสรวลตรัสว่า “คืนนี้พักที่โรงเตี๊ยมคืนหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าก็น่าจะถึงทะเลสาบเป้เอ่อร์ เราได้ให้คนกางกระโจมอยู่ที่นั่นไว้แล้ว พอไปถึงก็สามารถพักได้เลย”
นางดึงสติกลับมาจากความเหม่อลอยรับแก้วชามาแล้วจิบเบาๆ เอียงศีรษะมองไปที่ฮ่องเต้ก่อนลูบไปที่ปิ่นปักผมทองคำที่อยู่บนศีรษะ ยิ้มถามฮ่องเต้ “ข้าคิดไม่ออกอยู่ตลอด วังหลังของฝ่าบาทมีหญิงงามมากมายนับไม่ถ้วน มีงามดั่งนางฟ้า และไม่ขาดคนมีเสน่ห์ เพียงแต่ไฉนถึงได้สนใจข้านัก ข้ารู้ตัวว่าหน้าตาช้าไม่ได้งดงามนัก นิสัยก็ไม่ได้ทำเอาคนชอบได้ แล้วเพราะเหตุใดฝ่าบาทถึงไม่ยอมปล่อยข้าไปหรือ”
ฮ่องเต้รินชาใหม่ให้นาง แย้มพระสรวลพร้อมนาง “เราบอกรักเจ้า เจ้าก็ไม่เชื่อ ทั้งยังคิดว่าเราพูดจาเหลวไหล วังหลังมีหญิงงามสามพัน เจ้าก็ไม่ใช่คนที่สวยที่สุดคนนั้น เพียงแต่ใครให้เจ้าเข้ามาอยู่ในใจเรา ผู้หญิงคนอื่น เราไม่สนว่าจะเป็นงามดั่งนางฟ้าหรือยิ่งกว่าซีซือ [1] ในใจเราเต็มแล้ว พวกนางล้วนเข้ามาไม่ได้”
“คนมักบอกว่าผู้เป็นฮ่องเต้มักไร้ความผูกพัน พี่น้องแท้ๆ ก็ยังสามารถฆ่ากันเองได้จึงไม่ต้องพูดถึงผู้หญิง ฝ่าบาทน่าจะเป็นคนที่ไม่เหมาะจะพูดถึงความรักมากที่สุดบนโลกแล้วกระมัง!” นางมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอยด้วยความนิ่งเฉย ไม่รู้ว่ามองอะไรอยู่
“ฮ่องเต้ก็เป็นคน พี่น้องเข่นฆ่ากันเองล้วนถูกบังคับ ต่อให้เราไม่ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็จะย้อนกลับมาฆ่าเรา อีกอย่าง เราสืบราชสมบัติอย่างเป็นธรรม พวกเขาเป็นกบฏ เราไม่เลี้ยงเสือให้เป็นภัย”
ไม่เลี้ยงเสือให้เป็นภัย? คำพูดนี้ผิดแล้วกระมัง! ตอนนี้พระองค์ก็เลี้ยงอยู่ตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ เว่ยหมิ่นเชิดมุมปาก ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
ฮ่องเต้ไปยกมือนางขึ้นมาลูบอยู่ในพระหัตถ์ จากนั้นก็กำเอาไว้แน่น “เจ้ายังจำครั้งแรกที่พวกเราเจอกันได้หรือไม่ ตอนนั้นเรายังเป็นเพียงราชกุมาร เจ้าตามพ่อเจ้าเข้าวังไปเข้าพบฝ่าบาท ไทฮองไทเฮาจัดงานเลี้ยงอยู่ที่สวนดอกไม้หลวง ตอนนั้นเจ้าอายุสิบขวบ แอบย่องออกไปกับเหลียงอู๋เย่ว์ สุดท้ายหลงทาง เผลอเข้ามาในห้องฝึกวิชาของเรา เรายังจำได้ วันนั้นเราฝึกเพลงหมัดได้ไม่ดี ถูกพระบิดาด่าเสียรอบใหญ่ เป็นแผลแล้วก็ไม่ได้บอกใคร สุดท้ายเจ้าเข้ามาเห็นเราล้มอยู่ที่พื้น ที่แขนยังมีเลือดไหลอยู่ เลยถามเราว่าเจ็บหรือไม่ แถมยังเอาผ้าของตัวเองมาทำแผลให้เรา ในตอนนั้น เราก็รักเจ้าเข้าให้แล้ว ผ้าที่เจ้าใช้ทำแผลให้เรานั้น จนถึงตอนนี้เราก็ยังเก็บเอาไว้อยู่…”
เรื่องนานเพียงใดแล้ว พระองค์ไม่พูด นางก็จำไม่ได้แล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าความผูกพันน่าสลดนี้ ที่แท้ก็เป็นตัวเองที่สร้างขึ้นมา ตอนนั้นรู้สึกเพียงว่าพระองค์น่าสงสาร เป็นแผลแล้วก็ไม่มีใครสนใจ เพียงแค่เมตตาตอนเด็ก ใครจะรู้ว่าการกระทำเพียงเล็กน้อยนี้ก็ทำเอาพระองค์ดื้อดึงอยากได้นางมานานหลายปี จนถึงตอนนี้ทำให้ลูกของนางตายยังไม่นับ แถมยังไม่ยอมปล่อยนางไปอีก หากอยากได้คนที่ดีต่อพระองค์ วังหลังมีผู้หญิงตั้งมากมายรอดีกับพระองค์ พระองค์ไยต้องสนใจแต่นางเพียงผู้เดียวหรือ
——
[1] ซีซือ เป็นหญิงงามที่ได้รับฉายาว่า มัจฉาจมวารี