ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 691 ฮ่องเต้ที่หน้าไม่อาย / ตอนที่ 692 การตอบโต้ของเฝิงเยี่ยไป๋
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 691 ฮ่องเต้ที่หน้าไม่อาย / ตอนที่ 692 การตอบโต้ของเฝิงเยี่ยไป๋
ตอนที่ 691 ฮ่องเต้ที่หน้าไม่อาย
ชั่วเวลาเพียงครู่เดียว ไทเฮาเองพอได้ฟังคำพูดจากพวกนางแล้วในใจนั้นก็ชัดแจ้งไปหลายส่วน งานพิธีวันนี้อย่างไรเสียก็ทำเป็นพิธีไปอย่างนั้น อนาคตยังอีกยาวไกลนัก
ฝั่งผู้หญิงทางนี้คึกคัก ฝั่งผู้ชายก็คึกคักไม่น้อย ความทุ่มเทนั้นของเฝิงเยี่ยไป๋ ขอแค่เป็นคนที่มีสติปัญญาล้วนเห็นอยู่กับตาตน โทษของฮ่องเต้ที่กล่าวหานี้ช่างหนักหนานัก หากจะให้คนเชื่อก็ยากสักหน่อย แต่หากแม้ว่ามีคนกังขา แต่ก็ล้วนแสดงท่าทีราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน ไม่มีใครกล้าเอ่ยพูดออกไปพูดอะไร เทียบกับการออกหน้าไปช่วยแล้ว มองให้เหมือนกำลังชมแขกของฮ่องเต้ร่ายรำจะปลอดภัยกับพวกเขามากกว่า
ฮ่องเต้ไม่เพียงมีพยานวัตถุ ยังมีพยานบุคคล นั่นก็คือแม่ทัพที่ร่วมออกรบกับเฝิงเยี่ยไป๋นั่นเอง เรื่องใหญ่เรื่องเล็กเขาล้วนแจ้งชัดนัก เขามาเป็นพยาน อดไม่ได้ที่จะไม่เชื่อ แต่ว่าการสวมหมวกสูงตั้งข้อหาร้ายแรงให้นี้ เขาพูดเรื่องจริงหรือเท็จล้วนไม่สำคัญ ขอเพียงพยานครบถ้วน วันข้างหน้าเพียงนำมาไต่สวนแล้วสมเหตุสมผลก็เพียงพอแล้ว
ท่านแม่ทัพพูดได้ไม่เลวเลย ที่จริงแล้วส่วนใหญ่ก็พูดได้ดี เพียงแต่ว่าตีไข่ใส่สีเสียจนยิ่งพูดยิ่งบิดเบือนไปกันใหญ่ เขาพูดพลางมองสีหน้าเฝิงเยี่ยไป๋ไปด้วย อย่าว่าเขาไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย ต่อให้เป็นสุภาพบุรุษจริงเมื่อได้ฟังคนที่ใส่ร้ายป้ายสีจากดำเป็นขาว จะไม่โกรธก็คงไม่ได้หรอก อีกประการหนึ่งคือเดิมทีอารมณ์เขาก็ไม่ดีอยู่แล้ว ฮ่องเต้ไม่ใช่บุตรชายเขาเสียหน่อยไม่มีความจำเป็นต้องมาตามใจ
เมื่อฮ่องเต้กล่าวหาเสร็จแล้ว ก็ทรงจ้องมองเฝิงเยี่ยไป๋อย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าไม่มีอะไรจะพูดหรือ แม้แต่คำอธิบายยังขี้เกียจจะอธิบายหรือ หรือว่าคิดว่าอธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคำใดจะกล่าวแล้ว
เฝิงเยี่ยไป๋ร่ำสุราต่อไปอย่างไม่รีบร้อน หางตาก็เหลือบมองฮ่องเต้เสียที “หากว่กระหม่อมคบคิดกับศัตรูทำลายประเทศของตน ก็คงจะไม่กลับมาแล้ว อยู่ต่อไปที่เมืองฉุยเป็นดี เปิดประตูเมืองเสียให้พวกเขาเข้ามาดีหรือไม่ หรือไม่ก็ลักลอบเป็นไส้ศึกให้กับคนภายนอก เอาพวกแม่ทัพที่ขัดหูขัดตานี้ไปสังหารเสีย กระหม่อมเองคงไม่ต้องประโคมเรื่องให้ใหญ่โตอย่างที่ฝ่าบาทรับสั่งกระมัง”
เดินทีก็คือตั้งใจจะสาดโคลนไปที่ตัวเขาเพื่อใส่ความ ขอเพียงเหตุผลฟังดูพอใช้ได้ก็คงใช้ได้ เขาเป็นถึงฮ่องเต้ หากพูดอะไรไปก็ถือความตามนั้น ขอเพียงได้กำหนดบทลงโทษให้กับเขาเสีย จบเรื่องคอยปิดด้วยคำว่าจะไม่ติดใจเอาความแล้ว ใครเล่าจะไปเอาความกับเรื่องเก่าพรรค์นั้น
ฮ่องเต้สำลักทันที เหลือบตามองหลี่เต๋อจิ่ง หลี่เต๋อจิ่งก็ตอบรับทันควัน ขึ้นเสียงสูงตะคอกว่า “บังอาจนัก! ท่านกล้าพูดอย่างนี้กับฝ่าบาทได้อย่างไร ท่านคิดว่าฝ่าบาทจะใส่ร้ายท่านหรือ”
ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใด เฝิงเยี่ยไป๋ส่ายหน้า “ฝ่าบาททรงเป็นประมุขที่มีพระปรีชาสามารถ จะใส่ร้ายกระหม่อมได้อย่างไร แต่หากฝ่าบาทกล่าวหาว่ากระหม่อมคบคิดกับพวกศัตรู อาศัยแค่เพียงคำพูดแม่ทัพเห่าไม่กี่คำก็ตัดสินกระหม่อมแล้ว นั่นจะไม่เป็นการทำการแบบขอไปทีหรือ ขอถามท่านแม่ทัพเห่า หลังจากที่ข้าจากมา เฉินตานมีการรุกรานเข้ามาอีกหรือไม่ เมืองฉุยได้รับการข่มขู่อีกครั้งหรือไม่”
แม่ทัพเห่านั้นแจ้งชัดยิ่งนักเกี่ยวกันนิสัยใจคอของเฝิงเยี่ยไป๋ แต่จะทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อชะตาชีวิตคนในบ้านตนนั้นก็ถูกบีบอยู่ในมือของฮ่องเต้ เขาเหลือบมองไปที่ฮ่องเต้คราหนึ่ง มิกล้าส่งเสียงใดทำตัวเป็นดั่งเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง มิกล้าพูดคำอื่นใดแม้เพียงประโยคเดียว
เฝิงเยี่ยไป๋พยักหน้า มองไปทางเซวียอิ๋น เซวียอิ๋นพยักหน้าให้เขา เป็นนัยว่าคนมาถึงแล้ว
“ในเมื่อพระองค์อยากจะถกเรื่องนี้ละก็ อย่างนั้นกระหม่อมก็มีเรื่องจะรายงานแก่ขุนนางทุกท่านในที่นี้ให้ประจักษ์ชัด” เขาเองไม่รู้เลยว่าที่ทำเยี่ยงนี้จะสามารถกำชัยชนะได้กี่ส่วน แต่หากไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร บนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดที่จะทำให้เขายอมแพ้ได้ง่ายๆ หรอก จะบอกว่าเขายโสก็ดี บอกว่าเขาถือดีก็ได้ อยากจะสังหารเขา ก็ต้องดูความสามารถมิใช่หรือ
ท่านหมอหลวงเจียงนั้นถือว่าเป็นผู้อาวุโสของวังหลวงแล้ว ฮ่องเต้รับสั่งให้สังหารเขาก็คือปกปิดผู้อื่นลักลอบทำเสีย คนรอบข้างไม่ทราบเลยว่าเขาถูกฮ่องเต้ไล่ฆ่า ดังนั้นเมื่อเข้าวังจึงไม่มีใครหยุดเขาไว้ แม้แต่เมื่อตอนเข้าเดินมุ่งหน้ามายังตำหนักเจียงอัน ทหารหน้าประตูยังคิดว่าฮ่องเต้เชิญเขามา สอบถามเพียงสองสามคำก็ปล่อยให้เดินเข้ามาแล้ว
ตอนที่ 692 การตอบโต้ของเฝิงเยี่ยไป๋
ฮ่องเต้ยังไม่ทันเข้าใจว่าเฝิงเยี่ยไป๋จะสื่อความอันใด ด้านนอกอยู่ดีๆ ก็มีคนเดินเข้ามา มุ่งตรงมากลางตำหนัก เลิกชายเสื้อคุกเข่าลงตรงหน้าพระองค์ “กระหม่อมหมอหลวงเจียงเฟิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็มีพระพักตร์เขียวคล้ำทันที บีบลูกประคำในมือพลางมองไปยังหลี่เต๋อจิ่ง หลี่เต๋อจิ่งเองก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อคนนั้นถูกเขาสั่งฆ่าแล้วจริงๆ ตอนนั้นเห็นชัดเจนว่าสิ้นลมแล้วถึงได้จากมา นี่…นี่คือผีหรือ
“ทะ…ท่านหมอเจียง ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หลี่เต๋อจิ่งพยุงเขาขึ้นมา มือนั้นแอบกดไปอย่างแรง ไม่รอให้คนอื่นในตำหนักมีปฏิกิริยาอะไร ก็รีบร้อนจะนำตัวออกไป
เฝิงเยี่ยไป๋ยกมือห้ามไว้ จับข้อมือของหลี่เต๋อจิ่งพลิกทันที ขันทีผู้นั้นเจ็บเสียจนกัดฟันหน้าเหยเก มือข้างนั้นทั้งชาและเจ็บปวด ในเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงต้องปล่อยมือเจียงเฟิงเสีย
“ท่านหมอเจียง ฝ่าบาทจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักเจียงอันนี้ เท่าที่ข้ารู้ ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้รับเชิญกระมัง ท่านรู้หรือไม่ บุกรุกเข้าวังหลวงไม่ว่าตำหนักใดก็ตามล้วนมีบทลงโทษ…หรือว่าท่านเจียง วันนี้ที่มามีอะไรอยากจะพูดกับขุนนางทุกท่านหรือไม่”
หมอเจียงเฟิงนั้นเป็นหมอหลวงที่รักษาฮ่องเต้พระองค์ก่อน ตอนนั้นถึงแม้ว่าจะบอกว่าพระองค์ป่วยหนักแต่กลับไม่ได้บอกว่ารักษาไม่ได้ บอกเพียงว่าในเวลาอันสั้นนี้อาจจะช่วยไม่ได้ พระอาการของฮ่องเต้พระองค์ก่อนเขาชัดเจนที่สุด ถึงแม้ว่ารอยแผลที่ลำคอของพระองค์นั้นจะลึกถึงเส้นเอ็นเส้นเลือด แต่อย่างร้ายแรงที่สุดก็แค่ในอนาคตเมื่อทรงเอ่ยอะไรเสียงก็จะดูเหมือนถูกทำลายไป แค่เป็นลมไปชั่วครู่เพราะเสียเลือดมากไป ไม่ถึงกับเอาชีวิตได้ และไม่ถึงกับบอกว่าจะสวรรคตก็สวรรคต วันนั้นเจียงเฟิงถูกหลี่เต๋อจิ่งนำตัวไป ตอนกลับมาเห็นขันทีน้อยที่อยู่ข้างกายพระองค์วิ่งออกมาจากตำหนักหย่างซิน พอตนเข้าไปดู ฮ่องเต้ก็สวรรคตเสียแล้ว
เรื่องนี้หมอเจียงเฟิงอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ขณะนั้นหมอท่านอื่นที่ร่วมรักษาล้วนถูกสังหารเสียจนสิ้น เขาเองก็โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากเซวียอิ๋น ถึงได้รอดชีวิตกลับมาได้
ว่ากันว่าคนที่ไม่กลัวตายก็คือคนที่ไม่เคยผ่านความเป็นความตายมาก่อน เจียงเฟิงเดิมทีก็ไม่กลัวตาย พอมีโอกาสรอดจากการไล่ล่าฆ่าฟันด้วยน้ำมือฮ่องเต้แล้วถึงได้รู้ว่าความตายน่ากลัวเพียงใด แต่เดิมเขาไม่คิดจะออกมาเป็นพยาน แต่คนที่เซวียอิ๋นส่งมาตามนั้นบอกเขาว่า หากเขาไม่ยอมออกหน้าเป็นพยาน ก็จะโยนเขาออกจากบ้าน หากฮ่องเต้รู้ว่าเขาไม่ตาย ต้องหาทางฆ่าเขาอีกหนเป็นแน่
เจียงเฟิงนั้นหวาดกลัวนัก คิดหน้าคิดหลังคิดคำนวณถี่ถ้วน ในเมื่อพวกเขากล้าที่จะเป็นปรปักษ์กับฮ่องเต้ คิดว่าคงคิดแผนการต่อกรมาดีแล้ว วีรบุรุษไม่กลัวการถูกเอาเปรียบซึ่งหน้า ดังนั้นจึงรับปากเข้าวังมาเป็นพยาน ตอนเข้ามานั้นยังนับว่ามีความห้าวหาญอยู่ ไม่ถ่อมตัวไม่ถือดี ราวกับว่าผู้ชายที่กลัวตายจนร้องไห้น้ำตาน้ำมูกไหลในตอนนั้นไม่ใช่ตนอย่างไรอย่างนั้น
ฮ่องเต้ยังเยาว์นัก แต่แววตานั้นมีความจริงแท้อยู่พอดู ถลึงตามองเจียงเฟิงราวกับต้องการข่มขู่อย่างไร้เสียง
เฝิงเยี่ยไป๋กระซิบข้างหูเจียงเฟิง “ในเมื่อวันนี้ท่านยอมออกหน้าแล้ว อย่างนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ชัดเจนเถิด เมื่อพูดชัดเจนแล้ว ไม่แน่อาจจะมีทางรอดได้ หากปกไว้ปิดไว้…เห็นสีหน้าพระองค์หรือไม่ วันนี้แม้แต่ประตูนี้ ท่านก็อาจจะออกไปไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เจียงเฟิงลอบปาดเหงื่อ พยักหน้า “กระหม่อมมาวันนี้ มีเรื่องจะเรียนจริงพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้รีบปรามคำพูดเขาไว้ “มีเรื่องอันใดรองานเลี้ยงจบแล้วค่อยพูด พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าเรากำลังจัดงานเลี้ยง เข้ามาตามอำเภอใจ เราว่าพวกเจ้านี่คร้านจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่ หลี่เต๋อจิ่ง ยังไม่รีบลากออกไปอีก!”
“ในเมื่อท่านหมอเจียงกล้าบุกเข้ามาเช่นนี้ คิดว่าคงมีเรื่องสำคัญอยากจะทูลเป็นแน่ มิสู้พระองค์ลองฟังเขาให้จบก่อนแล้วค่อยตัดสินว่าจะลงโทษอย่างไร ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”