ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง - ตอนที่ 701 ผู้หญิงของตนตามชายคนอื่นไป / ตอนที่ 702 ท่านพี่ ข้าอยู่นี่
- Home
- ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง
- ตอนที่ 701 ผู้หญิงของตนตามชายคนอื่นไป / ตอนที่ 702 ท่านพี่ ข้าอยู่นี่
ตอนที่ 701 ผู้หญิงของตนตามชายคนอื่นไป
ทหารองครักษ์ที่ยืนรอคำสั่งอยู่ล้วนกำลังตั้งใจฟัง ได้ยินฮ่องเต้กัดฟันทั้งผรุสวาทออกไปด้วยอารมณ์โกรธว่า “บังอาจ” จึงพร้อมใจกันชักดาบแล้ววิ่งเข้ามา ปลายมีดนั้นชี้ไปทางเฝิงเยี่ยไป๋ แต่ละคนนั้นล้วนท่าทางสง่าน่าเกรงขาม รอเพียงคำสั่งจากฮ่องเต้พระองค์เดียวก็จะสังหารให้เสียสิ้น
เฉินยางในที่สุดก็หมอบต่อไปไม่ได้แล้ว โค้งตัวพร้อมจะยืนขึ้น อวี่เหวินลู่กดเอวนางไว้ ทั้งยังกดนางให้หมอบกลับลงไป “เจ้าทำอะไร เจ้าอยากตายหรือ”
“ข้าไม่อยากตาย แต่สามีข้าใกล้จะตายแล้วอย่างไรเล่า”
อวี่เหวินลู่นั้นมือกดเอาไว้ที่ไหล่นางก่อนจะขมวดคิ้ว ไม่ให้นางขยับ “รออีกหน่อยเถอะ เขาเองเป็นลูกผู้ชาย จะตายง่ายๆ อย่างนั้นได้อย่างไรกัน ก็ไม่ใช่ว่ากำลังเจรจากันหรอกหรือ”
เฉินยางเสียงในจมูกเริ่มหนักขึ้น ดวงตานั้นมีน้ำตาเอ่อล้นเต็มปรี่ “เจ้าคนเลวผู้นี้ หากเขากล้าแตะต้องสามีข้าละก็ ข้าจะฆ่าเขาแน่”
ดูใจนางเอาเถิด ช่างน่าซาบซึ้งใจยิ่งนัก อวี่เหวินลู่มองนางด้วยแววตาสับสน แล้วรีบดึงสติกลับมาโดยเร็ว หันหน้าไปกำชับสองคนที่อยู่ด้านข้าง “พวกเจ้าก็อย่าประมาทวู่วามเด็ดขาด อีกประเดี๋ยวจงทำตามสถานการณ์ตรงหน้า อย่าโอ้เอ้ ช่วยคนได้เมื่อใดให้มุ่งหน้าไปทางประตูเสินอู่”
แต่คนที่น่ากังวลที่สุดเห็นจะเป็นเฉินยาง จึงหันกลับมากำชับนางอย่างเข้มงวดอีกทีว่า “เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปเจอเฝิงเยี่ยไป๋ที่ด้านบนประตูเสินอู่”
เฉินยางที่จิตใจเหี่ยวเฉานั้นไม่ได้เอ่ยอันใดอีก ดวงตานางมองไปยังด้านล่างอย่างร้อนรน “คนเยอะเพียงนี้ในมือเขาไร้ซึ่งอาวุธใด ดาบนั้นหากฟันลงมาคงมิได้มาเล่นๆ หากบาดเจ็บไปจะทำอย่างไรเล่า”
อวี่เหวินลู่กลอกตามองบนใส่นางเสียที “เขาเป็นลูกผู้ชาย ไม่ใช่หญิงสาวอ้อนแอ้น ต่อให้ถูกฟันไปก็ไม่ตายหรอก สำหรับเขานั่นก็เป็นเพียงการลั่นๆ กระดูกเท่านั้น ไม่ถึงกับให้เจ้าต้องกังวลใจหรอก”
เฝิงเยี่ยไป๋มองไปยังหลังคาฝั่งตรงข้าม เขาเห็นเพียงนางยื่นศีรษะโผล่ออกมา แต่ไม่เห็นสีหน้านาง แต่งงานกันมาตั้งนาน นี่เป็นหนแรกเลยที่ให้นางได้มาเห็นสภาพที่น่าอเนจอนาถของตน นางนั้นแปดส่วนคงเสียขวัญไปแล้ว ก็จริง สถานการณ์ใหญ่เพียงนี้ ไม่กลัวถึงจะแปลก เขาเองก็รู้สึกผิดยิ่งนัก ทุกเรื่องเลยที่ไม่ได้คิดให้ละเอียดก็เอานางมาเสี่ยงอันตรายด้วย จนกระทั่งตอนนี้ หากไม่มีคนนอกยื่นมือเข้าช่วย เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะหนีได้อย่างไร
“ประโยคนี้เจ้าเป็นคนเอ่ยออกมาด้วยตนเอง ใช่หรือไม่ ไต่สวนอีกรอบก็จะได้รู้ชัดแล้ว เราเองเถรตรงแท้ไม่กลัวเงาตนจะเอนเอียง ก็ไม่ทราบว่าท่านอ๋องนั้นเป็นเช่นเดียวกันหรือไม่ ทหาร จับตัวเขาไว้ ขังไว้ในคุกหลวง เลือกวันได้เมื่อไรจึงไต่สวนอีกครา”
ความหมายของการขังคุกหลวงก็คือจะไม่มีวันได้คืนฐานันดรตลอดกาล ส่วนความหมายของเลือกวันได้เมื่อไรจึงค่อยไต่สวนอีกคราก็คือ โทษทัณฑ์เรื่องที่ว่าสมคบคิดกบฏนั้นได้สวมไว้บนศีรษะเขาแน่แล้ว เมื่อสองประโยครวมเข้าด้วยกันก็หมายถึง โทษทัณฑ์สำหรับเขาคือประหารเท่านั้น และไม่มีทางจะยื่นคำร้องใดๆ ได้อีก จึงต้องการอยากจะจัดการเขา ณ ที่นั่นเสียเลย เมื่อถูกควบคุมตัวไว้แล้ว ต่อไปขอเพียงบอกว่าเขาหวาดกลัวความผิดฆ่าตัวตายเสียแล้ว พระองค์ค่อยออกราชโองการห้ามใครซักถามอีกต่อไป หากผู้ใดฝ่าฝืน ก็จะต้องโทษทัณฑ์เดียวกันกับเฝิงเยี่ยไป๋ เช่นนี้แล้วย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยออกมาเป็นแน่
ทหารองครักษ์เมื่อได้ฟังคำสั่งก็กำลังจะลงมือ เฝิงเยี่ยไป๋ดื่มสุราจนหมดจอก เมื่อคลายมือออก จอกสุราเนื้อกระเบื้องเคลือบอย่างดีจะแตกละเอียดโดยพลัน สายตาก็เปลี่ยนเป็นดุดันทันที ทางนี้เป็นเขาเองที่เริ่มต้นเปิดทาง เวลานี้จะมาคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาก็ไม่ได้ เขาจำได้แค่ตนนั้นตายไม่ได้ หากตายไปแล้ว เฉินยางจะทำอย่างไร ลูกชายจะทำอย่างไร หากถึงตอนนั้นภรรยากลายเป็นม่าย นางตัวคนเดียวเลี้ยงลูกจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร ยังมีอวี่เหวินลู่ผู้นั้นอีก เขาคิดไม่ซื่อต่อเฉินยาง หากว่าตนตายเสียก็จะมิใช่เป็นการเปิดโอกาสให้เขามาฉวยไว้หรอกหรือ อย่างนั้นไม่ได้ ภรรยานั้นเป็นของเขา เขาตายไม่ได้ และก็ทนไม่ได้ที่จะให้ผู้หญิงของตนตามชายคนอื่นไป
ตอนที่ 702 ท่านพี่ ข้าอยู่นี่
เฝิงเยี่ยไป๋พื้นฐานวิทยายุทธ์ไม่เลวเลย หลายปีมานี้ก็มิได้หยุดพากเพียรฝึกซ้อม ดังนั้นเมื่อลงมือเข้าจริงมิได้เสียเปรียบสักนิด เพียงแต่อีกฝั่งนั้นมีจำนวนมาก ในตอนเริ่มนั้นยังได้เปรียบอยู่มาก แต่ต่อมา ทหารดาหน้าเข้ามามิหยุดยั้ง อย่าว่าแต่เขาตัวคนเดียวเลย ต่อให้เป็นเซียนมีสองมือก็ยากที่จะต่อกรกับศัตรูสี่มือ อย่างไรเสียก็ต้องล้าจนได้ เมื่อสังหารไปหลายกลุ่มแล้วจึงค่อยๆ ถอยร่นออกไปจากตำหนักเจียงอัน
อวี่เหวินลู่เมื่อเห็นว่าจวบโอกาสเหมาะ ส่งสัญญาณมือไปยังเจี่ยชีให้เขาลงไปช่วย เฉินยางมองเห็นเพียงเงาคนสองคนผ่านหน้าไป สักครู่พอมองไปยังเฝิงเยี่ยไป๋ตรงนั้น ก็เห็นว่าข้างกายมีผู้ช่วยเพิ่มมาสองคนแล้ว สถานการณ์เสียเปรียบเมื่อครู่กลับมาเป็นต่ออีกครั้ง เฝิงเยี่ยไป๋ก็กำชับว่าอย่าโอ้เอ้ พวกเขาสู้ไปด้วยถอยไปด้วย เพียงเวลาไม่นานก็หนีไปไกลเสียแล้ว
“พวกเราก็ไปกันเถิด” อวี่เหวินลู่ดึงเฉินยางขึ้นมา ดึงปกเสื้อด้านหลังนางไว้พร้อมพานางลัดเลาะผ่านมุมตำหนักไป
เฉินยางที่เกือบถูกรั้งคอไว้จนขาดใจ ตีไปที่มือของเขาเพื่อให้เขาปล่อยนางลง “เจ้าอย่าดึงคอเสื้อข้า ดึงคอเสื้อข้าเดินอย่างนี้จะตายเอาได้”
อวี่เหวินลู่มองไปยังร่างนางขึ้นลงเสียหลายที จึงยื่นมือไปโอบเอวของนางไว้ “นี่เป็นเหตุการณ์คับขัน ข้าเพียงอยากช่วยชีวิตของเจ้า หาได้คิดอื่นใดกับเจ้าไม่ เจ้าอย่าเข้าใจผิดไปเสียเล่า”
เขาไม่พูด นางเองก็ไม่ได้คิดว่าตอนใกล้จะตายนี้ จะหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาถกเถียงเรื่องความเหมาะสมกับเขา นางหน้าแดงแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จับยึดแขนเสื้อของเขาเอาไว้ “พอเถอะ เร่งตามไปเถอะ หากอีกประเดี๋ยวถูกพบเข้าจะแย่เอา”
อวี่เหวินลู่ที่เรื่องอื่นแม้แต่ร่ำเรียนยังไม่เอาไหนนัก เพื่อที่จะขึ้นไปก่อกวนบนสวรรค์และใต้พิภพ เรื่องกำลังภายในนั้นกลับเล่นได้ดีเยี่ยม พานางไปด้วยสักคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพาเฉินยางที่ผอมบางดั่งกระดาษไปด้วย ก็ไม่ได้รู้สึกว่าได้ใช้แรงหนักหนาอะไร
ดวงจันทร์วันนี้มีเพียงแค่ครึ่งเสี้ยว ภายนอกหากไม่จุดไฟต่อให้ยื่นมือออกไปสุดแขนยังมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าเลย ค่ำคืนอย่างนี้จึงสะดวกต่อการหลบหนียิ่งนัก เฝิงเยี่ยไป๋เดินทางบนพื้นดิน อวี่เหวินลู่พาเฉินยางเร่งตามไปจากบนหลังคา ยังมีพวกทหารองครักษ์ที่ตะโกนไล่ล่าตามมาจากด้านหลัง ค่ำคืนนี้ในวังหลวงคึกคักยิ่งแล้ว
ประตูเสินอู่นี้เป็นครั้งแรกเลยที่คึกคักเยี่ยงนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการเพิ่มกำลังทหารองครักษ์ แต่ทางด้านนี้ไม่ว่าจะออกนอกวังหรือมุ่งหน้าออกไปยังสถานที่แห่งอื่นก็อ้อมเอามากโข ดังนั้นถึงแม้ว่าจะส่งทหารมาดูแล แต่ดูแล้วมากน้อยก็ยังรู้สึกว่าขาดวินัยอยู่ ทหารเหล่านั้นรอจนเห็นว่าตรงหน้ามีการรบพุ่ง ถึงได้ชักดาบออกมากัน
หานสือก็เป็นหนึ่งในนั้น ในมือนั้นถือดาบมาหลายปีแต่ไม่ได้ทำเรื่องใดเป็นจริงเป็นจังเลย วันนี้ได้มีโอกาสชักดาบออกจากฝัก แต่คนที่ต้องสังหารกลับเป็นคนที่เขาไม่อยากสังหารเสียนี่
อวี่เหวินลู่นำตัวเฉินยางไปแอบไว้ที่หินเชิงประทีปข้างประตูเมือง หลังจากนั้นก็เดินออกมาอย่างผ่าเผย อาศัยจังหวะชุลมุนทำตัวปะปนไปกับพวกทหารองครักษ์ ค่อยๆ เข้าไปใกล้หานสือ อาศัยจังหวะที่กำลังวุ่นวายนี้ บอกเขาไปว่า “อีกสักครู่เจ้าเปิดประตูเมืองออก ปล่อยพวกเราออกไป”
หานสือยกดาบไว้แต่กลับหยุดเท้าไม่เดินไปข้างหน้า เขาตกตะลึงเมื่อได้ยินคำนั้น “ข้าปล่อยพวกท่านออกไป ก็ไม่ได้กลายเป็นพวกเดียวกับพวกท่านไปเสียรึ”
“เจ้าไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเรานานแล้วหรือ”
“พวกเจ้าอยากตายนักก็อย่าดึงข้าไปเป็นหมอนรองเลย บ้านข้ายังมีภรรยาและลูกอีก”
อวี่เหวินลู่ถลึงตาใส่เขาเสียที “เจ้ามีภรรยาและลูก ยังยอมที่จะมาเป็นสุนัขเฝ้าประตูอย่างคนไร้หนทางไปหรือ”
เฝิงเยี่ยไป๋มองเห็นอวี่เหวินลู่แต่กลับมองไม่เห็นเฉินยาง ในใจขณะนั้นจมลงไปหลายส่วน ในระหว่างชุลมุนนั้นตะโกนไปยังอวี่เหวินลู่เสียงดังสนั่น แต่อวี่เหวินลู่ไม่ได้ยิน แต่เฉินยางกลับได้ยินแล้ว นางรีบยื่นศีรษะออกมาจากด้านหลังก้อนหินนั้น “ข้าอยู่นี่ ท่านพี่ข้าไม่เป็นไร”
แค่นางยื่นศีรษะก็ไม่เป็นไรหรอก เฝิงเยี่ยไป๋นั้นมาไม่ทัน แต่คนของฮ่องเต้นั้นสบโอกาสเข้าแล้ว จึงรีบถือดาบวิ่งมายังทิศทางที่นางอยู่