ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 1013-1014
บทที่ 1013 โผเข้าใส่ตรงๆ จนเขาจนล้มหงาย
กู้ซีจิ่วมองมุมปากที่ยิ้มคล้ายมิยิ้มของเขา รูปปากของเขาน่ามองยิ่งนัก
ในวัยผู้ใหญ่ยามที่มุมปากของเขายกโค้งขึ้นจะแฝงเสน่ห์เย้ายวนอย่างหนึ่งไว้
แต่เมื่ออยู่ในสภาพเด็กน้อยอายุราวแปดเก้าขวบเช่นยามนี้ เมื่อเขาแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาอีกครั้ง กู้ซีจิ่วกลับปรารถนา…ปรารถนาจะจูบเขาสักครายิ่งนัก!
ด้วยเหตุนี้ ร่างเธอจึงพุ่งไปด้านหน้า โผเข้าใส่ตรงๆ จนเขาจนล้มหงาย แล้วกดไว้ใต้ร่างอีกครา
ดูเหมือนตี้ฝูอีจะนึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้าหาญชาญชัยปานนี้ จึงแข็งทื่อไปเล็กน้อย แต่กลับปล่อยให้เธอทับไว้อย่างว่าง่ายไม่ต่อต้าน เพียงแต่นัยน์ตาฉายแววล้ำลึกแวบหนึ่ง ‘นี่เจ้า…จะทำอะไร?’
‘จูบเจ้า!’ กู้ซีจิ่วตอบอย่างตรงไปตรงมา
ด้วยเหตุนี้เธอจึงก้มลงไปจุมพิต จุมพิตวงคิ้วเขา แพขนตาเขา ปลายจมูกเขา สุดท้ายถึงร่อนลงบนริมฝีปากเขา จูบกลีบปากที่อ่อนนุ่มปานเต้าหู้ของเขาอย่างดุดัน ถึงได้พอใจแล้วเอ่ยขึ้นริมหูเขาอย่างจริงใจ ‘บางความคิดก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ตอนกลางวันข้าล้วนบังคับให้ตัวเองสงบเยือกเย็นฝึกฝนร่วมกับเหล่าสหาย เนื่องจากข้าต้องขยันหมั่นเพียร เพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น ถึงจะสามารถยืนเคียงข้างท่านอย่างแท้จริงได้ ข้าไม่อยากเป็นกาฝากที่เอาแต่พึ่งพาอาศัยท่าน สามีภรรยาสมควรจับมือก้าวไปด้วยกันมิใช่หรือ? ตอนกลางวันข้าพากเพียรยิ่งนักอยู่ตลอด แต่ตอนกลางคืนกลับคิดถึงท่านมาก ทุกวันจะต้องมองกำไลวงนี้หลายร้อยรอบ ด้วยเกรงว่ามันจะแตกหักเสียหาย…’
พูดมาถึงตรงนี้ก็คับข้องหมองใจอีกครั้ง ‘ท่านบอกว่าอีกหนึ่งปีให้หลังจะมาพบข้า แต่ท่านกลับไม่มาเลย ทุกครั้งที่ข้าออกไปข้างนอก ล้วนต้องหาวิธีไปสอบถามข่าวคราวของท่านที่หอรวมสารในพื้นที่เสมอ ผลคือสอบถามอะไรจากผู้ใดไม่ได้เลย ไหนเลยจะคาดคิดว่าแท้จริงแล้วท่านซ่อนอยู่ข้างกายข้า ซ้ำยังปลอมเป็นคนอื่นมาปั่นหัวข้าอีก ไม่เคยเอะใจเลย…ท่านเชื่อใจข้าหรือ? เกรงว่าข้าจะนอกใจท่านใช่ไหม? ด้วยเหตุนี้ถึงได้ลองใจข้าอยู่เรื่อยๆ สินะ? ท่านรู้ไหมว่าท่านทำเช่นนี้แลวคล้ายบุรุษเลวทรามผู้หนึ่งยิ่งนัก? ท่านนึกว่าท่านเซวียผิงกุ้ย แล้วข้าคือหวังเป่าช่วง[1]หรือไง? บุรุษสารเลวคนนั้นจากครอบครัวไปสิบแปดปีไปแต่งโฉมงามอยู่ด้านนอก ผ่านไปสิบแปดปีเขาค่อยนึกถึงภรรยาเก่าจับเจ่าเดียวดายอยู่สิบแปดปีขึ้นมา ยังเกรงว่าภรรยาจะสวมหมวกเขียวให้เขา จึงปลอมเป็นชายอื่นมาแทะโลมเกี้ยวพานาง…’
ยามที่ตี้ฝูอีถูกนางรุกเข้ามาจูบก่อน ร่างกายก็แข็งทื่อไปชั่วขณะ รู้สึกว่าวันนี้สาวน้อยผู้นี้คงไปกินดีเสือมาจริงๆ รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้วยังกล้ามาจูบเขาประหนึ่งหยอกเด็กน้อยเช่นนี้อีก แต่ยามที่นางจุมพิตผ่านคิ้วและปลายจมูกเขา สามารถสัมผัสถึงความร้อนใจและความชอบของนางที่มีต่อเขาได้…
ก่อนที่เขาได้พบกับกู้ซีจิ่ว ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้ใดเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการถูกผู้อื่นกดไว้เช่นนี้เลย
แต่ตอนนี้ เขารู้สึกว่าความรู้สึกที่ถูกกดไว้เช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมนัก ยอดเยี่ยมจนทำให้หัวใจของเขาหวานชื่นปานถูกอาบด้วยน้ำผึ้ง โดยหลังเฉพาะหลังจากนางสารภาพความในใจมากมายออกมา เขารู้สึกว่าความหวานชื่นในหัวใจดวงนั้นแทบจะล้นปรี่ออกมาแล้ว
เขาปรารถนาให้ช่วงเวลาเช่นนี้คงอยู่ต่อไปจวบจนฟ้าสิ้นดินมลาย!
แน่นอน หากว่ายามนี้เขากลับสู่ร่างเดิมได้จะยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม เขาจะทำให้ความหวานชื่นนี้ทวีขึ้นอีกหลายเท่าแน่นอน!
ความในใจเหล่านั้นของนางเขาชอบยิ่งนัก แต่ในใจก็ค่อนข้างชาหนึบอยู่บ้างเช่นกัน เพียงได้ยินคำถามในช่วงสุดท้ายหลายประโยคของนาง เขารู้สึกว่าการยัดข้อหาเช่นนี้ค่อนข้างเลยเถิดไปหน่อย ‘ซีจิ่ว ข้าไม่ได้ไม่เชื่อใจเจ้า ข้าเพียงทำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจไปบ้างเท่านั้น อีกอย่างข้าอยู่ข้างกายเจ้าตลอดและไม่เห็นว่าเจ้าจะคิดถึงข้าเลย นึกไปว่าเจ้าคงไม่แยแสข้ามากนัก ด้วยเหตุนี้จึงปิดบังตัวตนที่จริงมาตลอดจวบจนยามนี้…ไม่อาจนำข้าไปเทียบกับเซวียผิงกุ้ยอันใดที่เจ้าว่ามาได้…’
‘อืม ท่านยอดเยี่ยมกว่าเขามากนัก ท่านหายไปแค่ปีเดียว และไม่ได้พกพาโฉมงามกลับมาหาข้า…ดังนั้นจึงไม่นับว่าเลวทรามจนเกินไป’ กู้ซีจิ่วเห็นด้วยกับเขา
————————————————————————————-
บทที่ 1014 สมมุติฐานข้อนี้ไม่มีทางเป็นไปได้!
ตี้ฝูอีมองเธอ ‘เจ้าบอกว่าไม่สนใจคำว่าตลอดไป สนใจเพียงว่าเคยได้ครองมิใช่หรือ? ขอเพียงเคยรักกันด้วยใจจริง ต่อให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขแค่วันก็ดีมากแล้วมิใช่หรือ? หวังเป่าช่วงกับเซวียผิงกุ้ยก็เคยรักกัน เช่นนั้นนางก็น่าจะเคยเป็นสุขแล้ว น่าจะไม่เสียใจภายหลังแล้วเช่นกัน ภายหลังต่อให้แยกจากกันไปสิบแปดปี ก็ยังดีกว่าเขาสิ้นชีพอยู่ภายนอก…’
กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยึดติดกับสองคนนี้ จึงหัวเราะคิกๆ คราหนึ่ง ‘ที่เขาบอกว่าเขาเลวทรามมิใช่เลวทรามเพราะจากไปสิบแปดปี แต่เป็นเพราะเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ากลับได้ตั้งนานแล้วทว่าไม่ยอมกลับมา แถมยังมีเล็กมีน้อยอยู่ภายนอก…’
‘เช่นนั้นหากเซวียผิงกุ้ยมิได้มีเล็กมีน้อยอันใด ในใจมีหวังเป่าช่วงเพียงคนเดียวมาโดยตลอด แต่สิ้นอยู่ภายนอกพลัดพรากกันไปตลอดกาลเล่า?’
‘เช่นนั้นก็ไม่นับว่าเลวทรามกระมัง…’ กู้ซีจิ่วเอ่ย
‘เช่นนั้นหวังเป่าช่วงจะไม่โศกเศร้าหรือ?’
‘เศร้าสิ ต้องเศร้าแน่ๆ! หากนางทราบว่าเขาตายไปนานแล้วอาจจะพลีชีพบูชารักก็ได้ ณ ฟากฟ้าขอเราสองเป็นปี่อี้[2] ณ ปฐพีขอเราเคียงคู่พฤกษา…’ กู้ซีจิ่วเริ่มเอ่ยออกมาโดยไม่พินิจพิเคราะห์แล้ว
‘ถ้าเช่นนั้นหากข้าตาย เจ้าจะสละชีพบูชารักด้วยหรือไม่?’ ดวงตาโตของตี้ฝูอีมองดูเธอ
กู้ซีจิ่วนิ่งงันไปครู่หนึ่ง คู่รักปกติเขาสนทนาหัวข้อนี้กันเสียที่ไหน?!
เธอใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะตายอยู่ในใจครู่หนึ่ง
มารดามันเถอะ เขาเป็นเทพนะ ตายบ้าตายบออะไรกัน! ถึงเธอตายเขาก็ไม่ตายหรอก! สมมุติฐานข้อนี้ไม่มีทางเป็นไปได้!
เธอจูบแก้มเขาทีหนึ่ง ‘ที่รัก สมมุติฐานข้อนี้ของท่านเป็นไปไม่ได้ ข้ารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ยิ่งนักที่เราสองคนจะตายตรงหน้ากัน มาเถอะ ท่านบอกข้าบ้าง หากข้าตายท่านจะสละชีพบูชารักไหม?’
ตี้ฝูอีส่ายหน้า ‘ไม่ทำ’
ชิ เธอรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้! คนอย่างเขาสละชีวิตบูชารักเพื่อผู้หญิงได้ยังไง?
เพียงแต่เจ้าคนผู้นี้แม้แต่คำหวานก็ไม่พูด เขาจะเอ่ยวาจาทำนองว่า ‘หากเจ้าตายข้าก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ ใจข้ามีเจ้าเพียงคนเดียวไปชั่วนิรันดร์’ เช่นนี้หน่อยไม่ได้หรือไง? หลอกให้เธอดีใจสักนิดก็ยังดี
หรือเขาไม่รู้ว่าผู้หญิงก็มีช่วงเวลาที่อยากฟังถ้อยคำหวานๆ ได้ฟังคำหวานเสียหน่อยในใจจะฟูฟ่องมีฟองสบู่สีชมพูผุดพราย
กู้ซีจิ่วพลิกตัวลงจากร่างเขา นอนเคียงเขาอยู่ตรงนั้น
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หัวใจของเธออบอุ่นอยู่ตลอด เพียงได้นอนเคียงข้างเขาซุกผ้าห่มพูดคุยกันเช่นนี้เธอก็รู้สึกว่าในใจตนมีฟองสบู่สีชมพูผุดออกมา งดงามอย่างยิ่ง
ตี้ฝูอีตะแคงศีรษะมองนาง เห็นพวงแก้มนางซับสีแดงอมชมพู ดวงตาของนางยังคงทอประกายอยู่ในความมืดดุจอัญมณี ‘เจ้าก็ไม่ทำเช่นกันใช่หรือไม่?’
กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่าเขาจะยึดติดกับหัวข้อนี้ จึงตอบไปส่งๆ ‘แน่นอนสิ ท่านไม่ใช่เหลียงซานป๋อแล้วข้าก็มิใช่จู้อิงไถ[3] จะได้มาเล่นฉากสละชีพเพื่อความรักอันใดนั่น หากท่านตายข้าจะลืมท่านทันที จากนั้นก็ไปคบหากับหนุ่มน้อยหน้ามนคนอื่นต่อ…’
ตี้ฝูอีนิ่งไปเล็กน้อย ‘…ข้ารู้สึกว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจได้เร็วไปหน่อยแล้ว! ข้าคิดว่าอย่างไรเสียเจ้าก็น่าจะโศกเศร้าไปสักพัก…’
กู้ซีจิ่วยิ้มขำ ‘นี่ก็พูดยากนะ ข้าคนนี้นิสัยเย็นชา หลงลืมผู้อื่นได้ง่ายๆ ใช่แล้ว ท่านเคยฟังเรื่องราวของจวงโจวหรือไม่? เขากับภรรยาของเขารักใคร่กลอมเกลียวกันมาก เสมือนเป็นคนๆ เดียวกันก็มิปาน วันหนึ่งเขาถามศรีภรรยาว่า ถ้าหากเขาตายนางจะทำอย่างไร? นางผู้เป็นภรรยากร้องห่มร้องไห้กล่าวว่า หากท่านตายข้าก็จะตายตามท่าน จวงโจวซาบซึ้งยิ่งนักจึงบอกว่า เจ้าไม่ต้องตามข้าไปหรอก เจ้าแค่รอให้ดินบนหลุมฝังศพของข้าแห้งก่อนจากนั้นถ้ารักถ้าชอบใครก็แต่งให้คนผู้นั้นเถิดศรีภรรยาของเขายังเป็นเดือดเป็นร้อนกับเขาอยู่เลย…ภายหลังในที่สุด วันหนึ่งเขาก็สิ้นชีพไป ภรรยาเขาร้องไห้ฝังเขาเสียอกเสียใจยิ่งนัก ภรรยาเสียใจอยู่ไม่กี่วันก็ไปชอบพอหนุ่มน้อยหน้ามนคนหนึ่งเข้า เพื่อที่จะได้แต่งกับเขา นางจึงถือพัดอันเล็กๆ ไปพัดหลุมศพของสามีทุกวัน…’
————————————————————————————-
[1] เซวียผิงกุ้ยและหวังเป่าช่วง เป็นตัวละครพระนางจากบทงิ้วยอดนิยมเรื่องหนึ่ง
[2] ปี่อี้ คือ นกในตำนานของจีน เกิดมามีปีกเดียวต้องอยู่กันเป็นคู่ถึงจะโบยบินได้ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่งดงามและเป็นนิรันดร์
[3] เหลียงซานป๋อและจู้อิงไถ เป็นตัวพระนางจากตำนานโศกนาฏกรรมรักอันยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งของจีน เนื้อหาเป็นโศกนาฏกรรมรักที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์จิ้น เพราะครอบครัวหมางใจกัน ทำให้ทั้งคู่ไม่อาจครองรักกันได้ จึงตัดสินใจจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย วิญญาณกลายเป็นผีเสื้อสองตัวโบยบินเคียงคู่กัน