ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 671-672
บทที่ 671 สรุปเจ้าเป็นหอยหรือเป็นหมูกันแน่?
บัดนี้คืบคลานมายังด้านนี้ มองดูอาหารหลายอย่างบนโต๊ะที่ยังไม่พร่องเลย กลืนน้ำลายอยู่อึกๆ “ข้าก็เจ้าเหมือนกัน!” พลางค่อยๆ ยกขาหมูจานหนึ่งใส่ปาก…
กู้ซีจิ่วอับจนวาจา ลากมันมาทันที “สรุปเจ้าเป็นหอยหรือเป็นหมูกันแน่?”
เนื่องจากเจ้าหอยยักษ์เข้ามาแทรกด้วยท่าทางน่าขบขัน บรรยากาศลึกซึ้งที่เมื่อครู่อบอวลอยู่ระหว่างคนทั้งสองจึงสลายหายไปในที่สุด
หลงซือเย่ก็ทราบว่าเรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ เลยไม่ไล่ต้อนเธออีก ประจวบกับด้านนอกมีดอกไม้ไฟดอกหนึ่งพุ่งขึ้นมา จากนั้นดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นมาเรื่อยๆ มีเสียงไชโยโห่ร้องแว่วมาจากด้านล่าง
หลงซือเย่ลุกขึ้น พลางจับมือเธอไว้ “มาเถอะ ฉันจะพาเธอไปดูดอกไม้ไฟ!”
วรยุทธ์เขาสูงส่ง กระตุกวูบเดียว เขากับกู้ซีจิ่วก็ออกมาทางหน้าต่างแล้ว ร่อนลงไปรวมกับฝูงชนบนถนนใหญ่
เจ้าหอยยักษ์ก็อยากตามไปมากเช่นกัน แต่มันทิ้งอาหารเลิศรสที่ว่างอยู่เต็มโต๊ะไปไม่ลง
พะว้าพะวงอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจว่าจะกินให้อิ่มแล้วค่อยไปดู อย่างไรเสียมันก็ผูกพันธโลหิตกับเจ้านายแล้ว จึงติดต่อกันค่อนข้างสะดวก
มันไม่เพียงแต่รั้งอยู่เองเท่านั้น แม้แต่ลู่อู๋น้อยมันก็รั้งไว้ด้วย ลู่อู๋น้อยไม่สนใจอาหารเลิศรส แต่มันชมชอบความแปลกใหม่ การตกแต่งบางอย่างภายในอาคารหลังนี้ดึงดูดความสนใจของมันมาก ดังนั้นตอนที่เจ้าหอยยักษ์เริ่มกินเมื่อครู่ มันก็มุดเข้ามุดออกชั้นบน อุ้งเท้าน้อยๆ สัมผัสที่นี่ สะกิดที่นั่น
ต่อมาเมื่อเห็นว่าเจ้านายหายไป มันก็อยากตามไปเหมือนกัน เจ้าหอยยักษ์รู้สึกว่าการที่ตนอยู่ที่นี่จะถูกมองว่าไม่สนใจเจ้านายได้ง่ายมาก จะต้องหาเพื่อนร่วมรับโทษอีกตัวหนึ่ง
ดังนั้นมันจึงพ่นมุกใหญ่เม็ดหนึ่งออกมาดึงดูดความสนใจของลู่อู๋น้อย หลอกมันว่านี่คือแก่นพลัง ถ้าสัมผัสลูบคลำ หรือเล่นมันจะช่วยเพิ่มพลังวิญญาณได้ ด้วยเหตุนี้ลู่อู๋น้อยเลยเล่นไข่มุกอยู่ที่นั่น
….
บนถนนใหญ่มีผู้คนมากมาย สามารถใช้คำว่าเบียดเสียดยัดเยียดมาบรรยายได้
เดิมทีหลงซือเย่คิดจะเดินจูงมือเธอ แต่เห็นได้ชัดว่ากู้ซีจิ่วไม่ชิน เธอเลยชักมือกลับ
หลงซือเย่ในยามนี้ย่อมไม่กล้าบังคบัฝืนใจเธอ เพียงแย้มยิ้ม “คนยเอะขนาดนี้ เธออาจพลัดหลงได้ ถ้างั้น ให้เธอจับแขนเสื้อไว้ดีไหม?”
กู้ซีจิ่วร้องชิคราหนึ่ง “คุณเห็นฉันเป็นเด็กหรือไง? ถึงต้องจับแขนเสื้อคนอื่นไว้…” พูดถึงตรงนี้จู่ๆ ก็ชะงักไป
ชาติก่อนเวลาที่เธอเดินเที่ยวงานเทศกาลกับเขา เธอจะหาข้ออ้างจับมือเขาเสมอ
เขาจะหัวเราะเธอ ขบขันที่เธอเหมือนเด็กน้อย ทว่าเธอกลับกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง ‘คนเยอะขนาดนี้ เดี๋ยวคุณก็ทำฉันหายหรอก! ถ้าไม่อยากให้มือ งั้นแขนเสื้อก็พอโอเคไหม?’
เห็นได้ชัดว่าหลงซือเย่ก็นึกถึงช่วงเวลานั้นเหมือนกัน เขามองกู้ซีจิ่ว ดวงตาส่องประกายไหวระริก “ซีจิ่ว ฉันไม่อยากทำเธอหายอีกแล้ว!”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกชั่วขณะ เธอกระแอมไอเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ไปกันเถอะ! อย่าฟุ้งซ่านเลย” พลางก้าวนำไปก่อน
เมื่อก่อนหลงซีจะหัวเราะเบาๆ อยู่เสมอ ไม่เคยแสดงออกกับเธออย่างชัดเจน เมื่อก่อนเขาไม่เคยพูดคำหวานเลย พอพูดออกมากลับทำให้คนตะลึง
ทั้งสองคนเดินไปตามถนน ระหว่างนี้กู้ซีจิ่วถึงพบว่าเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยของบ้านตนไม่อยู่ เมื่อนึกถึงท่าทางและความสามารถของเจ้าตะกละตัวนั้น เธอก็เดาได้ว่ามันคงจะตัดใจจากอาหารโต๊ะนั้นไม่ลง…
ตอนนี้น่าจะสวาปามเป็นการใหญ่ ใครมาลากก็ลากไม่ไป
เนื่องจากพวกเจ้าหอยยักษ์มักจะเข้าไปล่าสัตว์ที่ด้านหลังหุบเขาด้วยตัวเองอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็หายไปเป็นวันๆ ดังนั้นกู้ซีจิ่วเลยไม่เก็บมาใส่ใจ
อันที่จริงในใจเธอก็ค่อนข้างใจหายอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เธอยังอยู่เพียงลำพังในเทศกาลความรักอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาอยู่ข้างกายอย่างรวดเร็วปานนี้…
สำหรับคำพูดเหล่านั้นของหลงซือเย่ ตามสติด้านความเป็นเหตุเป็นผลเธอเชื่อไปแล้วแปดส่วน เหลือเพียงจิตใจสำนึกเท่านั้นที่ยังคงต่อต้านอยู่บ้าง
ชาติก่อนเธอชอบเขาถึงเพียงนั้น หมายมั่นปั้นมือจะแต่งงานกับเขา ชาตินนี้ในเมื่อความเข้าใจผิดคลี่คลายแล้ว ต้องยอมรับว่าเป็นไปได้ที่เธออาจกลับไปชอบเขาอีกครั้ง ไม่แน่ภายภาคหน้าเธออาจแต่งกับเขาแล้วกลายเป็นคู่รักหวานชื่นจริงๆก็ได้
ยากนักที่จะได้พบคนที่ทะลุมิติมาเหมือนกัน เดิมก็ควรจะสนิทสนมคุ้นเคยกัน แถมชาติก่อนทั้งสองคนยังมีความสัมพันธ์แบบคนรักกันด้วย ความสัมพันธ์ในตอนนี้ก็น่าจะก้าวไปอีกขั้นแล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 672 คุณถูกคุณยายฉยงเหยาสิงร่างเหรอ?
เป็นคู่รักที่จูงมือกันท่องไปทั่วหล้าก็เป็นเรื่องราวอย่างหนึ่งที่ทำให้ใจคนหวั่นไหวได้…
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงรู้สึกว่าควรจะให้โอกาสหลงซือเย่สักครั้ง และให้โอกาสตัวเองสักครั้ง ชดเชยความเสียใจในชาติก่อน
แน่นอน ความจริงเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลงซือเย่พูดออกมาเอง กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าพิสูจน์ให้กระจ่างแจ้งสมบูรณ์แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย
เมื่อนึกถึงยามที่เป็นคู่รักหวานชื่น ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เงาร่างตี้ฝูอีถึงแวบเข้ามาในสมองเธอ ในใจคล้ายจะวูบโหวงเล็กน้อย แต่ก็กลับสู่สภาพปกติทันที
เธอยิ้มออกมาแวบหนึ่ง คนผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแล้ว อย่างมาก…อย่างมากเขาก็แค่เคยพัวพันกับเธอ จนเกือบได้หมั้ยหมายกันเท่านั้น
ดังนั้นที่จู่ๆ เธอนึกถึงเขาขึ้นมาในยามนี้ น่าจะเป็นมีสาเหตุเพราะเขาเคยพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเธอเป็นคู่หมั้นของเขา ก่อให้เกิดเงามืดในใจเธอ
….
ดอกไม้ไฟเหนือศีรษะถูกจุดตามลำดับ ฝูงชนที่อยู่รอบข้างล้วนโห่ร้องชื่นชม
ถึงแม้ชาติก่อนทั้งสองคนจะมีโอกาสชมดอกไม้ไฟด้วยกันเช่นนี้บ้างแต่ก็น้อยครั้งมาก ยามนี้เมื่อมีโอกาสแบบนี้แล้ว หลงซือเย่ย่อมทะนุถนอมอย่างยิ่ง
เขาไม่บีบคั้นเธออีก และไม่ได้ดึงดันจะจับมือเธอ เขาค่อยเป็นค่อยไป
หลังชมดอกไม้ไฟเสร็จก็ไปชมการกายกรรมต่อ
ทั้งสองคนอยู่ท่ามกลางฝูงชนขวักไขว่ ถึงแม้ไม่ได้จับมือกัน แต่สุดท้ายแล้วหลงซือเย่ก็ตามติดเธอไม่ห่าง ขอเพียงเธอหันหน้าไปก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาเสมอ ภายใต้แสงดาวใบหน้าเขาราวกับหยกชั้นเลิศ งดงามยิ่งนัก โดยเฉพาะยามที่มุมปากฉาบด้วยรอยยิ้ม เสมือนมีบุปผามากมายทยอยเบ่งบานอยู่กลางอากาศ
คนผู้นี้เติบโตมางดงามโดยแท้ สามารถใช้คำว่าสั่นสะเทือนวิญญาณมาบรรยายได้ เมื่อก่อนยามอยู่ต่อหน้าผู้คนเขาจะสวมหน้ากากไว้ ทว่าหนนี้เขาเผยใบหน้าที่แท้จริงตลอด ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน ไม่ว่าเดินไปทางไหนล้วนกลายเป็นเป้าสายตาของฝูงชน
กู้ซีจิ่วแต่งกายเป็นบุรุษ ซ้ำยังแปลงโฉมด้วย เดิมทีรูปลักษณ์บัณทิตหนุ่มที่เธอแปลงโฉมมาก็หล่อเหลามากแล้ว แต่พอมายืนรวมกับหลงซือเย่ เธอก็กลายเป็นตัวประกอบไปโดยปริยาย
บุรุษสองคนมาชมดอกไม้ไฟด้วยกันในวันเทศกาลเช่นนี้ แถมบุรุษที่หล่อเหลาคมคายผู้นั้นยังดูแลเอาใจใส่บุรุษร่างเล็กผู้นั้นเป็นพิเศษด้วย แบบนี้มองยังไงก็เหมือนคู่ต้วนซิ่วคู่หนึ่ง…
ดังนั้นสายตาที่คนรอบข้างมองพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองจึงค่อนข้างลุ่มลึกอยู่บ้าง ตอนแรกกู้ซีจิ่วก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เธอแค่รู้สึกว่ามีคนเหลียวมองมาทางตนมากผิดปกติ
ด้วยเหตุนี้เธอเลยเอ่ยถามหลงซือเย่ที่อยู่ช้างกาย “ทำไมคราวนี้คุณไม่ใส่หน้ากาก?”
หลงซือเย่ยิ้มน้อยๆ “ต่อไปนี้ฉันจะไม่ใส่หน้ากากทุกครั้งที่อยู่กับเธอ ให้เธอได้มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของฉัน”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง”…ครูฝึกหลง นี่คุณถูกคุณยายฉยงเหยา[1]สิงร่างเหรอ?”
หลงซือเย่ยิ้มอีกครั้ง เขาไม่พูดอะไร เพียงยกมือลูบหัวเธอ
ท่าทางเช่นนี้ชิดเชื้อเกินไปแล้ว! กู้ซีจิ่วก้าวขึ้นไปด้านหน้า หลบจากมือของเขา “อย่าขยับมือไม้วุ่นวาย!”
“พวกเขาเป็นคู่ต้วนซิ่วสินะ?” จู่ๆ ก็มีเสียงซุบซิบแว่วมาจากด้านข้างที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เป็นเสียงของหลานไว่หู…
กู้ซีจิ่วหันหน้าไปตามสัญชาตญาณ มองเห็นหลานไว่หูกับเยี่ยนเฉินกำลังยืนอยู่ไม่ไกล
หลานไว่หูถือถังหูลู่ไม้หนึ่งไว้ กำลังเอียงคอมองมาทางตน นางรู้สึกว่าเสียงตนเบามาก ทว่าเยี่ยนเฉินที่อยู่ข้างๆกลับปรารถนาจะอุดปากนางไว้ยิ่งนัก เขาทราบว่าคนที่อยู่ด้านนี้ได้ยินเข้าแล้ว
เขาเองก็ดูไม่ออกว่าเป็นกู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่ ถึงอย่างไรหลงซือเย่ก็สวมหน้ากากยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นมาเนิ่นนานปี…
เยี่ยนเฉินผงกศีรษะขอโทษขอโพยไปทางกู้ซีจิ่ว รีบลากหลานไว่หูจากไป ระหว่างทางเขายังอบรมนางด้วย “วรยุทธ์ของสองคนนั้นล้วนสูงส่ง เจ้าเสียงดังโวยวายเช่นนี้ผู้อื่นจะได้ยินเอาได้ อีกอย่างการนินทาว่าร้ายผู้อื่นก็ไม่ดี…ต่อไปไม่อนุญาตให้ทำเช่นนี้อีก”
————————————————————————————-
[1] ฉยงเหยา เป็นนักเขียนหญิงชื่อดังของจีน มีการใช้สำนวนภาษาโดดเด่นซาบซึ้ง องค์หญิงกำมะลอที่คนไทยคุ้นเคยกันดีก็เป็นบทประพันธ์ของเธอ