ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 691-692
บทที่ 691 นางยังเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง…
กู้ซีจิ่วมีแผนการคร่าวๆ อยู่ในใจแล้ว ถึงแม้เธอยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ แต่ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะต่อสู้ดู!
เธอเล่าแนวทางต่อสู้ในรอบนี้ สองคนนั้นก็ทราบว่านี่เป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญ เลยตั้งใจฟังเป็นพิเศษ
ทั้งสามคนขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง อวิ๋นชิงหลัวเพ่งพิศทั้งสามคนตั้งแต่หัวจรดเท้าแวบหนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ “พวกเจ้ายังจะสู้อีกหรือ? เมื่อกี้ข้าลงมืออย่างไว้ไมตรีแล้ว…รอบต่อไปข้าเกรงว่าจะควบคุมแรงไว้ไม่อยู่แล้วนะ”
กู้ซีจิ่วกล่าวเพียงไม่กี่คำ “ชนะสองในสามรอบ”
หลานไว่หูก้เอ่ยขึ้นมาเช่นกัน “พวกเรายังมีโอกาสอีกสองรอบ!”
เล่อจื่อซิ่งเม้มริมฝีปากน้อย “พวกเจ้าเหลอโอกาสอีกแค่รอบเดียว” ความหมายก็คือพวกเจ้าต้องแพ้ในรอบที่สองแน่นอน!
อวิ๋นชิงหลัวมองกู้ซีจิ่ว ประหนึ่งมองสุนัขตัวหนึ่งที่กำลังจะถูกนางบีบให้ลงน้ำ “ว่ากันตามจริงแล้ว ต่อให้ชนะพวกเจ้าได้ก็ไม่มีความหมายอะไรกับพวกเรา เป็นชัยชนะที่ไม่สมเกียรติ! เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกสักครั้ง ขอเพียงพวกเจ้าเอาชนะในรอบที่สามได้ก็ถือว่าพวกข้าแพ้ เป็นอย่างไร?”
นางมีเจตนาส่วนตัว หากชนะสองในสามรอบ เช่นนั้นหากนางชนะในรอบที่สองก็ไม่จำเป้นต้องมีรอบที่สามแล้ว
แต่นางอยากแสดงฝีมือต่อหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้มากหน่อย และอยากทำให้กู้ซีจิ่วขายหน้ามากขึ้นอีกรอบหนึ่ง ดังนั้นจึงแสร้งทำใจกว้าง เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา
และเมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา ภายใต้ฝูงชนมากมายเช่นนี้ ถ้าพวกกู้ซีจิ่วยอมรับก็เท่ากับพวกเขาอ่อนแอไร้ฝีมือ
หากแม้แต่ความกล้าหาญเช่นนี้ยังไม่มี เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ได้แพ้เพียงการต่อสู้เท่านั้น แม้แต่ศักดิ์ศรีก็จะเสียไปจนสิ้นด้วย
กู้ซีจิ่วไม่ได้เอ่ยปฏิเสธจริงๆ เธอมองอวิ๋นชิงหลัวแวบหนึ่ง “เจ้าพูดจริงหรือ?”
“แน่นอน!” อวิ๋นชิงหลัวตอบโดยไม่ลังเล
กู้ซีจิ่วคลี่ยิ้ม “เรื่องนี้มิใช่เรื่องที่ข้ากับเจ้าสามารถตัดสินใจได้ ยังต้องขอให้คณะผู้ตัดสินช่วยตัดสินใจ ไหนจะสหายร่วมกลุ่มของเจ้า และสหายร่วมกลุ่มของข้าด้วย”
อวิ๋นชิงหลัวนึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะเล่นไม้นี้ นางมองไปที่สหายของตนก่อน “พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
ฝาแฝดคู่นั้นสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตอบพร้อมกัน “พวกเรายังไงก็ได้”
ถึงแม้เชียนหหลิงอวี่กับหลานไว่หูจะทราบว่ามีโอกาสที่จะสู้ชนะไม่มาก แต่ยามนี้ก็ไม่คิดจะเป้นคนขี้ขลาดตาขาว เอ่ยตอบอย่างพร้อมเพรียง “พวกเราเชื่อฟังซีจิ่ว!”
กู่ฉานโม่ขมวดคิ้ว เขาเป็นตาเฒ่ามากประสบการณ์ อวิ๋นชิงหลัวมีเจตนาใดเขาย่อมมองออกในแวบเดียว
กู้ซีจิ่วเด็กสาวคนนั้นถึงแม้จะปล้นหินวิญญาณเขาไปไม่น้อย ซ้ำยังทำให้เขาได้รับความทุกข์ทรมานอยุ่หลายเดือน แต่ตอนนี้เขาชื่นชมเด็กสาวคนนี้จริงๆ
อุปนิสัยจริงจัง เป็นตัวของตัวเอง มีความสามารถ กระทำการมีขอบเขต ทำให้คนเกลียดไม่ลง
บางครั้งเข้าถึงขั้นรู้สึกว่าเด็กสาวผู้นี้เก่งกาจกว่าอวิ๋นชิงหลัวผู้เป็นสานุศิษย์สวรรค์มากนัก!
ถึงแม้อวิ๋นชิงหลัวจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ แต่เขารู้สึกอยู่เสมอว่านางไม่มีอะไรพิเศษเลย…
เขาจัดการแข่งขันชิงชนะเลิศรอบนี้ขึ้น ประการแรกคือต้องการกระตุ้นให้เหล่าศิษย์กระตือรือร้น ประการที่สองก็คืออยากให้เด็กสาวเช่นกู้ซีจิ่วได้ฉายแสงในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์
ถ้าเด็กสาวคนนี้ต้องการมีที่ยืนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ก็ต้องแสดงความสามารถที่ทำให้คนตกตะลึงได้เท่านั้น
ว่ากันตามจริงแล้ว กู้ซีจิ่วสามารถพาสหายทั้งสองของนางมาถึงขั้นนี้ได้ก็เกินความคาดหมายของเขามากแล้ว และเพียงพอให้เขารู้สึกชื่นชมแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เด็กสาวคนนี้เสียหลักที่นี่มากถึงเพียงนี้!
ถึงอย่างไร…นางก็เพิ่งช้ำรักมามิใช่หรือ?
แถมทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายบัดซบผู้นี้ยังจงใจโอ่คนใหม่หมางเมินคนเก่า ต่อให้เป็นหญิงสาวที่เติบใหญ่ถ้าประสบสถานการณ์เช่นนี้เข้าก็คงจะเศร้าหมองอย่างยิ่ง นับประสาอะไรกับเด็กสาวที่ยังไม่เต็มสิบห้าปีอย่างกู้ซีจิ่วผู้นี้เล่า?
นางยังเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง…
————————————————————————————-
บทที่ 692 รอยยิ้มนั้นคล้ายแฝงแววเย้ยหยันไว้รางๆ
ด้วยเหตุนี้เขาเลยเอ่ยว่า “ในเมื่อกฏคือชนะสองในสามรอบตั้งแต่แรก เช่นนั้นย่อมต้องเป็นชนะสองในสามรอบตามเดิม พวกเจ้านึกว่ากฎนี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าอยากเปลี่ยนก็สามารถเปลี่ยนได้งั้นหรือ?!”
เขากวาดตามองคนทั้งหก แต่สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่บนร่างอวิ่นชิงหลัว ดวงตาฉายแววเย็นชา
ผู้ตัดสินคนอื่นๆ ต่างคล้อยตาม เยี่ยนเฉินเอ่ยว่า “ศิษย์เห็นด้วยกับอาจารย์ใหญ่กู่ขอรับ”
อวิ๋นชิงหลัวเม้มปากแน่น นางไม่อยากทิ้งโอกาสที่จะได้ทำให้กู้ซีจิ่วอับอายเช่นนี้ไป ดงันั้นจึงมองไปที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านคิดเห็นอย่างไรเจ้าคะ?”
ที่นี่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีฐานะสูงที่สุด คำพูดของเขาคือคำตัดสินชี้ขาด
ตี้ฝูอีกวาดตามองใบหน้าคนทั้งหกแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองหลงซือเย่ มุมปากคล้ายจะอมยิ้ม “เจ้าสำนักหลง ท่านว่าอย่างไร?”
หลงซือเย่ขมวดคิ้วนิดๆ เขาคือคนที่สอนกู้ซีจิ่วมา ย่อมทราบพลังที่แท้จริงของเธอ และรู้ว่าในการต่อสู้เธอมีโอกาสแปรเปลี่ยนสารพัด มักจะได้ชัยด้วยใช้อ่อนสยบแข็งอยู่เสมอ
แต่ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายค่อนข้างห่างชั้นกันมากจริงๆ ด้วยสายตาของเขามองออกว่าในรอบแรกอวิ๋นชิงหลัวยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดจริงๆ เด็กสาวผู้นี้คงเกรงว่าถ้าทำให้คนบาดเจ็บตั้งแต่รอบแรกจะดูเหี้ยมโหดเกินไป จึงขู่ให้คู่ต่อสู้ตกใจแล้วล่าถอยไปเอง เลยใช้พลังเพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น…
ดังนั้นในรอบที่สองนี้หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย พวกกู้ซีจิ่วจะต้องพ่ายแพ้เช่นเดิม อัตราที่จะชนะริบหรี่มาก
ส่วนรอบที่สาม เขาคิดว่ามีความหวังไม่มาก และสามารถกล่าวได้ว่าต่อให้ไปถึงรอบที่สาม พวกกู้วีจิ่วก็จะแพ้เหมือนเดิม…
การประลองครั้งนี้ถึงแม้จะมีกฎว่าบาดเจ็บล้มตายไม่มีโทษ แต่ที่นี่มียอดฝีมือมากมายจับตามองอยู่ ย่อมไม่อาจเล่นงานคนจนถึงแก่ชีวิตได้จริงๆ มิเช่นนั้นใบหน้าคนเหล่านี้คงมินิ่งเฉยอยู่เป็นแน่!
เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นชิงหลัวก็ทราบข้อนี้ดี ดังนั้นหนนี้จึงไม่คิดจะเอาชีวิตกู้ซีจิ่วจริงๆ แต่ต้องการให้ขายหน้าหลายๆ ครั้งเป็นแน่…
หลงซือเย่ย่อมไม่เปล่อยให้อวิ๋นชิงหลัวสมหวัง ดังนั้นเขาเลยเอ่ยว่า “ข้าเห็นด้วยกับอาจารย์ใหญ่กู่ กฎการประลองรอบชิงชนะเลิศกล่าวว่าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้เหมือนเด็กเล่นขายของหรือ? ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้ความสำคัญกับกฏระเบียบมาตลอด คงจะเห็นด้วยกับคำพูดของอาจารย์ใหญ่กู่กระมัง?”
ตี้ฝูอีมองไปที่คนทั้งหก กล่าวอย่างเฉยชา “กฏเกณฑ์บางครั้งก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในเมื่อเด็กหกคนนี้เห็นพ้องต้องกันแล้ว แล้วเหตุใดถึงไม่ช่วยให้พวกเขาสมหวังสักครั้งเล่า?”
ดวงตาอวิ๋นชิงหลัวทอประกายอีกครั้ง ทำความเคารพไปทางทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย “ขอบพระคุณท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่เข้าใจพวกเรา…”
ตี้ฝูอีแย้มยิ้มดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิ “ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอยู่เสมอนั่นแหละ ในเมื่อพวกเจ้าล้วนเห็นด้วย แล้วพวกเขาจะดึงดันขัดขวางได้อย่างไร? ย่อมต้องให้โอกาสพวกเจ้า พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่?”
ในที่สุดสายตาเขาก็หยุดลงที่ร่างกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยวาจา
รอยยิ้มนั้นคล้ายแฝงแววเย้ยหยันไว้รางๆ
แววตาตี้ฝูอีดำดิ่งลงกว่าเดิม
ในเมื่อทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายกล่าวเช่นนี้แล้ว ฝูงชนจะโต้แย้งต่อไปคงไม่ดี เพียงแต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังคงขึ้นอยู่กับกู่ฉานโม่ เขาไม่มองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีเลย “ประลองรอบที่สองจบก่อนค่อยว่ากัน!”
ด้วยเหตุนี้ รอบที่สองจึงเริ่มขึ้น
ถึงอย่างไรก้เคยประมือกันไปแล้วรอบหนึ่ง ยามนี้จึงคุ้นเคยกันบ้างแล้ว ดังนั้นการประลองรอบนี้จึงน่าชมกว่ารอบแรกมากนัก
เงาร่างคนทั้งหกโผนทะยานไปมาบนเวที แสงจากพลังวิญญาณชนิดต่างๆ ส่องวูบวาบ ประเดี๋ยวเถาวัลย์กวัดแกว่งดั่งจะทลายทัพ ประเดี๋ยวคลื่นยักษ์ก็ปานแม่น้ำใหญ่ที่ไหลเชี่ยว ประเดี๋ยวกำแพงดินก็ผุดขึ้นมากะทันหัน ประเดี๋ยวแสงทองก็ส่องประกายดั่งใบมีดที่เฉียบคม…
ความเร็วของทั้งหกคนว่องไวมาก ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยที่อยู่ด้านล่างเวทีวรยุทธ์อ่อนด้อยมองจนตาพร่า เวียนหัวตาลาย
หลงซือเย่จับตามองความเคลื่อนไหวของทั้งหกคนบนเวทีอยู่ตลอด หนนี้ทั้งหกคนน่าจะสำแดงพลังทั้งหมดออกมาแล้ว ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งอันตราย ถ้าเผลอไผลไปแม้แต่น้อยเกรงว่าจะถูกแสงทองฟัน ชนโขดหิน หรือโดนเถาวัลย์รัดจนถึงแก่ความตายได้…
มือเขาที่อยู่ใต้โต๊ะจรดนิ้วเตรียมร่ายวิชาไว้ ขอเพียงเห็นท่าไม่ดีแล้วก้พร้อมจะลงมือขัดขวางเพื่อช่วยชีวิตคน…