ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 693-694
บทที่ 693 ข้าไม่ต้องการเจ้า 1
อย่างไรเสียการต่อสู้ในสนามรบ ช่วงเวลาความเป็นความตายห่างกันไม่ถึงเสี้ยววินาที ต่อให้เป็นหลงซือเย่ ในยามนี้ก็ไม่กล้าเผลอไผลไปแม้แต่น้อย
ตกลับกันกับตี้ฝูอี เขานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอุรานัก ซ้ำยังจิบชาอะไรสักอย่างเป็นครั้งคราวด้วย
ท่ามกลางผู้คนที่อยู่ที่นี่วรยุทธ์ของเขาสูงส่งที่สุด กำลังสายตาย่อมดีเยี่ยมที่สุดเช่นกัน มองทั่วสนามเพียงแวบเดียวก็ทราบถึงความสามารถและจุดเด่นของทุกคนแล้ว
แน่นอน สิ่งที่เขามองเป็นอันดับแรกก็คือวรยุทธ์ของกู้ซีจิ่ว
ไม่ได้พบกันเพียงสามเดือน วรยุทธ์ที่เพิ่งจะถึงขั้นห้าของนางทะลวงไปถึงขั้นห้ากับอีกประมาณเจ็ดส่วนแล้ว แถมความสามารถในการควบคุมกระบวนยุทธ์ของนางก็แทบจะบรรลุขั้นสุดยอดแล้ว!
ที่พบเห็นได้ยากกว่านั้นคือการสอดประสานของนางกับสหายร่วมกลุ่ม สามารถใช้คำว่ายอดเยี่ยมล้ำลึกมาบรรยายได้ แนวทางประสานที่นางคิดค้นขึ้นมาเองก็เยี่ยมมาก บรรลุขั้นที่สามคนรวมเป็นหนึ่ง การประสานเช่นนี้ทำให้พลังยุทธ์ของทุกคนแทบจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
เพียงแต่น่าเสียดายอีกสองคนที่เหลืออายุน้อยไปหน่อย ประกอบกับมีคนหนึ่งใจฝ่อเล็กน้อย การสำแดงกระบวนท่าในบางครั้งก็เผยข้อบกพร่องออกมาทำให้คู่ต่อสู้ทลายแนวป้องกันของนางได้ ตีรวนค่ายกลที่ประสานกันของทั้งสามคน ไม่เช่นนั้นเกรงว่ากลุ่มของนางคงคว้าชัยไปนานแล้ว!
กลุ่มของกู้ซีจิ่วยิ่งสู้ยิ่งคุ้นเคย ยิ่งสู้ยิ่งพบข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้ที่เผยออกมาเพียงแวบๆ เท่านั้น
ในรอบแรกอวิ๋นชิงหลัวได้ชัยโดยไม่ต้องพะว้าพะวง ส่วนรอบที่สองนี้ ถ้ากลุ่มอวิ๋นชิงหลัวอยากชนะเกรงว่าคงต้องลำบากมาก อย่างมาก็ชนะแบบเฉียดฉิว
ส่วนรอบที่สาม ใครจะแพ้ใครจะชนะตี้ฝูอีไม่เป็นกังวลแล้ว
ปลายนิ้วเขาไล้วนถ้วยชาโดยไม่รู้ตัว น้ำชาสะท้อนนัยน์ตาดำขลับที่ลึกล้ำเป็นพิเศษของเขา
หนึ่งเค่อผ่านไป ครึ่งชั่วยามผ่านไป หนึ่งชั่วยามผ่านไป…
ทั้งหกคนบนเวทียังคงยากจะทราบผลแพ้ชนะ
ฝูงชนด้านล่างเวทีมองจนโลหิตพลุ่งพล่านแล้ว!
อันที่จริงกลุ่มของอวิ๋นชิงหลัวเดิมทีก็เป็นหัวกะทิของชั้นเรียนเมฆาม่วงอยู่แล้ว กวาดล้างชั้นเรียนเมฆาม่วงระดับต้นจนไร้คู่ต่อสู้ ในชั้นเรียนเมฆาระดับต้นไม่มีกลุ่มไหนสามารถต่อกรกับพวกเขาได้นานกว่าครึ่งชั่วยามเลย!
แต่ในรอบนี้กลุ่มของกู้ซีจิ่วกลับประลองกับพวกเขานานกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ซ้ำยังไม่มีวี่แววว่าจะแพ้ด้วย อาศัยเพียงข้อนี้ข้อเดียว กลุ่มนี้ก็มีคุณสมบัติพอจะเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งแล้ว!
ยามนี้อาจารย์เริ่นของชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งว้าวุ่นใจมาก กลุ่มอวิ๋นชิงหลัวคือไพ่เด็ดของห้องหนึ่ง เขาย่อมไม่อยากให้พวกเขาพ่ายแพ้
แต่เขาก็มองว่ากลุ่มของกู้ซีจิ่วเยี่ยมยอดนัก และอยากได้พวกเขามาอยู่ในชั้นเรียนของตนยิ่ง!
เขาอดไม่ได้จึงบ่นกับกู่ฉานโม่ “อาจารย์ใหญ่กู่ขอรับ ข้าคิดว่าพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นเยี่ยมที่พบเห็นได้ยากโดยแท้ โดยเฉพาะกู้ซีจิ่ว…อัจฉริยะเช่นนี้กลับอยู่ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยมาตลอดช่างเสียของจริงๆ! ข้ารู้สึกว่าอัจฉริยะสมควรมุ่งสู่ภูวดลพ้นกรอบใด ต่อให้พวกเขาพ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้ข้าก็คิดว่าควรจะให้พวกเขาเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งของข้าอยู่ดี ใจจริงข้ารู้สึกว่าท่านควรจะเปลี่ยนเงื่อนไขข้อนั้นเสีย…”
อาจารย์เฉียนของชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องสองกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ในเมื่อกล่าวเงื่อนไขไว้แต่แรกแล้ว ไหนเลยจะเปลี่ยนได้ตามใจชอบ? เพียงแต่ที่อาจารย์เริ่นกล่าวมาก็มีเหตุผล อัจฉริยะเช่นนี้อยู่ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยช่างเสียของจริงๆ มิสู้ให้พวกเขามาเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องสองของพวกเราดีไหมเล่า? เช่นนี้เหล่าศิษย์จะได้ไม่เสียอนาคต และไม่ขัดต่อกฏเกณฑ์ด้วย”
อาจารย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องสามก็เงี่ยหูฟังอยู่ตลอดเหมือนกัน ยามนี้พอได้ยินว่าผู้อื่นเริ่มแย่งชิงคนแล้ว เขาย่อมไม่ยอมถูกทิ้งไว้ด้านหลัง กล่าวถึงข้อดีของชั้นเรียนตน อยากให้กู้ซีจิ่วเข้าชั้นเรียนของเขาเอง…
อาจารย์จางของชั้นเรียนเมฆาคล้อยได้ยึดถือพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามเป็นศิษย์รักศิษย์โปรดแล้ว ยามนี้พอถูกโจมตีอย่างไม่มีสาเหตุหลายครั้งเข้า ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง อดไม่ได้จึงโต้กลับไปหลายประโยคเช่นกัน
ใจความหลักๆ คือพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามคนเป็นชั้นเรียนเมฆาคล้อยเลี้ยงดูสั่งสอนมา แสดงให้เห็นว่าชั้นเมฆาคล้อยมิใช่ขยะ อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของชั้นเมฆาคล้อยมิใช่ขยะ ดังนั้นพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามยังสมควรอยู่ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยต่อเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ศิษย์ที่ล้าหลัง…
วาจาที่เขากล่าวออกมา ได้กระตุ้นอาจารย์ที่ปรึกษาของชั้นเรียนอื่นๆ ให้ลุกฮือขึ้นมาโจมตี ต่างคิดว่าการที่อาจารย์จางเก็บเมล็ดพันธุ์ชั้นดีไว้ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยเป็นการกระทำที่ขัดขวางอนาคตของผู้มีพรสวรรค์ พากันประณามหยามเหยียดผู้อื่นอย่างยิ่ง…
————————————————————————————-
บทที่ 694 ข้าไม่ต้องการเจ้า 2
เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อพวกกู้ซีจิ่วทั้งหกที่ประลองกันอยู่บนเวที คณะอาจารย์ถึงแม้จะถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดง แต่น้ำเสียงล้วนแผ่วเบายิ่ง มีเพียงโต๊ะของผู้ตัดสินเท่านั้นที่ได้ยิน
กู่ฉานโม่ถูกเสียงทะเลาะของพวกเขาทำให้หนวกหู เมื่อเหลืออดแล้วจึงตบตะคราหนึ่ง “หุบปากกันให้หมด! เหล่าเฉียน เมื่อก่อนเชียนหลิงอวี่ถูกถีบออกมาจากชั้นรียนเมฆาม่วงห้องสองของเจ้า ตอนนั้นเจ้ามาโอดครวญอยู่ข้างหูอาจารย์ใหญ่เช่นข้าทุกวันบอกว่าเขาถ่วงความก้าวหน้าของชั้นเรียนพวกเจ้า ศิษย์อัจฉริยะที่โดดเด่นคนหนึ่งถูกถีบไปชั้นเรียนเมฆาคล้อยถึงได้ยอมเลิกรา! เหล่าหวง เจ้าก็สายตามืดบอดเช่นกัน เมื่อก่อนหลานไว่หูผู้นี้เป็นศิษย์ในห้องสามของเจ้า แล้วเจ้าว่าอย่างไรเล่า? บอกว่านางเป็นไม่ผุที่ไม่อยากสลักเสลาได้ เป็นโคลนที่มิอาจก่อกำแพงได้ ตอนนี้พอเห็นว่านางดีแล้งเลยคิดจะมาแย่งนางไปอีกครั้งหรือ? เขากวาดสายตามองคณะอาจารย์อย่างน่าเกรงขามรอบหนึ่ง เอ่ยต่อไป “ตอนที่กู้ซีจิ่วเพิ่งมาที่นี่ พวกเจ้ากล่าวว่าอย่างไรเล่า? กล่าวว่าข้าผู้เฒ่ายอมก้มหัวให้แก่อำนาจ กล่าวปล่อยให้อุจจาระหนูก้อนหนึ่งอย่างนางมาทำลายโจ๊กทั้งสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ของพวกเรา ยามนั้นแต่ละคนต่างกระโดดเหยงๆ มาร้องอุทรณ์ในห้องหนังสือข้าผู้เฒ่า เหตุใดยามนี้แต่ละคนถึงคิดยื้อแย่งกันขึ้นมาเล่า?”
คณะอาจารย์เงียบงันไร้วาจา…
กู่ฉานโม่ปรายตามองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแวบหนึ่ง สั่งสอนลูกน้องของตนต่อไป “ข้าว่าพวกเจ้าน่ะ ปกติแล้วต่างถือตนว่ามีดี มองคนแม่นยำ คิดว่าตนมองเมล็ดพันธุ์ชั้นดีใดๆ ไม่เคยพลาด ความจริงแล้วพวกเจ้าทุกคนล้วนสายตามืดบอด! ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ที่แท้แล้วยังคงเป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สายตาเฉียบคมที่สุด ถึงได้ค้นพบแร่หยกชั้นเลิศก้อนใหญ่นี้แล้วส่งมาให้สำนึกศึกษาชุมนุมสวรรค์ของพวกเรา ผู้เฒ่าเชื่อว่าในภายภาคหน้ากู้ซีจิ่วเด็กน้อยคนนี้จะต้องไม่ด้อยกว่าผู้ใด! ในอนาคตความสำเร็จของนางจะไร้ซึ่งขัดจำกัด! บางที…หึ อาจจะก้าวล้ำหน้าสานุศิษย์สวรรค์บางคนก็ได้ใครจะรู้ ต่อไปพวกเจ้าต้องเบิกตาให้ข้ากว้างๆ หน่อย อย่าได้เห็นเพชรเป็นกรวดแล้วโยนทิ้ง เช่นนั้นต่อให้เก็บหยกขาวชิ้นหนึ่งกลับมาได้ มูลค่าก็ยังห่างไกลจากเพชรนัก! ต่อไปพวกเจ้าจะเสียใจภายหลังจนแทบกระโลหิต!”
เหล่าอาจารย์อับจนวาจา
เหตุใดพวกเขารู้สึกว่าอาจารย์ใหญ่กู่กำลังพูดจากระทบกระแทกแดกดันบางคนที่นี่อยู่นะ?
ด้วยเหตุนี้สายตาลุ่มลึกของทุกคนจึงลอบมองไปที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
ครั้งนี้ดูเหมือนว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่หลักแหลมกว่าวานรเป็นร้อยเท่าเสมอจะไม่ได้ยิน แม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนองสักนิดก็หามีไม่ เขาจิบชาคำหนึ่ง สายตาจับจ้องที่สนามประลองอยู่ตลอด…
ดูจากแนวโน้มครั้งนี้ รอบนี้น่าจะเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ กลุ่มของกู้ซีจิ่วจะพ่ายแพ้เช่นเดิม
เพียงแต่นางสามารถยื้อไว้นานขนาดนี้ได้ก็ไม่ธรรมดามากแล้ว! แทบจะอยู่เหนือความคาดหมายของเขา
เขามองบางคนที่อยู่ในสนามประลอง แววตาลึกล้ำดั่งท้องสมุทรที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ทราบว่าศึกตัดสินของช่วงสุดท้ายมาถึงแล้ว…
การต่อสู้ในสนามประลองเข้าขั้นดุเดือดแล้ว
ท่ามกลางหกคนนี้ พลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วต่ำที่สุด เป็นพลังวิญญาณธาตุลม ความเร็วจึงว่องไวที่สุด แต่ก็สิ้นเปลืองพลังอย่างหนักนาเช่นกัน เป็นธรรมดาที่ระดับความอึดจะสู้อีกหลายคนที่เหลือไม่ได้
ประกอบกับเธอต้องคอยปรับรูปขบวนอยุ่เนืองๆ ไม่เพียงออกกระบวนท่าของตนเท่านั้นยังต้องชี้แนะให้หลานไว่หูออกกระบวนท่าอีก ไม่ว่าจะเป็นแรงกายหรือแรงวสมองล้วนแต่สิ้นเปลืองไปอย่างรวดเร็วทั้งสิ้น
หน้าผากของเธอมีหยาดเหงื่อผุดซึมไม่ขาดสาย เหงื่อบนแผ่นหลังก็ชุ่มเหงื่อ หยาดเหงื่อบนหนังศีรษะไหลย้อยชุ่มเส้นผม มองแล้วจนตรอกนัก กระบวนท่าที่สำแดงออกมาก็ไม่ปราดเปรียวเหมือนตอนแรก
มองไปที่หลานไว่หูต่อ พลังวิญญาณของนางนับว่าอ่อนแอเป็นอันดับสอง อีกทั้งนางยังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอ นี่คือการต่อสู้ที่นางยืนหยัดได้นานที่สุดและอันตรายที่สุดด้วย ยามนี้เส้นผมของนางเปียกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อเช่นกัน มือเท้ายิ่งอ่อนแรงดั่งมิใช่มือเท้าของตน แต่นางยังคนยืนหยัดสู้สุดชีวิตเช่นเดิม ในใจมีเพียงความคิดเดียว ยืนหยัด! ยืนหยัดไว้! แม้จะถูกผู้อื่นสังหาร ก็ต้องสู้ในสนามประลองนี้ให้ถึงที่สุด!
เชียนหลิงอวี่ถึงแม้พลังวิญญาณจะสูง ไม่เคยเสียทีให้ผู้ใด…