ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 723-724
บทที่ 723 ริ้วทรายลอดหว่างนิ้ว
กู้ซีจิ่วกัดคำหนึ่ง ดูเหมือนจะหวานนิดหน่อย และเลี่ยนเล็กน้อย…
แต่เมื่อเธอเห็นสายตาที่ประหม่าเล็กน้อยของหลงซือเย่ เธอก็ค่อยๆ กินมันเข้าไป “อร่อยมาก ฝีมือไม่เลวเลย”
หลงซือเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ชอบกินก็ดีแล้ว ต่อไปฉันจะทำให้เธออีก”
ทั้งสองคนนั่งคุยเล่นกันอยู่หลายประโยค กู้ซีจิ่วก็เอ่ยขอ “ครูฝึกหลง คุณเป่าขลุ่ยให้ฉันฟังอีกเพลงสิ ฉันชอบฟัง” เมื่อก่อนเธอก็ชอบมองเขาเป่าขลุ่ย
เขาหน้าตาดี รูปร่างดี บุคลิกดี ยามที่ยืนเป่าขลุ่ยอยู่ใต้ต้นไม้ให้ความรู้สึกงดงามดั่งภาพน้ำหมึกที่ค่อยๆ กลางออกเบื้องหน้า
หลงซือเย่ย่อมไม่ปฏิเสธเธอ เป่าขลุ่ยไม้ไผ่อีกครั้ง เพลงที่เขาเป่าคือ ‘ท่องซูโจว’ หนึ่งในสิบเพลงขลุ่ยอันโด่งดัง ได้บรรยากาศของเจียงหนานยิ่งนัก ยามที่เสียงขลุ่ยดังขึ้น ดั่งล่องอยู่ในขุนเขาสายธารอันคดเคี้ยวของเจียงหนาน ทำให้จิตใจคนสงบสุขผ่อนคลาย
กู้ซีจิ่วพริ้มตาลงน้อยๆ เอนกายพิงต้นเฟิงด้านหลัง คนทั้งสองคนหนึ่งใช้ใจบรรเลง คนหนึ่งฟังอย่างเพลิดเพลิน
แสนสงบและเป็นสุข
บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เธอต้องการ
เมื่อรู้ว่าถูกก็ควรลงมือทำ อย่าให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลัง เป็นสิ่งที่กู้ซีจิ่วยึดถือมาตลอด
อันที่จริงในตอนนี้เธอก็ยังไม่เชื่อคำพูดทั้งหมดของหลงซือเย่เต็มร้อย ถึงอย่างไรหยกนภาก็หยกนภาก็กล่าวว่าเธอเกิดจากการโคลนนิ่ง แต่เมื่ออยู่ที่นี่หลงซือเย่กลับบอกว่าไม่ใช่ เป็นมนุษย์โคลนนิ่งเพียงในนามเท่านั้น ความจริงแล้วเป็นมนุษย์ปกติ…
เธอเคยถามหยกนภาแล้ว หยกนภาทึ่มทื่อยิ่งนัก มันบอกว่าข้อมูลที่มันได้รับเป็นเช่นนี้ แถมข้อมูลนี้ก็ไม่มีวิธีพิสูจน์ด้วย เพราะถึงอย่างไรมันก็เพิ่งมารู้จักเธอที่โลกนี้…
ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องลึกลับที่ถูกกำหนดให้ยากจะคลี่คลาย
เธอหยิบหยกประดับทรงใบเฟิงชิ้นนั้นมาถือเล่น มีขนาดเล็กมากจริงๆ กำไว้ในมือแล้วอบอุ่น เรียบลื่น สัมผัสไม่เลว
หยกประดับชิ้นนี้หลงซือเย่มอบให้เธอในเทศกาลความรักคืนนั้น กล่าวว่าคืนสินทรัพย์ให้เจ้าของเดิม
เพลงขลุ่ยจบลงแล้ว ถึงอย่างไรยามนี้ร่างกายเธอก็อ่อนแอ พิงอยู่ตรงนั้นค่อนข้างง่วงงุนอยู่บ้าง เดิมทีพิงต้นไม้อยู่ ทว่าไม่รู้ว่าเปลี่ยนมาพิงไหล่ของหลงซือเย่ตั้งแต่ยามไหน
หลงซือเย่ก้มถามเธอ “อยากฟังอะไรอีกไหม?”
สติกู้ซีจิ่วกลับเข้าร่าง ดวงหน้าพริ้มเพราซับสีแดงจางๆ น่าอายนัก เธอฟังจนเคลิ้มหลับไปเสียได้
“เอาเพลงการพบพานอันสุขสันต์แล้วกัน” กู้ซีจิ่วสั่งอีกเพลง ตอนนี้เธออยากฟังเพลงนั้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
หลงซือเย่ยิ้มน้อยๆ พลางส่ายศีรษะ เพลงนั้นคือเพลงพื้นบ้าน เพียงแต่เพลงนี้ก็เหมาะกับสถานการณ์ของพวกเขาในยามนี้ดี การพบพานอันสุขสันต์ของคู่รัก…
ท่วงทำนองเพลงนี้มิใช่สิ่งที่เขาสันทัด เขาค่อนข้างชอบทำนองที่ลุ่มลึกยืดยาว สงบร่มเย็นดั่งขุนเขาในฤดูใบไม้ผลิ…
เขาหลุบตาลงเล็กน้อย ทบทวนท่วงทำนองและโน้ตเพลง แล้วยิ้มออกมา “ฉันจะลองดู ฉันจำเพลงนั้นไม่ได้แล้ว”
เขาเป่าไปได้ครึ่งเพลงก็นึกท่อนหลังไม่ออกแล้ว จึงกล่าวขอโทษ “นึกไม่ออกแล้วจริงๆ มิสู้พวกเราเปลี่ยนเป็นเพลงอื่น?”
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญครู่หนึ่ง “ท่านเคยได้ยินเพลงริ้วทรายลอดหว่างนิ้วของวงตำนานพญาหงส์ไหม? ฉันค่อนข้างชอบเพลงนั้น”
หลงซือเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก “เพลงนี้ได้!”
“ดีเลย คุณเป่าเดี๋ยวฉันร้อง” กู้ซีจิ่วรู้สึกสนใจขึ้นมา
หลงซือเย่ยังไม่ค่อยวางใจนัก “ดูเหมือนบาดแผลเธอยังไม่เหมาะจะร้องเพลง…”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันร้องเบาๆ ก็ได้”
ในที่สุดหลงซือเย่ก็พยักหน้ารับ แล้วเป่าขลุ่ยไม้ไผ่ กู้ซีจิ่วอ้าปากขับขานบทเพลง
ปีนั้นใต้จันทรา ณ เจียงหนานเจ้าบรรเลงผีผาเร่งรัดข้าขึ้นอาชา
ภายในใจเจ้าร่ำร้องต้องการรั้งทว่าไม่อยากเพรียกหาให้ข้าอาวรณ์
เจ้าบอกกล่าววาสนาดั่งริ้วทรายลอดหว่างนิ้วมิอาจยึดไว้จำต้องปล่อยไป
ปล่อยให้สายลมกวาดพัดมันไปโดยใช้ทั้งชีวิตเจ้าดิ้นรนเป็นเดิมพัน…
….
เสียงเพลงกังวานหวานแว่ว คลอเคล้าด้วยเสียงขลุ่ยแว่วลอยไป
ริ้วทรายลอดหว่างนิ้วปลิวผ่านหน้าเฒ่าโรยราเส้นเกศาพลันขาวโพลน
————————————————————————————-
บทที่ 724 แสนริษยาคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่…
คะนึงหาภาพทิวทัศน์อันงดงามเป็นเอกในโลกหล้า
เฝ้าคอยนับพันปีเพื่อรอคำว่าเจ้ารักข้า
อย่ากล่าวว่าพวกเราพลาดช่วงวัยที่งดงามที่สุดไป
เสียงพิณแว่วสายธารไหลอีกครา
แสนริษยาคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่[1]…
เสียงขลุ่ยเงียบลงแล้ว ถึงแม้เสียงร้องจะแหบพร่าไปเล็กน้อย ทว่ามีเสน่ห์เฉพาะตัว
เมื่อบทเพลงขับขานจบ นัยน์ตาหลงซือเย่พลันส่องประกายนิดๆ ยื่นมือไปกุมมือเธอไว้ “ซีจิ่ว ฉันตามหาเธอมาตลอด ไม่ใช่คำโกหก พวกเราจะไม่พลาดช่วงเวลาที่งดงามที่สุดในชีวิต…”
กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ ในที่สุดก็เอียงหัวซบไหล่เขา “ตาทึ่ม!”
ถึงแม้ความรักของเธอกับเขาจะเรียกว่าเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ไม่ได้ แต่ก็สั่งสมมายาวนาน
ต่อให้ไม่อาจจัดพิธีสมรสได้ แต่เธอขอแค่ได้อยู่กับเขาก็พอแล้ว เหตุใดต้องใส่ใจพิธีการหยุมหยิมพวกนั้นด้วยเล่า?
เธอหลับตาลง ในหูคล้ายได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ‘เสี่ยวซีจิ่ว เจ้าหลงรักข้าแล้ว…’
หัวใจคล้ายถูกอะไรทิ่มแทงเข้าทันที!
ยามนั้นท่าทางของเธอสงบนิ่งมาก แต่หัวใจกลับเต้นถี่รัวขึ้นมาสองสามที
แน่นว่าแค่สองสามทีเท่านั้น เพราะเธอรู้ว่าเขาไม่ได้จริงจัง
ต่อให้เขาจริงจังแล้วอย่างไรเล่า? เธอไม่อยากเป็นทั้งไฝสีชาดและแสงจันทร์ขาวของเขา…
แม่น้ำลั่วสามพันลี้ เธอหมายดับกระหายเพียงหนึ่งจอก[2]
ตอนนี้เธอหาจอกนั้นของตนพบแล้ว ส่วนจอกอื่น ก็โยนทิ้งไปซะ…
….
บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ไม่ไกลจากตรงนี้ ตี้ฝูอีกำลังนั่งอยู่บนต้นเฟิงแดงต้นหนึ่ง หลุบตามองคู่รักคู่หนึ่งที่อิงแอบคลอเคลียกันอยู่ไม่ไกล ฟังเสียงเพลงของนาง
เสียงร้องของนางไม่เลวเลย แต่ในสายตาตี้ฝูอีผู้ถวิลหาความสมบูรณ์แบบยังมีข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง
จำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่นางร้องเพลงให้เขาฟัง เขาวิเคราะห์จุดบกพร่องของนางเสียมากมาย กรอกยานางไปไม่น้อย…
ยามนี้ถึงอย่างไรนางก็บาดเจ็บอยู่ เส้นเสียงนางยิ่งแย่กว่าเดิม แหบพร่าเล็กน้อย หอบหายใจนิดหน่อย บางคำก็ออกเสียงไม่ชัดเจน…
เขาวิเคราะห์ข้อบกพร่องของนางได้มากกว่าเดิม แต่ว่านางไม่ได้ร้องให้เขาฟัง นางร้องให้หลงซือเย่ฟัง
นางชอบหลงซือเย่มาโดยตลอด ชาติก่อนชมชอบ ชาตินี้ก็ลืมไม่ลง ตอนนี้ในที่สุดนางก็สมปรารถนาแล้วกระมัง? ใช่ไหม? ใช่หรือเปล่า?
ไม่ทราบว่าหลงซือเย่หยิบกาสุราน้อยใบหนึ่งออกมาจากที่ใด มือซ้ายถือจอก มือขวาถือกา ดื่มจอกแล้วจอกเล่า
ลมพัดชายชุดเขาเลิกขึ้น พัดเส้นผมดำขลับให้ปลิวไสว บางเส้นปรกดวงตาของเขา เขาจึงปัดออก
เขารู้ว่าเขาควรลงไปแยกพวกเขาออกจากกัน ควรซักถามหลงซือเย่ที่ไม่รักษาคำพูด…
แต่เขากลับไม่อยากลงไป เขาไม่อยากให้นางเกลียดเขาอีก…
ระยะนี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก้ดูเหมือนจะเรียกความชิงชังจากนางได้ทั้งสิ้น…
ชั่วชีวิตนี้เขาก่อเรื่องให้คนชิงชังไม่น้อย ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความชิงชังเขาอยู่ลับหลัง ผู้ที่ลอบคิดร้ายกับเขาก็มีอยุ่นับไม่ถ้วน เขาล้วนไม่เก็บมาใส่ใจ
ทั้งโลกหันหลังให้ข้าแล้วอย่างไร?
ฐานะของเขาอยู่ในจุดนั้น ขอเพียงบรรลุเป้าหมายสูงสุด เขาย่อมไม่เกี่ยงว่าต้องใช้วิธีใด และไม่เกรงกลัวคนนับหมื่นนับพันชี้หน้าด่ากราด…
ดังนั้นเขากระทำการโดยไม่เคยมองสีหน้าผู้ใด ขอเพียงเป็นเรื่องที่สมควรทำ เขาก็จะทำทันที ไม่เคยลังเล
แต่ตอนนี้เขาทราบชัดเจนว่าควรทำอย่างไร แต่กลับลังเล ใจไม่แข็งพอ…
ในที่สุดสองคนนั้นก็ลุกขึ้นและจากไป จับจูงกันเดินไป
แผ่นหลังงดงามทว่าบาดตา ค่อยๆ หายลับไปในที่ไกลๆ
ตี้ฝูอีไม่ได้ลุกขึ้นมา เพียงรินสุราให้ตนอีกจอก ไม่ทันระวังสำลักสุราเข้า ไอออกมา
ผ่านไปสักครู่ เมื่อหยุดไอ ก็รู้สึกได้ว่าในปากมีกลิ่นคาวเลือดอยู่บ้าง จึงยกมือเช็ด ผ้าเช็ดหน้าสีขาวแต้มสีแดงสดบาดตาหย่อมหนึ่ง
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดจะทำลายผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นทิ้ง แต่พอโคจรพลังยุทธ์ก็รู้สึกว่าชีพจรทั้งร่างแทบจะร้าวราน…
————————————————————————————-
[1] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง ชายหญิงที่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตมาก็กลายเป็นคู่รักกัน
[2] แม่น้ำลั่ววสามพันลี้ หมายดับกระหายเพียงหนึ่งจอก มาจากวรรคหนึ่งของบทประพันธ์เรื่องความฝันในหอแดง ความหมายคือ คนบนโลกมีอยู่มากมาย แต่ดวงใจจะรักคนได้เพียงคนเดียว