ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 725-726
บทที่ 725 วันสำคัญของนาง เขาไม่อยากพลาด
“นายท่าน!” มู่เฟิงโผล่มาในทันใด
ตี้ฝูอีเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้าไปในแขนเสื้อ “มีเรื่องใด?”
“นายท่าน มู่อวิ๋นส่งข่าวมาขอรับ บอกว่าตำบลเล็กๆ ของอาณาจักรเฟยซิงที่ถูกสังหารล้างบางยังคงไม่พบตัวมือสังหารเช่นเดิม แถมเจ้าหน้าที่เหล่านั้นที่จักรพรรดิซวนส่งไปก็ไปแล้วไม่หวนกลับ ไปได้ไม่นานก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย จักรพรรดิซวนพิโรธนัก วันนี้จึงส่งแม่ทัพกู้ไปขอรับ”
ตี้ฝูอีขมวดคิ้วนิดๆ “มู่อวิ๋นมิได้ไปตรวจสอบด้วยตัวเองหรือ?”
“เรียนนายท่าน เมื่อวานมู่อวิ๋นก็ไปแล้วขอรับ แต่เขาไม่พบอะไรที่ตำบลนั้นเลย ตำบลนั้นกลายเป็นตำบลร้างไปแล้ว แม้แต่ศพสักร่างเขาก็หาไม่พบขอรับ อีกทั้งไม่พบร่องรอยการต่อสู้อันใดด้วย หากคนเหล่านั้นถูกสังหารล้างบางจริง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีร่องรอยการต่อสู้เลยสักนิด ถึงอย่างไรชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในตำบลนั้นก็ล้วนเป็นนายพรานที่ห้าวหาญ มีประชากรสามถึงสี่พันคนเชียวนะขอรับ…”
ตี้ฝูอีดื่มสุราคำหนึ่ง ไม่พูดอะไร
“นายท่าน บางทีกลยุทธ์ของอีกฝ่ายอาจมิการล่อเสือออกจากถ้ำ แต่เป็น…แต่เป็นการใช้ชีวิตนายพรานเหล่านั้นฝึกฝนวิชาชั่วช้าบางอย่าง…” มู่เฟิงคาดเดา
“ที่นั่นมีไอชั่วร้ายปกคลุมฟ้าหรือไม่?”
มู่เฟิงส่ายศีรษะ “ที่แปลกอยู่ตรงนี้ขอรับ ที่นั่นไม่มีไอชั่วร้ายใดๆ เลย แม้กระทั่งไอพยาบาทของคนตายก็ไม่มีเลยขอรับ ตำบลนั้นดูเงียบสงบติยิ่งนัก เงาร่างคนสักผู้หนึ่งก็หามีไม่ นายท่าน เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นยังไม่ตาย? แต่ถูขังไว้ที่ไหนสักแห่ง?”
ตี้ฝูอีหลุบตาอยู่ครู่หนึ่ง “ให้มู่อวิ๋นไปตรวจสอบอีกครั้ง ให้ตรวจสอบห้วยบ่อคูคลอง ทุกแห่งที่มีน้ำล้วนต้องตรวจสอบทั้งสิ้น! และให้จับตามองความเคลื่อนไหวของกู้เซี่ยเทียนและหรงเช่อไปด้วย”
มู่เฟิงพยักหน้า “ขอรับ!”
หมุนกายจะจากไป แต่พอเห็นกาสุราใบน้อยในมือตี้ฝูอีฝีเท้าเขาก็หยุดลงอีกครา “นายท่าน ร่างกายท่านบาดเจ็บอยู่ ยังไม่เหมาะจะดื่มสุรานะขอรับ”
พักนี้นายท่านสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างยิ่ง ดูเหมือนทุกครั้งที่นายท่านเข้าสู่หอดูดาวจะต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมหาศาลทุกครา ในอดีตเมื่อนายท่านออกมาจากหอดูดาวล้วนต้องปิดด่านกักหนึ่งเดือนครึ่งเดือนอยู่ร่ำไป ทว่าครั้งนี้กลับตรงมาที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ทันที…
ซ้ำยังฝืนโคจรพลังยุทธ์เพื่อช่วยถอนกระบี่ให้แม่นางกู้อีก…
การกำจัดกระบี่ต้องสาปเล่มนั้นเดิมทีก็ต้องใช้พลังวิญญาณมหาศาลอยู่แล้ว
หากว่านายท่านปกติดี เช่นนั้นย่อมไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรง แต่เกรงว่ายามนั้นพลังวิญญาณบนร่างเขาคงไม่มีแม้สักเศษเสี้ยวแล้ว ขจัดกระบี่เล่มนั้นย่อมเหนือบ่ากว่าแรง
ถึงแม้ภายหลังจะถอนออกมาได้ แต่นายท่านก็บาดเจ็บภายในอย่างสาหัสยิ่ง หากพักฟื้นดีๆ ก็สามารถฟื้นฟูได้ภายในหนึ่งเดือน แต่เขากลับไม่ยอมกักตน ซ้ำยังดื่มสุราอยู่ที่นี่…
มู่เฟิงพยายามข่มกลั้นแล้ว สุดท้ายก็ข่มกลั้นไว้ไม่อยู่ “นายท่าน ข้าน้อยคิดว่าท่านควรปิดด่านกักตนสักครึ่งเดือนนะขอรับ…”
“อืดอาดยืดยาดอยู่ได้ รีบไปซะ!” ตี้ฝูอีเหลืออดแล้ว
มู่เฟิงทำได้เพียงจากไป
ตี้ฝูอีเชิดหน้าดื่มสุราอีกครา พรุ่งนี้คือพิธีบรรลุนิติภาวะของนาง เป็นวันสำคัญของนาง เขาไม่อยากพลาด…
….
ตาน้ำเก้าสายไหลมารวมกันเป็นธารน้ำตก สายน้ำดั่งหยาดมุก ไหลเทลงสู่สระน้ำลึกเบื้องล่าง
รอบด้านอุดมด้วยบุปผาแมกไม้ ใบเฟิงแดงสะพรั่ง ทิวทัศน์สงบเงียบงดงาม
ตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างมิดชิด ผู้อื่นบุกเข้าไม่ได้ง่ายๆ
สถานที่แห่งนี้คือเขตหวงห้าม มีเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์และทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่สามารถเข้ามาได้
ปกติแล้วคนอื่นๆ ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไม่ได้รับอนุญาตให้มาที่นี่ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงไม่มีเงาร่างผู้ใดตลอดปี พืชพรรณไม้ที่เติบโตงดงาม ล้วนเป็นไปตามธรรมชาติดั้งเดิม
ตี้ฝูอีแช่อยู่ในสระลึก
เขารักสะอาด เมื่อก่อนใช้คาถาทำความสะอาดสักบทก็เรียบร้อยแล้ว ยามนี้เนื่องจากใช้คาถาทำความสะอาดไม่ได้ชั่วคราว เขาเลยเลือกที่จะแช่น้ำในสระ
น้ำในสระไสกระจ่าง เย็นเฉียบ
เขาหลับตาลงเล็กน้อยขณะที่ลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในสระ สระแห่งนี้ไม่เพียงแต่ชำระสิ่งสงปรกบนร่างได้เท่านั้น ยังปรับปรุงฟื้นฟูเลือดลมที่พลุ่งพล่านปั่นป่วนของเขาสงบลงได้อีกด้วย มีสรรพคุณฟื้นฟูพลังวิญญาณ
————————————————————————————-
บทที่ 726 ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย บังเอิญเหลือเกิน
ในอดีตทุกครั้งที่เขาลงแช่ในสระนี้ล้วนสามารถสงบใจลงอย่างรวดเร็ว ทว่าหนนี้จิตใจเขากลับว้าวุ่นอย่างหนัก เลือดลมในร่างปั่นป่วนมานานแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นฟูเลย
จันทร์เสี่ยวลอยเหนือศีรษะ เรียวโค้งดั่งภาพวาด
ตอนนี้นางทำอะไรอยู่นะ? คงมิใช่อยู่กับหลงซือเย่อีกกระมัง?
บาดแผลนั้นของนางต้องพักฟื้นอีกหนึ่งวัน ยามสายวันนี้นางวิ่งออกไปหาหลงซือเย่ คนทั้งสองนั่งเป่าขลุ่ยร้องเพลงใต้ต้นไม้ ด้วยสุขภาพของนางในยามนี้ น่าจะเหนื่อยล้าแล้ว ตอนนี้คงจะพักผ่อนอยู่ในเรือน
ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคนนั้นน่าจะยังไม่ค้นพบฐานะที่แท้จริงของกู้ซีจิ่ว คงไม่ขบคิดเรื่องนางมากเกินไป ตอนนี้นางน่าจะปลอดภัยอยู่
เกรงว่าสายของผู้ที่อยู่เบื้องร่างของจับจ้องไปที่อวิ๋นชิงหลัวผู้เป็นสานุศิษย์สวรรค์…
ถ้าไม่มั่นใจเต็มที่ผู้บงการคนนั้นน่าจะไม่ลงมือง่ายๆ
เขาพริ้มตาลงเล้กน้อย เมื่อก่อนเขาแค่รู้สึกว่าชีวิตที่เป็นนิรันดร์นี้ยาวนานเหลือเกิน ตอนนี้จู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าช่างแสนสั้น…
เมื่อคิดมากเกินไป ลมปราณก็แตกซ่าน ทำให้เขาไอติดๆ กันขึ้นมาอีกครา
ไม่ง่ายเลยว่าจะหยุดยั้งอาการไอได้ เขาลอยอยู่บนผิวน้ำ หลับตาครุ่นคิด ดูเหมือนอยู่ที่นี่เขาก็สงบใจไม่ได้เช่นกัน มิสู้กลับไปดูนางที่เรือนสักแวบแล้วค่อยไปเข้าฌานต่อ?
เขาเข้าฌานอีกหนึ่งคืนก็น่าจะฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง พรุ่งนี้ไปเป็นประธานในพิธีปักปิ่นของนางน่าจะไม่มีปัญหาอะไร
ทันใดนั้นคล้ายว่าเขาจับสัมผัสบางอย่างได้ เงยหน้าขึ้นมาทันที ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
ไม่ไกลออกไปกู้ซีจิ่วเดินเคียงคู่มากับหลงซือเย่ ไม่ทราบว่าหลงซือเย่กระซิบอะไรกับเธอ ทำให้เธอยิ้มหวานออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
วงหน้าแฉล้มของเธอยังคงซีดเซียวอยู่บ้าง ยามที่เดินเหินฝีเท้าก็ค่อนข้างหนักอึ้งเล็กน้อย แต่ภายใต้แสงจันทรา ริมฝีปากน้อยๆ ของนางหยักเป็นรอยยิ้ม ยกโค้งดั่งจันทร์เสี้ยวบนท้องนภา
หลงซือเย่ผสานมือกับเธอ ค่อยๆ เดินไปด้วยกัน
“ซีจิ่ว ชาติก่อนมีเวลามาเดินเล่นด้วยกันแบบนี้ไม่มากนัก ช่วงเวลานี้หาได้ยากนัก ฉันมีความสุขมาก เธอล่ะ?”
“มีความสุขเหมือนกัน” กู้ซีจิ่วยิ้มสบายๆ ทว่าหว่างคิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย
“เป็นอะไร? เจ็บแผลเหรอ?” หลงซือเย่จับชีพจรเธออีกครั้ง คิดจะตรวจชีพจรให้เธอ
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไม่ได้เจ็บแผลแล้ว” เธอแค่อ่อนล้านิดหน่อย
หลงซือเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก “โชคดีที่สุขภาพเธอแข็งแรง”
กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ “เพราะยาของคุณดี ลูกกลอนสมานแผลระดับเจ็ดของคุณไม่เลวเลยจริงๆ ฉันกินเข้าไปเม็ดเดียว บาดแผลก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าบาดแผลทั้งหมดภายในร่างใกล้จะหายดีแล้ว เหลือแค่ภายนอกเท่านั้น”
หลงซือเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง “ลูกกลอนสมานแผลระดับเจ็ดเหรอ?”
“ใช่แล้ว นั่นเป็นยาที่คุณให้จิ้งจอกน้อยเอามาให้ใช่ไหม?”
หลงซือเย่นิ่งไปชั่วอึดใจ “ข้าไม่ได้…” ขณะที่เขากำลังจะอธิบาย จู่ๆ ก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ จึงเงยหน้ามองไปทางด้านซ้าย
กู้ซีจิ่วสัมผัสได้ว่าร่างกายเขาแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นโดยความประหลาดใจ จากนั้นฝีเท้าก็ชะงักลง
น้ำตกไหลเทลงสู่สระลึกเกิดน้ำสาดกระเซ็น และใจกลางสระน้ำ มีบุราผู้หนึ่งลอยอยู่
เรือนผมยาวดั่งม่านไหม แผ่สยายอยู่ในสระน้ำ อาภรณ์แดงดั่งกลีบบัว ล่องลอยอยู่รอบกายเขา แสงจันทร์เย็นกระจ่าง ส่องสะท้อนหน้ากากเขาจนเปล่งแสงสลัวๆ แสงนั้นบดบังแววตาเขา ทำให้คนมองอารมณ์ของเขาไม่ออก
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…ตี้ฝูอี
กู้ซีจิ่วไม่นึกเลยว่าจะบังเอิญพบเขาที่นี่ สายตาสองคู่ประสานกัน เธอมองไม่เห็นแววตาของเขา ทว่าหัวใจกลับเต้นรัวตามสัญชาตญาณ แต่ก็สงบลงทันที ยิ้มน้อยๆ แล้วทักทายเขา “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย บังเอิญเหลือเกิน”
หลงซือเย่ขมวดคิ้วนิดๆ จนแทบมองไม่เห็น ยามนี้เขาไม่อยากพบเจอคนนอก แน่นอนว่ายิ่งไม่อยากพบเจอตี้ฝูอีด้วย