ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 757-758
บทที่ 757 ข้าควรถอดให้เจ้ามาใส่ให้ข้าอีกรอบ
กู้ซีจิ่วไม่แยแสคำพูดคนอื่น ไม่แยแสสายตาคนอื่น แต่เธอใส่ใจเพื่อนฝูง แถมเรื่องนี้ยังอธิบายไม่ได้อีก…
“ล้วนเป็นเพราะท่าน!” กู้ซีจิ่วรู้สึกอึดอัดนัก
“อืม ล้วนเป็นเพราะข้า” น้ำเสียงตี้ฝูอีอ่อนโยน จับมือข้างหนึ่งของเธอไว้ “ไม่หงุดหงิดแล้วใช่ไหม หือ?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
ตี้ฝูอีลุกขึ้นพลางจูบหน้าผากเธอ “ไปกันเถอะ”
กู้ซีจิ่วลูบหน้าผากที่ถูกจูบ แล้วมองตี้ฝูอีที่ลุกไปเดินพลิ้วอยู่ข้างหน้า ทันใดนั้นก็รู้สึกตัว “เอ๊ะ ท่านใส่เสื้อผ้าตั้งแต่ตอนไหนกัน?!”
เจ้าคนผู้นี้สวมเสื้อผ้ารวดเร็วกว่าสายลมอีก!
เพียงชั่วระยะที่เธอหงุดหงิดยุ่งเหยิง เขาก็สวมอาภรณ์ทั้งชุดเรียบร้อยแล้ว! หากรู้เช่นนี้แต่แรก เมื่อกี้เธอจะให้เขาใส่เอง และไม่ไปใส่ให้เขา จนเป็นเหตุให้จิ้งจอกน้อยเข้าใจผิด…
เธอถามไถ่ด้วยน้ำเสียงติเตียน เป็นถามเพื่อติเตียนว่าในเมื่อเขาใส่ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ แล้วจะให้เธอใส่ให้ทำไม
ถามอย่างร้อนรนเกินไป ตี้ฝูอีคล้ายว่าจะเข้าใจผิด เขายืนนิ่ง หันกลับมามองเธอ ถามอย่างลังเล “หรือว่า ข้าควรถอดให้เจ้ามาใส่ให้ข้าอีกรอบ?”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน…
….
สำหรับเด็กสาวแล้วพิธีปักปิ่นคือวันสำคัญ
หากว่าศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เข้าเกณฑ์วัยปักปิ่นขณะที่อยู่ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เช่นนั้นสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็จะจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่ให้นางโดยเฉพาะ
วันปักปิ่นของกู้ซีจิ่วอันที่จริงพวกกู่ฉานโม่ล้วนทราบกันล่วงหน้าแล้ว อีกทั้งระยะนี้เธอก็สร้างชื่อไว้ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ทำให้คนทั้งหลายมองในมุมใหม่ เมื่อกู่ฉานโม่ปลาบปลื้มยินดี งานเลี้ยงที่จัดเตรียมไว้ให้เธอจึงยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ
งานเลี้ยงจัดขึ้นที่โถงจันทร์ล่องซึ่งเป็นห้องโถงที่ใหญ่ที่สุดในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์
ยามที่กู้ซีจิ่วไปถึง ที่นั่นก็เปลี่ยนโฉมใหม่แล้ว
เธอไม่ได้มาพร้อมกับตี้ฝูอี ด้วยเกรงว่าจะถูกผู้อื่นซุบซิบนินทา เธอเลยให้ตี้ฝูอีล่วงหน้ามาก่อน ส่วนเธอกลับไปที่คฤหาสน์หลังนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่แล้วค่อยมา
ตอนนี้เธออยู่ในร่างของตี้ฝูอี คนทั้งหลายล้วนรู้จักเธอในฐานะของตี้ฝูอี เมื่อเธอมาถึง ตั้งแต่ด้านในประตูจนถึงนอกประตูล้วนพากันคุกเข่าเสียงดังครืนๆ
เดิมทีกู้ซีจิ่วรู้สึกว่าพิธีปักปิ่นอายุครบสิบห้าปีของตนเป็นวันสำคัญเมื่อไม่อาจรับคำอวบพรเหล่านั้นด้วยตัวเองได้จึงหม่นหมองอยู่บ้าง แต่ยามนี้เมื่อได้เห็นฉากนี้ ความหม่นหมองนั้นก็สลายไปไม่น้อยแล้ว
ตนอนนี้เธอคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ย่อมได้นั่งในต่ำแหน่งที่ดีที่สุด กู่ฉานโม่คอยอยู่เป็นเพื่อนด้านข้างด้วยตัวเอง
กู้ซีจิ่วเชี่ยวชาญด้านการเล่นละครมาโดยตลอด ปลอมเป็นมังกรก็เหมือนมังกร แสร้งเป็นพยัคฆ์ก็เหมือนพยัคฆ์ อีกทั้งเธอคุ้นเคยกับตี้ฝูอี ย่อมเลียนแบบเขาได้เต็มสิบส่วน ฝูงคนในที่นี่ไม่มีสักคนที่จะมองออกว่าเธอเป็นตัวปลอม
พอมาถึงเธอก็พบว่าตี้ฝูอียังไม่มา…
เธอกระวนกระวายใจอยู่บ้าง ตี้ฝูอีอยู่ในร่างเธอ ยามนี้เขาคือตัวละครหลัก เขาคงไม่เล่นแผลงๆ อันใดกระมัง?
เมื่อกวาดตามองรอบๆ ก็พบว่าคนส่วนใหญ่ล้วนมากันแล้ว
เดิมทีเมื่อศิษย์ต้องผ่านพิธีปักปิ่นซึ่งเป็นวันสำคัญ เหล่าอาจารย์จำเป็นต้องเข้าร่วม แต่บรรดาศิษย์นั้นไม่มีการกะเกณฑ์ มาก็ได้ไม่มาก็ได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับมิตรภาพในยามปกติ
ในสถานการณ์ตามปกติ ยามที่ศิษย์คนหนึ่งเข้าพิธีปักปิ่น ก็จะเป็นสหายร่วมชั้นของนางที่มาครอบครองพื้นที่ในงาน ศิษย์คนอื่นๆ มากันน้อยยิ่ง หากว่าอัธยาศัยไม่ดีหรือว่าความสามารถธรรมดา แม้กระทั่งสหายร่วมชั้นก็ยังไม่แน่ว่าจะมา นอกเสียจากลูกแมวน้อยสองสามตัว
แต่หนนี้คือพิธีปักปิ่นที่เป็นวันสำคัญของกู้ซีจิ่ว ศิษย์แทบทั้งสำนักศึกษาชุมนุมล้วนมากันถ้วนหน้า! แม้แต่ศิษย์ของชั้นเรียนระดับสูงก็ไม่เว้น
กู้ซีจิ่วกวาดสายตามองฝูงชนเงียบๆ ในใจมีความตื้นตันเอ่อล้นขึ้นมา ไม่ง่ายเลยจริงๆ กว่าเธอจะพึ่งพาความสามารถของตนจนได้รับความเคารพเลื่อมเหล่านี้มา…
————————————————————————————-
บทที่ 758 สรุปแล้วไปเอ้อระเหยอยู่ที่ไหน
ท่ามกลางฝูงชนเธอพบว่าเยี่ยนเฉินกำลังทักทายสหายร่วมชั้นอยู่ ในใจพลันกระจ่างแจ้ง ที่ศิษย์ชั้นเรียนระดับสูงเหล่านั้นมาร่วมงาน ถึงแม้จะเป็นเพราะชื่อเสียงของตัวเธอกู้ซีจิ่ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการประนีประนอมของเยี่ยนเฉิน ยังมีคนบางส่วนที่มาเพราะเห็นแก่หน้าเยี่ยนเฉินอีกด้วย
ส่วนหลานไว่หูกับเชียนหลิงอวี่ พวกเขาก็มาถึงนานแล้ว กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ สองคนนี้คึกคักยิ่งนัก ราวกับเป็นพิธีปักปิ่นของพวกเขาเอง
กู้ซีจิ่วมองเห็นเพื่อนร่วมกลุ่มของตนย่อมค่อนข้างรู้สึกชิดเชื้อ อดไม่ได้ที่จะมองอยู่หลายแวบ
ผลคือสายตาหลายแวบนี้ถูกสามคนนั้นรับรู้ได้
จิ้งจอกน้อยตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะทันที คงจะนึกถึงฉากใส่กางเกง ปากน้อยๆ ของนางเม้มแน่น ซ้ำยังเหลือบมองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง
ส่วนเยี่ยนเฉินกับเชียนหลิงอวี่ พวกเขาน่าจะเขม้นตี้ฝูอีเหมือนกัน รู้สึกว่าตี้ฝูอีทำร้ายกู้ซีจิ่ว ดังนั้นเมื่อสองคนนี้สัมผัสได้ว่า ‘ตี้ฝูอี’ มองพวกเขา พวกเขาล้วนขมวดคิ้ว
เยี่ยนเฉินค่อนข้างสงบเยือกเย็น เพียงขมวดคิ้วนิดๆ เท่านั้น สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
ส่วนเชียนหลิงอวี่ค่อนข้างจริงจัง เขาสบตากับ ‘ตี้ฝูอี’ ตรงๆ คิ้วเลิกขึ้นสูง สีหน้ายั่วยุ ท่าทางสื่อได้ว่า ‘มองช้าผู้เป็นคุณชายด้วยเหตุใด? คุณชายเช่นข้าคร้านจะแยแสเจ้า’
กู้ซีจิ่วตัดสินใจเก็บสายตากลับมา จิบชาที่อยู่ตรงหน้าอึกหนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่ประตู
สรุปแล้วตี้ฝูอีไปเอ้อระเหยอยู่ที่ไหนกัน?! เขาคงไม่ปล่อยให้คนทั้งหมดต้องคอยเก้อกระมัง?!
เมื่อถึงเวลาคนที่ต้องรับความขุ่นเคืองจากผู้คนก็คือตัวเธอกู้ซีจิ่ว…
ปากประตูเกิดความวุ่นวายขึ้น เธอยังนึกอยู่ว่าในที่สุดตี้ฝูอีในร่างเธอก็มาถึงแล้ว ผลปรากฏว่าผู้ที่เข้ามาคือหลงซือเย่
ดูเหมือนหลงซือเย่จะทำตามสัญญาที่รับปากกับเธอไว้ในครั้งนั้น ที่บอกว่าจะไม่สวมหน้ากากใดๆ มื่ออยู่ต่อหน้าเธอ วันนี้คือวันสำคัญของกู้ซีจิ่ว ดังนั้นเขาจึงมาโดยไม่สวมหน้ากากเช่นเคย
หลงซือเย่รูปงามยิ่ง ทุกอากัปกริยาล้วนมีบุคลิกของ ‘คุณชายผู้งดงามปานหยก’
ถึงเขาจะมีอายุกว่าร้อยปีแล้ว แต่รูลักษณ์ดูราวยี่สิบสามยี่สิบสี่ปีเท่านั้น เป็นช่วงวัยที่กำลังรุ่งโรจน์พอดี และประสบการณ์ชีวิตก็ทำให้ร่างกายของเขามีเสน่ห์ของบุรุษที่โตเต็มวัย ย่อมแตกต่างกับบรรดาหนุ่มน้อยในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แห่งนี้
สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์คลาคล่ำไปด้วยบุคคลมีความสามารถ เป็นสถานที่ของอัจฉริยะอย่างแท้จริง ย่อมมีหนุ่มสาวรูปงามไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็ล้วนอายุน้อย เมื่อเทียบกับหลงซือเย่แล้ว เห็นได้ชัดว่าอ่อนเดียงสากว่ามาก
ดังนั้นจึงมีสายตาของเหล่าเด็กสาวมองตามเจ้าสำนักหลงผู้นี้มากมาย
แน่นอน สายตาที่มองตามตี้ฝูอีนั่นมีมากกว่า ขณะที่กู้ซีจิ่วหันไปโดยไม่ตั้งใจ ก็ได้รับสายตาหวานหยาดเยิ้มจากสาวน้อยหลายนาง…
เมื่อกู้ซีจิ่วเห็นหลงซือเย่ก็รู้สึกสนิทชิดเชื้อยิ่งนัก ลุกขึ้นทักทายในฐานะของตี้ฝูอี “เจ้าสำนักหลง”
หลงซือเย่มองมาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบ “ที่แท้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็มาถึงแล้ว ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายช่างใส่ใจเรื่องของซีจิ่วยิ่งนัก”
ต่อให้เป็นกู้ซีจิ่ว ก็สัมผัสได้ว่าเจ้าสำนักหลงผู้นี้เปี่ยมด้วยความเป็นอริ
หลงซือเย่กล่าวประโยคนี้จบก็ไม่สนใจเธออีก นั่งลงในตำแหน่งที่กู่ฉานโม่จัดให้
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอยู่ภายในใจ นั่งลงไปอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าเธอที่อยู่ในร่างของตี้ฝูอีไม่อาจพูดคุยตามปกติกับหลงซือเย่ได้
เมื่อเห็นว่าจวนจะถึงเวลาแล้ว ทว่ายังไม่เห็นเงาร่างของ ‘กู้ซีจิ่ว’ กู่ฉานโม่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม ‘ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย’ ที่นั่งอยู่ตรงกลาง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เหตุใดซีจิ่วยังไม่มาเล่า?”
กู้ซีจิ่วกำลังจะเอ่ยตอบ ทันใดนั้นคนที่อยู่ด้านนอกก็มารายงาน “แม่นางกู้มาแล้วขอรับ”
กู่ฉานโม่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คนทั้งหลายล้วนถอนหายใจอย่างโล่งอกเช่นกัน
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองแวบหนึ่ง พลันชะงักงัน