ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 787-788
บทที่ 787 บิดาไม่กลัวเสียหน้าหรอก
ตอนนี้ในที่สุดเธอก็สามารถเข้าชั้นเรียนนี้ได้แล้ว ทว่าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นในฐานะอาจารย์…
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายฐานะน่าเคารพนับถือ ต่อให้เป็นที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แห่งนี้ก็ได้รับความนิยมยิ่งนัก ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วเข้าไปสอนด้วยฐานะทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นวันแรก มองเห็นเหล่าศิษย์ด้านล่างลุกขึ้นมาแล้วโค้งคำนับเธออย่างพร้อมเพรียง ในใจยังรู้สึกอนิจจังแกมหยิ่งทะนงอยู่บ้าง
แต่หลังจากเริ่มบรรยายไปในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ทราบแจ่มแจ้งแล้วว่าอาจารย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงนี้มิใช่เป็นได้ง่ายๆ!
อย่างที่ทุกคนทราบกัน ศิษย์ของชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่ง (ห้องเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นเรียนศิษย์ใหม่)เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะของแผ่นดินนี้ เป็นผู้มีพรสวรรค์ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์ คนเหล่านี้ปราดเปรื่องเฉลียวฉลาดกันทุกคน ย่อมหยิ่งทะนงหัวรั้นกันทั้งสิ้น เจ้าปัญหาไม่น้อยจริงๆ
ระหว่างที่กู้ซีจิ่วบรรยายบทเรียนอยู่ ถ้าทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีจุดที่คลุมเครือแม้เพียงนิด พวกเขาก็ชูไม้ชูมือขึ้นมา และบางทีก็ถามปัญหาออกมา แล้วคอยคำตอบจากกู้ซีจิ่ว
เดิมทีกู้ซีจิ่วฝึกฝนวรยุทธ์มาทั้งคืนก็ค่อนข้างปวดเสียรเวียนเกล้าอยู่แล้ว อีกทั้งเนื้อหาที่ใช้บรรยายตัวเธอก็ไม่ทราบถ่องแท้ บรรยายบทเรียนในยามนี้ก็เป็นแค่การวาดกระบวยตามน้ำเต้าเท่านั้น อันที่จริงมีปัญหาอยู่มากมายที่เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน…
แต่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สูงส่งจะถูกคนถามจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกก็ไม่เข้าท่านัก ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงส่งสายตาให้ตี้ฝูอีซึ่งนั่งอยู่ที่ด้านล่าง
ไม่นึกเลยว่าตี้ฝูอีในยามนี้จะไม่สื่อใจกับเธอเลย เพียงก้มหัวอ่านตำราเรียนอยู่ตรงนั้น ท่าทางมุมานะเล่าเรียนยิ่งนัก
บัดซบ เจ้าคนผู้นี้ต้องการเห็นเรื่องน่าขันของเธอจริงๆ สินะ?!
ในสายตาเขาตำราเรียนของชั้นเรียนเมฆาม่วงคงไม่ต่างอะไรกับหลักสูตรเด็กประถมเลยกระมัง? เขาจะตั้งอกตั้งใจอ่านถึงเพียงนี้ทำบ้าอะไร?!
เธอสั่งให้ศิษย์ที่ตั้งคำถามคนนั้นคอยก่อนด้วยใบหน้าราบเรียบ บอกว่าเธอจะตอบคำถามของเขาหลังจากบรรยายบทเรียนนี้จบ จากนั้นเธอก็ส่งกระแสเสียงไปหาตี้ฝูอี ‘ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ตอบหน่อย ตอบ’
ตี้ฝูอีทำหูทวนลม ตั้งอกตั้งใจอ่านตำราอยู่เหมือนเก่า
‘ทูตสวรรค์ตี้ ท่านทูตสวรรค์ตี้…’ กู้ซีจิ่วส่งกระแสเสียงอย่างต่อเนื่อง
ตี้ฝูอียังคงแกล้งตายต่อไป ซ้ำยังก้มลงไปเขียนอะไรบางอย่างด้วย
กู้ซีจิ่วโมโหแล้ว เริ่มพูดไปเรื่อย ‘ตี้ฝูอี ถ้าท่านไม่ให้คำตอบข้า ข้าก็จะพูดไปมั่วซั่วเลย! วันหน้าพอพวกเขาพบว่าทั้งหมดมิใช่เช่นนั้น ย่อมต้องเห็นว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเช่นท่านเป็นอาจารย์ผู้ไร้ประสิทธิภาพ เมื่อถึงเวลาคนที่จะเสียหน้าก็คือท่าน!’
ในที่สุดตี้ฝูอีก็เงยหน้ามองเธอแวบหนึ่ง ส่งกระแสเสียงตอบมา ‘เด็กน้อย บิดาไม่กลัวเสียหน้าหรอก เจ้าพูดมั่วซั่วไปได้เลย’
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน นานมากแล้วที่เธอไม่ได้ยินเขาเรียกเธอว่าเด็กน้อย พอได้ยินตอนนี้ ก็รู้สึกประหลาดอยู่บ้าง และคำว่า ‘บิดา’ ที่ตามมาก็ทำให้เธอสั่นสะท้านปานถูกฟ้าผ่าได้สำเร็จ เนื้อหาบรรยายในมือเกือบจะร่วงลงพื้น
ดูเหมือนเจ้าคนผู้นี้ตัดสินใจจะชมเรื่องน่าขันของเธอเสียแล้ว กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ
ถึงแม้เธอตอบไม่ได้แล้วคนที่เสียหน้าจะเป็นตี้ฝูอี แต่ดีร้ายอย่างไรตอนนี้เธอก็อยู่ในร่างนี้ พอถึงเวลาคนที่จะถูกหัวเราะเยาะยังคงเป็นเธอ…
เธอเม้มปากนิดๆ ความคิดสารพัดวนเวียนอยู่ในใจ ใจลอยไปชั่วขณะ เกือบจะบรรยายเนื้อหาช่วงหลังผิดแล้ว
ในห้องเรียนนี้มีปีศาจน้อยที่ฟังเธอไม่รู้เรื่องอยู่ไม่น้อย เชียนหลิงอวี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขาคงจะยังชิงชังที่ตี้ฝูอีทำให้กู้ซีจิ่วสหายสนิทของเขากลายเป็นที่น่าขบขันของสำนักศึกษานี้ ดังนั้นพอเขาสบโอกาสก็จะตั้งคำถาม คำถามก็ซับซ้อนนัก แถมยังเป็นคำถามที่เฉพาะทางอย่างยิ่งทั้งสิ้นด้วย
ต่อให้กู้ซีจิ่วคิดจะอธิบายไปมั่วซั่วก็ทำไม่ได้ ดังนั้นเฮจึงทำได้เพียงให้พวกเขายับยั้งปัญหาทั้งหลายแหล่ไว้ก่อน เลิกเรียนแล้วเธอค่อยอธิบาย
เธอบรรยายไปพลาง คำนวณอยู่ในใจไปพลาง ใคร่ครวญว่าเมื่อเลิกเรียนแล้วจะใช้ข้ออ้างใดจากไปอย่างรวดเร็วดี ส่วนปัญหาเหล่านั้นเธอค่อยๆ จดจำไว้ในใจแล้ว วางแผนไว้ว่าจะหาโอกาสไปสอบถามคนอื่นดู…
————————————————————————————-
บทที่ 778 ที่แท้แล้วเจอปัญหาอะไร
หรือควรไปถามหลงซือเย่ดี?
แต่ถ้าเธอไปถามในร่างตี้ฝูอี คาดว่าหลงซือเย่คงไม่อยากสนใจ หรือจะไปหลอกถามกู่ฉานโม่ดี?
ไม่แน่กู่ฉานโม่อาจจะเข้าใจปัญหาพวกนี้
ในที่สุดคาบเรียนก็จบลง เมือเห็นศิษย์หลายคนนั้นล้อมวงเข้ามาขอคำชี้แนะจากเธอ เธอกระแอมคราหนึ่งขณะที่กำลังหาข้ออ้างจากไปอย่างว่องไว ตี้ฝูอีกลับเขยิบมาใกล้ข้างกายเธอโดยไร้สุ้มเสียง ยามที่เฉียดไหล่เธอไปในมือเธอพลันมีกระดาษแผ่นน้อยอยู่หลายแผ่น…
เธอเหลือบมองแวบหนึ่ง บนนั้นคือคำตอบของคำถามทั้งหมดที่ศิษย์เหล่านั้นถาม!
ตัวอักษรของตี้ฝูอีสง่างามล่องลอยปานเหินบินแถมยังแฝงความหนักแน่นเปี่ยมพลัง ดูงดงามยิ่งนัก แถมเขายังเขียนเลียนแบบลายมือของเธอด้วย เหมือนการเขียนของเธอในฉบับคัดลายมือ
กู้ซีจิ่วรอให้ศิษย์เหล่านั้นโอบล้อมเข้ามา แล้วโบกกระดาษเหล่านั้นเสมือนเล่นปาหี่อยู่ ส่งให้พวกเขาทีละคนๆ กล่าวอย่างเฉื่อยชาประโยคหนึ่ง “คำตอบของพวกเจ้าต้องการอยู่ที่นี่แล้ว”
ศิษย์หลายคนนั้นก้มหน้าอ่านกระดาษเพียงครุ่เดียว ‘ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย’ ผู้นี้ก็หายลับไปแล้ว คาบเรียนนี้นับว่าผ่านพ้นไปอย่างทุลักทุเลพอจะถูๆ ไถๆ ไปได้
วิชาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมิใช่สอนทุกวัน สามวันถึงจะมีหนึ่งคาบ นี่ทำให้กู้ซีจิ่วโล่งอกยิ่งนัก
คาบเรียนนี้ถึงแม้เธอจะสอนแบบขอไปทีอยู่บ้าง แต่สำหรับตัวเธอเองแล้ว นับว่าได้ประโยชน์มหาศาล ได้รับความรู้มากมายโดยไม่รู้ตัว ผลประโยชน์ที่เธอได้รับล้วนมากมายกว่าศิษย์คนไหนๆ เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้บรรยาย…
ตอนที่เธอออกมาก็เห็นหลานไว่หูนั่งอยู่ที่ม้านั่งหินตัวหนึ่งเพียงลำพังดูเหม่อลอย แถมหางตายังแดงเรื่อเล็กน้อยด้วย
เธอคอยดูแลจิ้งจอกน้อยตัวนี้จนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ขาพลันย่างเข้าไปหา ยืนอยู่ข้างกายหลานไว่หูครู่หนึ่ง หลานไว่หูใจลอยยิ่งนัก มองไม่เห็นเธอเลย
เธอกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง ทำให้หลานไว่หูสะดุ้งโหยง คุกเข่าโขกศีรษะให้เธอเสียงดังตึง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “เป็นอะไร?”
หลานไว่หูส่ายหน้ารัวดั่งกลองป๋องแป๋ง “ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ไว่หูยังมีธุระต่อ ไว่หูขอตัวลาก่อน” พลางทำความเคารพ แล้ววิ่งจากไปปานกระต่าย
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
“นึกไม่ถึงว่าแม้แต่สหายของซีจิ่วท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็นึกใส่ใจขึ้นมาเช่นกัน” น้ำเสียงพิลึกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านข้าง
กู้ซีจิ่วหันไปมองแวบหนึ่ง เป็นเชียนหลิงอวี่
เจ้าเด็กคนนี้สีหน้าคล้ายไม่พอใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอย่างเธอกลับไม่ก่อเรื่อง เห็นได้ชัดเจนนัก เขาทราบสถาพอารมณ์ของหลานไว่หู
“หลานไว่หูเป็นอันใด?” กู้ซีจิ่วถามออกไป
“จิตตกกระมัง ถึงแม้พวกเราจะเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงได้ แต่ซีจิ่วกลับไม่ทราบว่าเป็นอันใดถึงไม่ค่อยคุยกับพวกเรามากนัก ต่อให้พูดก็ห่างเหินเย็นชา จิ้งจอกน้อยก็เหมือนมีเรื่องในใจ ท่าทางคล้ายมีปัญหา พอข้าถาม นางก็ไม่ยอมพูด”
กู้ซีจิ่วย่นคิ้ว เธอก็นึกไม่ออกชั่วขณะว่าที่แท้แล้วหลานไว่หูเจอปัญหาอะไร
เธอไม่คิดจะสนทนากับเชียนหลิงอวี่ให้มากความ เลี่ยงไม่ให้เผยพิรุธออกมา หันหลังเดินจากไป
ระหว่างทางขณะที่ครุ่นคิดอยู่ ก็เห็นจิ้งจอกน้อยกำลังตามหลังตี้ฝูอีอยู่ด้านหน้า ท่าทางคล้ายอยากวิ่งเข้าไปพูดคุยทว่าก็หวาดกลัว
หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร คอยตามหลังไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดจิ้งจอกน้อยก็ทำใจกล้า วิ่งเข้าไป “ซีจิ่ว!”
ตี้ฝูอีเห็นจิ้งจอกน้อยตัวนี้แล้วค่อนข้างปวดศีรษะนัก จิ้งจอกน้อยตัวนี้ติดผู้อื่นเกินไป ชอบกอดแขนผู้อื่น แถมยังชอบกอดแขนกู้ซีจิ่วด้วย
หลังจากเขารับช่วงต่อร่างกายนี้แล้ว ย่อมไม่อยากให้จิ้งจอกน้อยกอด ถึงขั้นไม่ยอมให้นางเข้าใกล้ตนในระยะสามฉื่อ ด้วยเหตุนี้จิ้งจอกน้อยจึงอึดอัดใจ
หนนี้หลังจากจิ้งจอกวิ่งเข้ามา ดูเหมือนคิดจะกอดแขน ‘กู้ซีจิ่ว’ อีกแล้ว แต่พอยื่นมือออกไปได้ครึ่งทางเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้เลยหดมือกลับมาอย่างขลาดๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “ซีจิ่ว เจ้ากำลังโกรธข้าอยู่ใช่ไหม?”