ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 789-790
บทที่ 789 พวกเราควรมาคุยกันดีๆ
ตี้ฝูอีพยายามทำให้น้ำเสียงตนนุ่มนวล “เปล่า”
หลานไว่หูเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้ม แล้วค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้เขาอีกหน่อย “แต่…แต่ว่าทำไมเจ้าไม่ค่อยสนใจข้าเลยล่ะ?”
นางขบริมฝีปากแล้วเอ่ยอีกว่า “เจ้ารู้สึกว่าข้าโง่เกินไปเลยทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บใช่ไหม? ข้า…ข้าขอโทษ…ต่อไปข้าจะมีไหวพริบมากขึ้นแน่นอน ยามที่จับกลุ่มประลองจะทำให้ตัวเองตอบสนองเร็วขึ้นด้วย…”
ตี้ฝูอีตอบอืมคำหนึ่ง “เจ้าควรยืนด้วยลำแข้งของตัวเองบ้าง”
หลานไว่หูมองเขาตาละห้อย “ซีจิ่ว เจ้า…ยามที่จับกลุ่มครั้งต่อไปเจ้าไม่ต้องการข้าแล้วใช่ไหม? ข้าจะมุมานะให้มากขึ้น ซีจิ่ว เจ้าอย่าไม่ต้องการข้าเลยนะ…”
ตี้ฝูอปวดศีรษะนัก “หลานไว่หู บนโลกนี้สิ่งที่พึ่พาได้ที่สุดคือตัวเจ้าเอง ไม่อาจคาดหวังในตัวผู้อื่นได้เสมอไป เจ้าไม่ได้โง่ เจ้าแค่ใจไม่กล้าพอเท่านั้น ขอเพียงเจ้าเอาชนะอุปสรรคนี้ได้ เจ้าอาจจะไม่ด้อยกว่าผู้อื่นเลย ขอเพียงมานะมุ่งมั่น กู้ซีจิ่ว…ข้าไม่อาจปกป้องเจ้าไปได้ชั่วชีวิตหรอกนะ…”
หากมิใช่เพราะตี้ฝูอีอยู่ในร่างกู้ซีจิ่ว คงคร้านจะพูดจาไร้สาระกับจิ้งจอกน้อยตัวนี้ แต่ดูเหมือนจิ้งจอกน้อยตัวนี้จะเป็นสหายที่กู้ซีจิ่วห่วงใย เช่นนั้นเขาจึงต้องเปลืองสมองสะกิดนางสักสามสามประโยค
แต่เขาลืมไปเรื่องหนึ่ง โดยปกติแล้วคนที่เขาชี้แนะให้ล้วนเป็นยอดอัจฉริยะของทวีปนี้ทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ที่มีจิตใจแข็งแกร่งบากบั่นไม่ย่อท้อ คนเหล่านี้ทนแรงกระทบกระเทือนได้ ได้รับการชี้แนะจากเขาเล็กน้อยก็บังเกิดความรู้ พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
แต่แบบจิ้งจอกน้อยตัวนี้ เขาเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก เขาไม่อาจใช้การอบรมแบบเดียวกับที่สั่งสอนสานุศิษย์สวรรค์มาสั่งสอนได้
เมื่อจิ้งจอกน้อยได้ยินประโยคนี้ของเขาความคิดก็คือ ‘กู้ซีจิ่วต้องการละทิ้งนางและคิดจะตัดขาดกับนาง’ นางจึงร้องไห้ออกมาทันที “ซีจิ่ว เจ้าไม่ต้องการข้าแล้วจริงๆ หรือ?”
ตี้ฝูอีรู้สึกว่าตนเป็นบัณฑิตพานพบทหาร มีเหตุผลก็กล่าวได้ไม่กระจ่าง
“ซีจิ่ว…เจ้าขุ่นเคืองข้าเพราะข้าไปขัดจังหวะเรื่องของเจ้ากับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถึงสองครั้งใช่ไหม? ข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้กับคนนอกจริงๆ นะ เจ้าเชื่อข้าเถอะ…” หลานไว่หูเอ่ยเสียงแผ่วน้ำตาคลอ
เส้นเลือดบนหน้าผากตี้ฝูอีเต้นตุบๆ ทว่าไม่อาจเตะจิ้งจอกน้อยตัวนี้ให้กระเด็นได้ ได้แต่ปลอบโยน “วางใจเถอะ ซีจิ่วไม่มีทางไม่ต้องการเจ้าหรอก ข้าแค่…แค่ได้รับบาดเจ็บจนจับกลุ่มประลองไม่ได้ชั่วคราว เจ้าไปฝึกฝนกับเจ้าเด็กเชียนหลิงอวี่คนนั้นก่อนเถิด รอข้าหายดีแล้วจะไปรวมกลุ่มกับพวกเจ้าอีกครั้ง”
นัยน์ตาของหลานไว่หูเปล่งประกายทันที “ได้!” พลันปาดน้ำตา หันหลังกระโดดโลดเต้นจากไปดั่งกวางน้อย
ไม่ง่ายเลยกว่าจะส่งจิ้งจอกน้อยตัวนี้จากไปได้ ขณะที่ตี้ฝูอีกำลังจะกลับเรือนเล็กของตน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นหลงซือเย่ยืนอยู่ไม่ไกล กำลังมองเขาอยู่ สายตาซับซ้อนยิ่งนัก
ตี้ฝูอีมุนคิ้วนิดๆ หลงซือเย่ผู้นี้เฉลียวฉลาดยิ่ง คงมิใช่ว่าเขาเกิดสงสัยขึ้นมาหรอกนะ?
ถึงแม้เขาจะแสดงกริยาท่าทางของกู้ซซีจิ่วได้คล้ายคลึงมาก แต่ก็หลอกได้เพียงคนที่เดิมทีก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับพวกเขาอยู่แล้ว คนที่ประสบพบเจอคุ้นเคยกับพวกเขาจริงๆ ง่ายมากที่จะสังเกตเห็นข้อแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ของทั้งสองคน…
อย่างเช่นพวกเจ้าหอยยักษ์ จิ้งจอกน้อย เชียนหลิงอวี่ และหลงซือเย่ที่ยืนอยู่ไม่ไกล พวกเขาล้วนเป็นคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกับกู้ซีจิ่วยิ่งนัก แม้แต่จิ้งจอกน้อยยังสัมผัสได้ว่ากู้ซีจิ่วเปลี่ยนไป กลายเป็นคนแปลกหน้า เช่นนั้นหลงซือเย่ล่ะ?
หรือเขาควรจะใช้ชื่อเทพศักดิ์สิทธิ์มากันหลงซือเย่ออกไป! เลี่ยงไม่ให้เขาอยู่ที่นี่แล้วทำเรื่องของตนพัง!
ตี้ฝูอีไม่ได้วางแผนจะพูดคุยกับหลงซือเย่ ดังนั้นยามที่ดินผ้าหน้าเขา เขาเพียงผงกหัวนิดๆ เท่านั้น คิดจะเดินผ่านไป
เงาร่างหลงซือเย่ไหววูบ คาดไม่ถึงว่าจะมาขวางทางเขาไว้โดยตรง “ซีจิ่ว ข้ารู้สึกว่าพวกเราควรมาคุยกันดีๆ!” พลางยื่นมือมาแขนเขา!
————————————————————————————-
บทที่ 790 หนังหน้าเจ้าหนาเอาการ
ตี้ฝูอีย่อมไม่คิดจะให้เขาจับไว้ ร่างเขาเปล่งแสงวาบ หลบหลีกมือของเขา กล่าวอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม “นี่เจ้าสำนักหลงจะบีบบังคับกันหรือ?”
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของเขาคล้ายกับวิชาเคลื่อนย้ายของกู้ซีจิ่วมาก ต่อให้เป็นหลงซือเย่ก็มองพิรุธไม่ออก เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ขณะที่กำลังเปดปากเอ่ย มู่เฟิงก็เสมือนหล่นลงมาจากฟ้า ปรากฏตัวข้างกายตี้ฝูอีทันที “แม่นางกู้! เจ้านายของพวกเราเรียนเชิญ”
ตี้ฝูอีหันหลังตามมู่เฟิงไป
หลงซือเย่ยืนอยู่ที่เดิม มองเขาของเขาอย่างเหม่อลอย นิ้วมือภายในแขนเสื้อค่อยๆ กำแน่น
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ไกลๆ ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เธอนวดขมับด้วยความปวดหัว
หลงซือเย่เคยเป็นครูฝึกในค่ายฝึกนักฆ่า ความคิดละเอียดรอบคอบนัก บางเรื่องถ้าปล่อยไว้นานๆ เกรงว่าจะปิดบังเขาไว้ไม่ได้…
แทนที่จะให้เขาสืบทราบด้วยตัวเอง มิสู้อธิบายแก่เขาให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า แต่ว่าตี้ฝูอีไม่ยอม…
ปวดหัวจริงๆ เลย!
….
ยามที่กู้ซีจิ่วกลับมาถึงเรือนนั้น ตี้ฝูอีกำลังเขียนบางอย่างอยู่ในห้อง
เนื่องจากต้องคอยชี้แนะการฝึกฝนวรยุทธ์ให้กู้ซีจิ่วตอนกลางคืน อีกทั้งกู้ซีจิ่วให้คนจัดวางเตียงอีกหลังหนึ่งไว้ในห้องนี้แล้วด้วย ทั้งสองเตียงตั้งอยู่ตรงข้ามกัน และอยู่ใกล้กันมาก
หลังจากตี้ฝูอีกลับมา กู้ซีจิ่วก็คืนเตียงใหญ่หลังนั้นให้เขา ส่วนเธอก็ใช้เตียงอีกหลัง
เห็นแก่ที่สุดท้ายแล้วเขาก็นับว่าช่วยแก้ปัญหาในห้องเรียนให้เธอ กู้ซีจิ่วจึงเอ่ยขอบคุณเขา
ตี้ฝูอีเงยหน้ามองเธอ ริมฝีปากบางยักยิ้มน้อยๆ “เจ้ากับข้าเป็นพ่อลูกกันจะเกรงอกเกรงใจไปทำไม”
กู้ซีจิ่วถูกเขาสะกดไว้ตรงนั้น กระอักกระอวนอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ฐานะของข้าคือทูตสวรรค์ฝ่ายว้าย ต้องเรียกว่าพ่อบุญธรรมสิ และท่านก็ต้องเรียกข้า….”
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “หนังหน้าเจ้าหนาเอาการนะ”
บรรยากาศภายในห้องที่เริ่มแรกยังคุกรุ่นอยู่บ้าง เมื่อทั้งสองคนเริ่มหยอกล้อกันสองสามประโยค บรรยากาศก็มีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย
กู้ซีจิ่วร้องเฮอะคราหนึ่ง “ก็เหมือนกันนั่นแหละ มาเถอะ เรียกพ่อบุญธรรมให้ฟังหน่อย!”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “นี่เป็นไปไม่ได้! ข้าเกรงว่าถ้าเรียกเจ้าแล้ว เจ้าจะถูกฟ้าผ่าเอา!”
กู้ซีจิ่วนึกว่าเขาแค่แค่พูดไปเรื่อย จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หัวเราะคิกคัก “พูดเหลวไหล!”
ตี้ฝูอียิ้มแวบหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ก้มหน้าก้มตาเขียนเหมือนเดิม
กู้ซีจิ่วอยากรู้อยากเห็น จึงเขยิบเข้าไปมองแวบหนึ่ง พบว่าเขาเขียนเรื่องที่เข้าใจได้ยากอยู่ อักษรที่เขียนอยู่นั้นเธอไม่รู้จักเลยสักตัว
“นี่คือ?” กู้ซีจิ่วคิดว่าตัวเองรู้จักตัวอักษรเพียงพอแล้ว แต่ตัวอักษรหนนี้กลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เหมือนตัวอักษรและเหมือนอักขระอาคม ปรากฏออกมาอย่างลื่นไหลภายใต้พู่กันเขา ดูคล้ายเมฆหมอกล่องลอย
“ไม่รู้จักหรือ?” ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว
“แน่นอนว่าไม่รู้จัก ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”
“อืม ไม่รู้จักก็ถูกแล้ว” ตี้ฝูอียังตวัดพูดกันอย่างพลิ้วไหวเช่นเดิม
กู้ซีจิ่วนั่งลงข้างๆ จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง “พวกมู่เฟิงรู้เรื่องใช่ไหม?”
ปลายพู่กันของตี้ฝูอีชะงักไปเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ปฏิเสธอ “ใช่ พวกเขารู้แล้ว”
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่มู่เฟิงที่อยู่ที่นี่เท่านั้น แต่กระทั่งมู่เหลย มู่อวิ๋นก็มาพร้อมหน้าแล้ว ยามนี้ทั้งสี่คนจัดเวรยามอยู่ในเรือน! เห็นได้ชัดเจนนัก พวกเขามาเพื่ออารักขาตี้ฝูอีที่อ่อนแอ
อันที่จริงการที่พวกเขามาก็ทำให้กู้ซีจิ่วรู้สึกโล่งอก
อย่างไรเสียวรยุทธ์ของเธอกับตี้ฝูอีในยามนี้ล้วนอยู่ในสภาพถดถอยต้อยต่ำ หากว่ามียอดฝีมือเลิศล้ำประสงค์ร้ายต่อพวกเขา จะค่อนข้างอันตรายจริงๆ
ตี้ฝูอีเคยบอกว่า เรื่องนี้มีเพียงเธอกับเขาที่รู้ คนอื่นไม่ทราบทั้งสิ้น
เธอปิดบังทุกคน รวมถึงสหายของเธอ สัตว์เลี้ยงของเธอ…
แต่เขากลับบอกลูกน้องทั้งสี่ของเขา