ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 825-826
บทที่ 825 หุ่นมนุษย์
อวิ๋นชิงหลัวชอบเขามาสองชาติแล้ว ล้วนไม่เคยได้รับการตอบรับจากเขาเลย สุดท้ายแล้วยังคงลงเอยด้วยความตายของนางหรือ นี่นับว่ากฏแห่งกรรมยุติธรรมเสมอกระมัง?
นางก็มาที่ด้านนอกสวนสวรรค์สุคันธาตามคำสั่งของหุ่นเชิด ต่อมาได้เห็นว่ากลางนภามีคนชุดเขียวนับไม่ถ้วนร่วนลงมาประหนึ่งเกี๊ยว เนืองแน่นถึงหลักพัน!
ท่าทางยามที่คนชุดเขียวเหล่านี้ร่อนสู่พื้นค่อนข้างประหลาด คล้ายว่าเหยียดตรงอยู่ตลอด สองขาโค้งงอไม่ได้
หัวใจอวิ๋นชิงหลัวพลันเต้นแรง คนเหล่านี้คงมิใช่ว่าล้วนเป็น…ล้วนเป็นหุ่นเชิดกระมัง?!
คนชุดเขียวเหล่านั้นแต่งตัวพิกลนัก สวมเสื้อคลุมสีเขียว บนศีรษะยังสวมหมวกคลุมสีเขียว สวมหน้ากากสีเขียวไว้บนหน้าด้วย ทุกคนเขียวขจีดั่งต้นไผ่ก็มิปาน
คนเหล่านี้ร่อนสู่พื้นอย่างไร้สุ้มเสียง ชัดเจนนักว่าวรยุทธ์ล้วนไม่อ่อนด้อย
ทันใดนั้นอวิ๋นชิงหลัวพลันรู้สึกว่าร่างกายค่อนข้างหนาวเหน็บอยู่บ้าง นางคือปรมาจารย์หุ่นเชิด มีประสาทสัมผัสพิเศษต่อหุ่นเชิด หุ่นเชิดที่นางสร้างส่วนใหญ่จะเป็นหุ่นไม้หรือไม่ก็หุ่นหนัง แต่ร่างของคนชุดเขียวที่อยู่เบื้องหน้าเหล่านี้มีกลิ่นอายเฉพาะของหุ่นเชิด สมควรเป็นหุ่นเชิด ทว่ามิใช่หุ่นไม้หรือนหุ่นหนัง แต่เป็นหุ่นมนุษย์! ใช้มนุษย์มาสร้างเป็นหุ่นเชิด!
การสร้างใช้มนุษย์สร้างเป็นหุ่นเชิดนั้นซับซ้อนยิ่งนัก และมีเพียงปรมาจารย์หุ่นเชิดระดับสูงเท่านั้นถึงจะทำได้ อย่างเช่นท่านพ่อของนาง แต่ต่อให้เป็นท่านพ่อของนางครั้งหนึ่งก็สร้างหุ่นมนุษย์ได้แค่สองสามตัว แต่ยามนี้จู่ๆ กลับมีหุ่นมนุษย์มากมายถึงเพียงนี้โผล่มา!
แล้วผู้ที่สร้างพวกเขาขึ้นอยู่ที่ไหนกัน? ปะปนอยู่ในหุ่นมนุษย์เหล่านี้หรือ?
ยังมีอีก หุ่นเชิดมนุษย์ก็แบ่งแยกเป็นหุ่นเป็นและหุ่นตาย หุ่นเป็นคือใช้มนุษย์ที่มีชีวิตมาทำหุ่น ก็คือการควบคุมจิตสำนึกของมนุษย์ จะเชื่อฟังคำสั่งคนเหมือนหุ่นไม้
ส่วนหุ่นตายก็คือการสังหารมนุษย์แล้วค่อยนำมาทำหุ่น หุ่นมนุษย์ประเภทนี้ร่างกายจะแข็งทื่อยิ่งนัก เดินเหินด้วยการกระโดด เช่นเดียวกับผีดิบ
อวิ๋นชิงหลัวมองหุ่นมนุษย์เหล่านี้อย่างละเอียด คนชุดเขียวเหล่านี้นอกจากการเดินที่ดูขัดตาอยู่บ้าง อย่างอื่นล้วนดูปกติอย่างยิ่ง
เช่นนั้นสรุปแล้วพวกเขาคือหุ่นเป็นหรือว่าหุ่นตาย?
อวิ๋นชิงหลัวอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปใกล้อีกนิด คนชุดเขียวผู้หนึ่งหันมาทันที กรงเล็บตะปบมาทางนาง! สายลมเหม็นคาวตีใส่หน้า อานุภาพดั่งใบดาบ!
อวิ๋นชิงหลัวตกตะลึง คนผู้นั้นว่องไวเกินไป โจมตีอย่างดุดันยิ่งนัก นางไม่ทันตั้งตัวจึงหลบไม่พ้นไปชั่วขณะ!
กรงเล็บเบื้องหน้ากำลังจะทะลวงกะโหลกนาง ทันใดนั้นมีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาจากด้านข้าง ฉุดตัวนางออกไป!
อวิ๋นชิงหลัวขวัญกระเจิง หันกลับไปมองทันที ผู้ที่ช่วยชีวิตนางคือหุ่นชุดม่วงตัวนั้นของนาง
ด้วยการแต่งตัวของเขาในยามนี้รวมถึงบุคลิกท่าทางล้วนเหมือนตี้ฝูอียิ่งนัก ทำให้อวิ๋นชิงหลัวเกือบเข้าใจผิด!
นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “เจ้า…”
คนผู้นั้นกดริมฝีปากนางไว้ด้วยนิ้วเดียว “ชู่ว หุบปากซะ!” เขาส่งสัญญาณให้กลุ่มคนชุดเขียว คนชุดเขียวผู้หนึ่งหยิบขลุ่ยเลาหนึ่งออกมา เริ่มเป่าขลุ่ย
เห็นชัดเจนว่าดูเหมือนจะบรรเลงท่วงทำนองอันใดอยู่ แต่อวิ๋นชิงหลัวกลับไม่ได้ยินเสียง
ส่วนกลุ่มคนชุดเขียวเหล่านั้นราวกับได้ยินและฟังรู้เรื่อง มีคนชุดเขียวสิบหกคนดีดกายขึ้นมาทันที พุ่งเข้าไปในสวนดั่งควันสายหนึ่ง! พริบตาเดียวก็เข้าไปในสวนแล้ว
ไม่รู้ว่าหลงซือเย่โผล่มาจาก ร่อนลงข้างกายหุ่นชุดม่วง สีหน้าเขายังคงเย็นชาเหมือนเดิม “นี่ก็คือกองหนุนของเจ้าหรือ? หุ่นเชิด?”
หุ่นชุดม่วงตัวนั้นหัวเราะเบาๆ “ต่อให้เป็นหุ่นเชิดก็สามารถกระทำการใหญ่ได้! พวกเขามิใช่หุ่นเชิดธรรมดา!”
หลงซือเย่หรี่ตานิดๆ มองคนขุดเขียวเหล่านั้น เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งเป็นยอดฝีมือ มองผ่านๆ ก็ดูออกแล้วว่าคนชุดเขียวเหล่านี้คล้ายกับหรงเหยียนและกู้เทียนฉิงที่โจมตีเขากับกู้ซีจิ่วในป่าทมิฬหนนั้นมาก! เหมือนเหลือเกิน!
หรงเหยียนกับกู้เทียนฉิงในยามนั้นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ล้วนมีพลังวิญญาณขั้นสี่ขั้นห้า พอกลายเป็นผีดิบเช่นนั้นพละกำลังก็ยังคงมหาศาลท่วมท้น
————————————————————————————-
บทที่ 826 ตั๊กแตนที่อยู่บนด้ายเส้นเดียวกัน
เช่นนั้นคนชุดเขียวเหล่านี้ที่แท้เป็นหุ่นเชิดหรือเป็นผีดิบกันแน่?! ดูจากท่าทางที่พวกเขาพุ่งกระโจนออกไปเมื่อกี้ดูเหมือนจะไม่ต่างกับหรงเหยียนและกู้เทียนชิงในตอนนั้นเลย…
สรุปแล้วคนผู้นี้ไปเสาะหาหุ่นเชิดหรือผีดิบที่เข้ากับไอแค้นอันแกร่งกล้ามากมายเช่นนี้มาจากที่ไหนกัน?!
“เจ้าสำนักหลง สนใจความเป็นมาของพวกเขามากใช่หรือไม่?” คนชุดม่วงผู้นั้นขยับเข้าใกล้เขา
หลงซือเย่เม้มปากนิดๆ “สนใจจริงๆ นั้นแหละ แต่เจ้าจะพูดไหมล่ะ?”
คนชุดม่วงผู้นั้นยิ้มกว้าง “แน่นอนว่า…ไม่พูด!”
เขาเงี่ยหูฟัง เมื่อกี้ยามที่คนชุดเขียวสิบหกคนนั้นเข้าไปดูเหมือนจะพบเจอบางคนและถูกซักถาม แต่เสียงซักถามนั้นเพิ่งดังขึ้นก็เงียบไปทันที คาดว่าคงถูกคนชุดเขียวกำราบไว้แล้ว ยามนี้คนชุดเขียวเหล่านั้นน่าจะบุกทะลวงเข้าไปแล้ว…
เห็นได้ชัดยิ่งว่าตี้ฝูอีไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะมีคนมาโจมตีเขาในยามนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้วางคนไว้รอบกายหลายๆ คน…
อีกอย่างเขากำลังวุ่นวายอยู่กับการเกี้ยวพากู้ซีจิ่ว ไหนเลยจะให้ผู้อื่นติดตามอยู่ข้างกาย!
ในสวนมีเสียงต่อสู้แว่วมา ชัดเจนนักว่าคนชุดเขียวที่เป็นกองหน้าหลายคนนั้นพบกับมู่อวิ๋นแล้ว เนื่องจากเขาได้ยินเสียงโหยหวนของมู่อวิ๋นรางๆ…
แถมยังได้ยินเขาตะโกนว่า “นายท่าน มีศัตรูจู่โจมขอรับ!”
จากนั้นพลุสีเขียวขจีสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นสู่ท้องนภาเหนือสวน นี่เป็นสัญญาณว่าสามารถบุกเข้าโจมตีได้แล้ว!
ทุกอย่างราบรื่นจนมิอาจราบรื่นไปมากกว่านี้แล้ว! แผนการนี้ช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!
เห็นทีว่าวันนี้เขาต้องประสบความสำเร็จเป็นแน่! สังหารตี้ฝูอีก่อน จากนั้นค่อยหาโอกาสใช้ร่างของตี้ฝูอีเข้าใกล้เทพศักดิ์สิทธิ์…
คนชุดม่วงผู้นั้นชะล่าใจแล้ว พลันโบกมือ กลุ่มคนชุดเขียวที่เหลือส่งเสียงคำรามอันแปลกประหลาดออกมา ดีดกายขึ้น พากันเข้าจู่โจมด้านในสวน…
คนชุดม่วงมองหลงซือเย่แวบหนึ่ง “เป็นอย่างไร? จะเข้าไปกับข้าด้วยหรือไม่?”
หลงซือเย่ตอบอย่างไม่ลังเล “เข้า! ข้าจะไปคุ้มครองซีจิ่ว กันไม่ให้ถูกลูกหลงจากเจ้า”
คนชุดม่วงหัวเราะฮ่าๆ “ดี! ท่านอยากคุ้มครองนางก็คุ้มครองไป แบบนี้ข้าจะได้คล่องตัวขึ้น”
ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก เอ่ยถามหลงซือเย่ “ท่านจะช่วยข้าสังหารตี้ฝูอีไหม?”
หลงซือเย่นิ่งงัน “นี่…”
คนชุดม่วงจ้องมองเขา “ตอนนี้ท่านไม่เหลือช่องให้เสียใจภายหลังแล้ว!” คนชุดม่วงผู้นี้พยายามเปลี่ยนหลงซือเย่ให้กลายเป็นตั๊กแตนที่อยู่บนด้ายเส้นเดียวกับเขา คิดจะลากเขาลงน้ำ
ในที่สุดหลงซือเย่ก็ตัดสินใจได้ “ตกลง! ถ้าถึงยามที่ข้าสบช่องก็จะลงมือ!”
คนชุดม่วงในที่สุดก็วางใจแล้ว หันไปเหลือบมองอวิ๋นชิงหลัวแวบหนึ่ง “ไปกันเถอะ! เข้าไปด้วยกัน!”
ยามนี้อวิ๋นชิงหลัวก็ไม่เหลือหนทางถอยแล้วเช่นกัน จึงพยักหน้า เงาร่างคนทั้งสามไหววูบ เหินทะยานเข้าไป
….
พรรณไม้ในสวนสวรรค์สุคันธาเรียงรายเป็นระเบียบ
มีดอกไม้ใบหญ้าอยู่ทั่วทุกมุม อันที่จริงที่นี่คือสวนสมุนไพร ดอกไม้ใบหญ้านับไม่ถ้วนที่พบเห็นได้ตามสถานที่ทั่วไปล้วนเจริญงอกงามอยู่ที่นี่
ในสวนมีป่าเฟิง มีภูเขาจำลอง มีทะเลสาบ มีศาลา แถมยังมีระเบียงทางเดินบางส่วนด้วย…
ตอนที่กู้ซีจิ่วมาที่นี่ครั้งแรกก็รู้สึกว่าสถานที่นี้งดงามนัก จัดวางอย่างประณีต บรรยากาศดี อีกทั้งสอดแทรกค่ายกลบางอย่างไว้รางๆ ด้วย เดินอยู่ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเล่นในแดนสุขาวดี
แถมเธอยังค่อนข้างคุ้นตากับการจัดแต่งของที่นี่ ดูเหมือนจะมีเอกลักษณ์บางอย่างที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับวังค้ำนภา
ยามที่เธอนั่งดื่มชาอยู่ในศาลากับตี้ฝูอีในที่สุดก็เอ่ยถามเขาประโยคหนึ่ง “การจัดแต่งของที่นี่ท่านเป็นผู้ออกแบบใช่หรือไม่?”
ตี้ฝูอียื่นมือรินชาให้เธอถ้วยหนึ่ง “เสี่ยวซีจิ่ว สายตาเจ้าช่างมีแววจริงๆ! เป็นอย่างไร? งดงามมากใช่ไหม?”
“งดงามนัก! ท่านเป็นปรมาจารย์ด้านการจัดสวนโดยแท้! นึกไม่ถึงว่าท่านจะศึกษาด้านนี้อย่างล้ำลึกด้วย”