ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 901-902
บทที่ 901 แท้จริงแล้วเขามีความจริงใจต่อกู้ซีจิ่วกี่ส่วนกัน?
กู่ฉานโม่เป็นผู้ที่ข่าวสารฉับไวคนหนึ่ง เรื่องที่กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีไปกินข้าวด้วยกันตอนเช้าเขาก็ได้ยินนานแล้ว ดังนั้นการมาของพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามก็ไม่อยู่เหนือความคาดหมายของเขา และตอบรับความประสงคของเด็กสามเช่นกัน
เขาให้เชียนหลิงอวี่กับหลานไว่หูออกไปก่อน เหลือเพียงกู้ซีจิ่ว จากนั้นก็ถามนาง “เจ้าใคร่ครวญดีแล้วใช่ไหม? ต่อไปจะอยู่กับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายใช่หรือไม่? มิใช่การเล่นละครสินะ?”
กู้ซีจิ่วสูดหายใจนิดๆ พยักหน้าแล้วเอ่ยตอบ “มิใช่การเล่นละคร” ตอนนี้เธอแน่ใจแล้วว่าคนที่ตนชอบคือตี้ฝูอี ดังนั้นไม่มีจำเป็นที่ต้องปฏิเสธ
กู่ฉานโม่ถอนหายใจหนักๆ “แต่ว่าเจ้าสำนักหลง…เขาจริงจังกับเจ้า…เจ้าทำเช่นนี้ผิดต่อเขามากนะ”
หัวใจกู้ซีจิวเจ็บแปลบๆ ทันที หลุบตาลง “ใช่แล้ว ข้าผิดต่อเขา”
ตอนนี้คนที่เธอทำผิดด้วยที่สุดก้คือเขา ทำได้เพียงหาโอกาสตอบแทนเขาในภายหน้า
กู่ฉานโม่ทอดถอนใจ “นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เหมือนกัน อันที่จริงบนโลกนี้ขอเพียงเป็นสิ่งที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหมายตาไว้ ไม่ว่าคนหรอสัตว์ล้วนชิงไปจากมือเขาไม่ได้ ผู้ใดก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา…ปีนั้นเขาก็คร่าตัวศิษย์ของเทียนจี้เยวี่ยไป…” กล่าวถึงตรงนี้ก็ชะงัก แล้วส่ายศีรษะไปมา โบกมือแล้วกล่าว่า “สรุปคือ ทุกเรื่องต้องไตร่ตรองให้มากหน่อย อย่าถูกความรู้สึกทำให้สมองเลอะเลือน เจ้าเป็นแม่นางน้อยที่เฉลี่ยวฉลาดคนหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องให้ความสำคัญกับการเรียน เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ”
กู้ซีจิ่วเข้าใจกรวางตัวของกู้ฉานโม่ ว่ามิใช่คนที่ชอบพูดจาเหลวไหลมั่วซั่วพรรค์นั้น และหวังดีกับเธอด้วยใจจริง ดังนั้นถ้อยที่เขาพูดเธอจึงรับฟังเข้าไป กู่ฉานโม่เพิ่งพูดจบ เธอก็จับประเด็นสำคัญในคำพูดของเขาได้ทันที “เขาชิงตัวศิษย์ของทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยหรือ? อาจารย์ใหญ่กู่สามารถเล่ารายละเอียดให้ซีจิ่วฟังได้หรือไม่?”
กู่ฉานโม่ส่ายหน้า “ล้วนผ่านพ้นไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่าแล้ว ผู้เฒ่ามิใช่คนที่ชอบพูดลับหลังผู้อื่น ถ้าเจ้ามีข้อสงสัย ไปถามเขาต่อหน้าเถิด”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “เจ้าค่ะ” พลางหันหลังเดินออกไป
กู่ฉานโม่มองแผ่นหลังนางอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอีกครั้ง
เด็กสาวผู้นี้เป็นต้นกล้าชั้นดีที่หาได้ยาก เป็นอัจฉริยะหายากที่นับพันปีถึงจะพานพบ เด็กเช่นนี้เขาไม่ยินดีเห็นนางถูกความรักทำลาย
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…
ต่อให้เป็นกู่ฉานโม่ที่พบเห็นโลกพบเห็นคนจนเคยชินแล้วก็ไม่เคยเดาทางเขาออกเลย คนผู้นี้ลึกลับซับซ้อนเกินไป บนร่างมีปริศนามากมายเหลือเกิน แม้กระทั่งเรื่องที่ทำก็ทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์อย่างยิ่ง คนผู้นี้คล้ายมังกรที่เหินทะยานดั้นในเมฆา ให้คนเห็นเพียงเสี้ยวกรงเล็บของเขา ไม่เคยให้เห็นทั้งตัว ทว่าทำให้สัญชาตญาณของผู้อื่นสัมผัสได้ถึงความอันตราย…
คนเช่นนี้มิใช่ผู้ที่เด็กสาวนางหนึ่งจะสามารถคุมได้
หากกู้ซีจิ่วต้องเลือกระหว่างระหว่างหลงซือเย่กับตี้ฝูอี เช่นนั้นกู่ฉานโม่ยินยอมให้นางเลือกหลงซือเย่
อย่างไรเสียหลงซือเย่ก็ทำให้คนรู้สึกสงบมั่นคง และดีต่อกู้ซีจิ่วด้วยใจจริง
แต่ทูตสวรรค์…ผู้ใดจะรู้ได้ว่าเขาเล่นละครอยู่หรือไม่?
ใครเล่าจะรู้ว่าเขาแย่งชิงความรักของผู้อื่นจนติดเป็นนิสัยไปแล้วหรือไม่?
แท้จริงแล้วเขามีความจริงใจต่อกู้ซีจิ่วกี่ส่วนกัน?
ไม่แน่ผลสุดท้ายอาจเป็นเช่นเดียวกับศิษย์ของเทียนจี้เยวี่ย จุดจบคือสิ้นดวงวิญญาณแตกสลาย…
โดยพื้นฐานแล้ปกติกู่ฉานโม่มิใช่ผู้ที่ชอบพูดลับหลังผู้อื่น ทว่าครั้งนี้อดไม่อยู่ แต่ก็เป้นการตักเตือนเล็กน้อยเท่านั้น หวังเพียงว่ากู้ซีจิ่วจะสามารถแยกแยะถูกผิดได้ ไม่ถล้ำลึกเข้าไปโดยไม่เหลือทางถอยก็พอ
….
กู้ซีจิ่วออกมาจากสถานที่ของกู่ฉานโม่ เธอเป็นเด็กสาวที่เฉียบแหลมคนหนึ่ง ถ้าบอกว่าถ้อยคำที่เขาพูดไม่เกิดผลอะไรต่อหัวใจเธอเลยเช่นนั้นก็โกหกแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจจนเกินไป
ตอนนั้นเธอกับตี้ฝูอีประสบอันตรายด้วยกัน ถูกเทียนจี้เยวี่ยซุ่มโจมตี เธอเคยถามเรื่องบุญคุณความแค้นของตี้ฝูอีกัเทียนจี้เยวี่ย ยามนั้นตี้ฝูอีเอ่ยเพียงสองสามคำก็เบี่ยงหัวข้อไป
————————————————————————————-
บทที่ 902 หัวใจเธอรู้สึกผิดจริงๆ
กล่าวเพียงว่าเขาสังหารศิษย์ของเทียนจี้เยวี่ย ไม่ได้พูดถึงต้นสายปลายเหตุ ยามนี้จากที่ฟังสำเนียงของกู่ฉานโม่ ระหว่างสามคนนี้มีบุญคุความแค้นอันใดอยู่ แต่ไม่แน่ว่าจะใช่ปมความรักเสมอไป อย่างไรเสียกู่ฉานโม่ก็ได้ยินข่าวลือมาอีกที…
และส่วนมากข่าวลือก็ไม่น่าเชื่อถือ กู้ซีจิ่วมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง เธอเชื่อเพียงลางสังหรณ์ของตัวเองเท่านั้น ตี้ฝูอีชอบตนจริงๆ ตนน่าจะเป็นหญิงสาวคนแรกที่เขาชอบ อื้ม ไม่แน่อาจเป็นคนสุดท้ายด้วย เธอไม่ระแวงคลางแคลงเขาเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคหรอก…
หรือเธอควรถามเขาไปตรงๆ เลย?
เธอเดินไปพลางคิดไปพลาง มีคนผู้หนึ่งเดินสวนมา เธอเกือบพุ่งเขาไปในอ้อมอกของคนผู้นั้นแล้ว จึงรีบถอยหลังทันที เงยหน้ามอง “ครูฝึกหลง!”
ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือหลงซือเย่ สีหน้าเขาซีดเซียวยิ่งนัก ถึงขั้นดูค่อนข้างตรอมตรม ในดวงตาคู่นั้นคล้ายจะมีความรู้สึกวูบไหวอยู่นับไม่ถ้วน คล้ายจะทั้งโกรธทั้งผิดหวังและโศกเศร้า…
เขามองเอครู่หนึ่ง สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขมขื่น “ซีจิ่ว ที่แท้เธอก็ทำเพื่อเขา…” พูดถึงตรงนี้ก็หยุดไป เขาหันหลังเดินจากไป
กู้ซีจิ่วก็ไม่สบายใจเหมือนกัน อดไม่ได้ที่จะไล่ตามไปสองก้าว “หลงซือเย่…”
ฝีเท้าหลงซือเย่หยุดลง ไม่ได้หันกลับมา “มีอะไร?”
โลหิตอุ่นร้อนสูบฉีดอยู่ในใจกู้ซีจิ่ว หยิบสมุนไพรสีแดงใสกระจ่างแวววาวต้นหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของตน ก้าวเข้าไปอีกสองก้าว ยื่นไปเบื้องหน้าเขา “สิ่งนี้มอบให้ท่าน!”
หลงซือเย่เพ่งมองเล็กน้อย
เป็นหญ้าวิเศษสามพันปีต้นนั้น!
เขาเงยหน้ามองเธอ ไม่พูดอะไร และไม่รับไว้
“คุณตามหาหญ้าต้นนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ขอมอบให้คุณแล้วกัน”กู้ซีจิ่วไม่พูดพร่ำอะไรยัดสมุนไพรต้นนั้นใส่มือหลงซือเย่
หลงซือเย่หลุบตามองหญ้าวิเศษที่ถูกยัดใส่มือ ของสิ่งนี้เขาตามหามาหลายสิบปีแล้ว และคะนึงหามาหลายสิบปีแล้วเช่นกัน หลายสิบปีก่อนหากมีคนนำสมุนไพรต้นนี้ออกมา ถึงแม้จะให้เขานำสำนักถามสวรรค์ทั้งสำนักมาแลกเปลี่ยน เขาก็จะแลก!
แต่ตอนนี้…
เขาดีดนิ้วคราหนึ่ง หญ้าวิเศษต้นนั้นลอยขึ้นมา กลับไปอยู่ในมือกู้ซีจิ่วอีกครั้ง
“ไม่จำเป็นแล้ว!” เขาตอบกลับเพียงสี่คำนี้ จากนั้นก็หมุนกายจากไป
มองเห็นแผ่นหลังเขาค่อยๆ หายลับไปในที่ไกลๆ หัวใจกู้ซีจิ่วคล้ายถูกอะไรกรีดแทง ปวดหนึบๆ
ชีวิตนี้เธอปฏิเสธคนที่ไล่ตามมานับไม่ถ้วน ความรู้สึกเป็นเรื่องของทั้งสองฝ่าย หากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกไปเองไม่ได้รับการตอบรับจากอีกฝ่ายย่อมไม่เกิดผลอะไร
แต่พอทำกับหลงซือเย่ในยามนี้ หัวใจเธอรู้สึกผิดจริงๆ
….
‘เจ้าสำนัก ยอดเขาไผ่เวียนมีศัตรูจากภายนอกบุกเข้ามาขอรับ!’ นกสืบรอยตัวหนึ่งร่อนลงมา ยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นหนึ่งร่วงสู่ฝ่ามือของหลงซือเย่ เสียงที่แว่วออกมาจากยันต์ถ่ายทอดเสียงคือเสียงหัวหน้าศิษย์ของสำนักถามสวรรค์
สีหน้าหลงซือเย่แปรเปลี่ยนทันที ตำหนักน้ำแข็งบนยอดเขาไผ่เซียนคือสถานที่ตั้งของร่างโคลนนิ่งหญิงร่างนั้น…
สถานที่แห่งนั้นเป็นความลับยิ่งนัก ต่อให้เป็นเหล่าศิษย์ของเขาหากว่าไม่มีคำสั่งจาเขา ก็ไม่กล้าเข้าไปโดยพลการ สัตรูจากภายนอกเข้าไปทำอะไรที่นั่น?
เขาครุ่นคิดสักครู่ ทิ้งจดหมายไว้ให้กู่ฉานโม่ฉบับหนึ่ง จากนั้นก็เรียกกระเรียนมงกุฎแดงสัตว์พาหนะของตนมา เหินฟ้าจากไปทันที
….
ตำหนักที่ปิดกั้นด้วยน้ำแข็ง เสมือนโลกที่ส่องแวววาว พายุหิมะทั่วท้องนภาคำรามกึกก้องอยู่ด้านหน้าตำหนัก
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่ประตูตำหนักที่เดิมทีถูกเวทวิชาผนึกไว้ตลอดกลับอ้า…
คิ้วคมของหลงซือเย่ขมวดมุ่น สถานที่แห่งนี้มีค่ายกลปกป้อง ประตูตำหนักก็มีเพียงตัวเขาที่สามารถเปิดได้ ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกัน?
เขาก้าวเข้าไปช้าๆ ตรวจสอบค่ายกลที่ติดตั้งไว้นอกตำหนักเหล่านั้นก่อน ค่ายกลไม่ได้ถูกแตะต้อง เขาค่อยๆ ก้าวไปหน้าตำหนัก โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ประตูตำหนักเปิดออกอย่างสมบูรณ์ ไอเย็นพรั่งพรูออกมา
————————————————————————————-