ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 913-914
บทที่ 913 ที่นี่…สร้างได้อย่างไร?
ยังมีอีกหลายแห่งที่ทั้งสองคนจารึกไว้ร่วมกัน แน่นอนว่าทั้งสองทิ้งนามของตนไว้บนนั้นด้วย
ตี้ฝูอีเป็นผู้ที่มีความสามารถในการรังสรรค์ต่อยอด เขาชมชอบ ‘หนึ่งศรรักทะลุใจ’ อันนั้นของกู้ซีจิ่ว ดังนั้นหลายแห่งที่จารึกนามของทั้งสองไว้เขาล้วนใช้วิธีจารึกแบบนั้น
อักษรที่จารึกไว้เหล่านั้นบางส่วนเป็นแนวคิดของตี้ฝูอี มีกู้ซีจิ่วคอยแต่งแต้มขัดเกลา
ในชีวิตนี้กู้ซีจิ่วไม่เคยจารึกป้ายซุ้มประตูหอมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย จึงสนุกสนานยิ่งนัก
ตำหนักหลังนี้ที่มีทางเข้าออกทั้งหมดหกทาง ครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ส่วนหลังสุดของตำหนักยังมีอุทยานสวนขวัญด้วย ในสวนมีดอกไม้พืชพรรณ มีขุนเขาสายธาร ที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นใต้มหาสมุทรลึก แต่ภายในสวนขวัญแห่งนี้กลับมองเห็นพระจันทร์เต็มดวงบนฟากฟ้าได้!
แถมพระจันทร์ดวงนั้นก็ดูทั้งกลมทั้งใหญ่กว่าพระจันทร์ตามปกติด้วย! เธอถึงขั้นสามารถมองเห็นหลุมอุกกาบาตบนดวงจันทร์ได้รางๆ…
โดยทั่วไปแล้ว ยามที่มองท้องฟ้าด้วยตาเปล่า แสงเดือนจะโดดเด่นกลบรัศมีดาว และในวันที่สิบห้าเดือนแปดจะเป็นช่วงที่พระจันทร์เต็มดวง ตามปกติแล้วจะมองไม่เห็นแสงดาวหลายๆ ดวง
แต่ที่นี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแต่มองเห็นดวงจันทร์ใหญ่กว่าปกติกว่าครึ่งเท่านั้น ดวงดาวที่สุดสกาวเต็มฟ้าก็มองเห็นได้ชัดเจนเช่นกัน
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะไม่รู้เรื่องดาราศาสตร์ แต่ดีร้ายอย่างไรก็ยังรู้ตักกลุ่มดาวอยู่สองสามกลุ่ม อย่างเช่นกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ ทางช้างเผือก หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า…
เมื่อมองดวงดาวบนฟากฟ้าอยู่ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงส่องมอง ดาวทุกดวงล้วนงดงามยิ่งนัก
ทิวทัศน์เช่นนี้น่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง กู้ซีจิ่วมองฟากฟ้าของที่นี่ตะลึงงันอยู่บ้าง
“ที่นี่…สร้างได้อย่างไร?” กู้ซีจิ่วประหลาดใจจริงๆ
ตี้ฝูอีจูงเธอไปนั่งที่ศาลาใสกระจ่างหลังหนึ่ง
เก้าที่จัดวางไว้ที่นี่ก็ไม่ใช่เก้าอี้ธรรมดาสามัญ แต่เป็นเก้าอี้เอนหลังเนื้อหยกชนิดหนึ่งที่สามารถนอนสามารถนั่งสามารถพับเก็บได้ หยกนั้นเป็นหยกอุ่น เมื่อคนนอนเอนหลังขะรู้สึกสบายยิ่งนัก และเมื่อเงยหน้าขึ้นจะมองเห็นท้องนภา…
กู้ซีจิ่วเอนหลังบนเก้าอี้รู้สึกสบายจนอยากถอนหายใจ เมื่อฝีมือแกร่งกล้าก็มีกำลังเปลี่ยนสิ่งผุพังให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้โดยแท้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะสามารถสร้างตำหนักเช่นนี้ไว้ใต้มหาสมุทรลึกได้
เมื่อกี้เธอเดินวนที่นี่จนรอบแล้วจึงมองออก สถานที่แห่งนี้มิได้ถูกสร้างในชั่วข้ามคืน น่าจะใช้เวลาหลายปีแล้ว เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเร็วๆ นี้กระมัง?
“ที่แท้ท่านก็อยากอาศัยอยู่ในวังบาดาลเหมือนกัน” ตี้ฝูอีจัดวางผลไม้อันเป็นที่นิยมไว้บนโต๊ะ เธอจึงหยิบองุ่นพวงหนึ่งมากิน
ตี้ฝูอีนั่งด้านข้างเธอ เงยหน้ามองท้องฟ้า ยิ้มแวบหนึ่ง “ใช่แล้ว พวกเรานับว่าใจตรงกัน ยามที่รู้ว่าเจ้าชอบวังบาดาลก็อยากพาเจ้ามาดูแล้ว”
ทั้งสองคนนอนเรียงกันอยู่ตรงนั้น กู้ซีจิ่วมองดาวบนฟ้า เอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าท่านสร้างที่นี่ขึ้นมาได้อย่างไร? ในมหาสมุทรที่ลึกหลายร้อยเมตรเช่นนี้สามารถมองเห็นดวงดาวบนฟากฟ้าได้อย่างไร? ท้องฟ้าของที่นี่ราวกับส่องผ่านกล้องโทรทรรศน์กำลังขยายสูง…”
ตี้ฝูอีเป็นผู้ที่เมื่อถามก็จะตอบ จึงอธิบายหลักการของที่นี่ให้เธอฟัง
เนื่องจากเชื่อมโยงกับเวทวิชามากมาย กู้ซีจิ่งฟังแล้วไม่ใคร่เข้าใจนัก แต่พอจะทราบหลักการพื้นฐานอยู่บ้าง สถานที่แห่งนี้ก็คือซากโบราณสถานใต้สมุทรเหมือนในตำนานปรัมปรา ส่วนนภาดาษดาราผืนนี้ใช้วิชาอาคมหลายอย่างสร้าง ‘ท้องฟ้า’ ขึ้นมา หลักการเทียบได้กับกล้องโทรทรรศน์…สามารถมองเห็นวิถีโคจรของดวงดาวเหล่านี้ได้ชัดเจน
กู้ซีจิ่ไม่เข้าใจดาราศาสตร์ แต่เธอรู้สึกว่าดวงดาวเหล่านี้ดูงดงามมากจริงๆ เจิดจรัสตระการตาเธอ
เธอเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง สายตาถูกดาวใหญ่ดวงหนึ่งที่อยู่ตรงกลางดึงดูดเข้าไป แสงดาวดวงนั้นเป็นสีรุ้ง
————————————————————————————-
บทที่ 914 ให้ข้าชมกำลังสายตาของเจ้าหน่อย
เธอเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง สายตาถูกดาวใหญ่ดวงหนึ่งที่อยู่ตรงกลางดึงดูดเข้าไป แสงดาวดวงนั้นเป็นสีรุ้ง ส่องประกายระยิบระยับ สว่างไสวอย่างยิ่ง แม้แต่จันทราบนฟากฟ้าก็ไม่อาจบดบังแสงของมันได้ ดาวดวงนี้มีวิถีโคจรของตัวเอง ดาวดวงอื่นบนฟ้าที่สว่างบ้างมืดมนบ้างล้วนโคจรอยู่รอบตัวมัน มันราวกับดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะ ดาวดวงอื่นเสมือนดาวบริวารของมัน…
กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะจ้องมองมัน ตี้ฝูอีก็มองตามนางด้วย หัวใจสั่นไหวเล็กน้อย เจ้ามองเห็นอะไรหรือ?“
“นั่นคือดาวอะไร? ไม่เหมือนดวงดาวเหล่านั้นที่ข้ารู้จักเลย…” เป็นครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วได้เห็นผังดวงดาวเช่นนี้
“เจ้ารู้จักดาวอะไรบ้างล่ะ?”
“ดาวศุกร์ ดาวโจร ดาวสาวทอผ้า…” กู้ซีจิ่วนับดวงดาวที่สว่างไสวที่สุดในแต่ละช่วงเวลาออกมา จากนั้นก็จ้องมองดาวสีรุ้งบนฟ้าดวงนั้น “แต่ดาวดวงนั้นไม่ใช่ใช่ดวงใดในหมู่พวกมันเลย”
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนดวงดาวที่เจ้ารู้จักก็มีมากมายเช่นกัน เพียงแต่ผังดวงดาวของที่นี่ไม่เหมือนแบบที่เจ้าเห็นเป็นประจำ อ่า ดวงดาวของที่นี่อาจจะเป็นผังดาราศาสตร์ที่เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ก็ได้ ดาวทุกดวงล้วนแทนตัวมนุษย์คนหนึ่งโดยเฉพาะ…”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “นั่นเป็นตำนานเทพนิยาย ใช้อ้างอิงไม่ได้ ในตำนานเทพนิยายบนดวงจันทร์ยังมีเทพธิดาฉางเอ๋อร์อาศัยอยู่ แต่ความจริงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าบนนั้นมีเพียงหลุมที่ถูกอุกกาบาตพุ่งชนเท่านั้น แรงโน้มถ่วงคิดเป็นหนึ่งในหกของดาวโลก เปลี่ยวร้างจนน่ากลัว ไม่มีน้ำ ไม่มีต้นไม้ และไม่มีอากาศ ไม่มีทางที่คนจะอาศัยอยู่ได้…”
ตี้ฝูอียกมือลูบผมเธอเบาๆ “ข้าบอกแล้วไง นี่ใช่ผังดาราศาสตร์ทั่วไป อืม เจ้าว่า หากว่าดวงดาวของที่นี่ทุกดวงแทนตัวมนุษย์หนึ่งคน ดาวที่เจิดจ้าที่สุดดวงนี้แทนตัวผู้ใด?”
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!” กู้ซีจิ่วตอบโดยไม่หยุดคิดเลย จากนั้นเธอก็มองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง
ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม “ฉลาดจริงๆ!”
กู้ซีจิ่วมองเขาอีกแวบหนึ่ง “เช่นั้นมันคงมีชื่อกระมัง?”
“ดาวราชา”
ดาวดวงนั้นเหมือนราชาจริงๆ นั้นแหะ ดวงดาวที่เกลื่อนฟากฟ้าล้วนเป็นพสกนิกรของมัน…
“โลกนี้มีผู้คนมากมาย มหาศาลปานเม็ดทราย ถ้าทุกดวงล้วนแทนตัวมนุษย์เพียงผู้หนึ่ง เกรงว่าจำนวนดวงดาวเหล่านี้คงไม่เพียงพอ”
“เด็กโง่ ผู้คนมากมายไม่อาจเข้ามาอยู่ในผังดาราศาสตร์ได้ ผู้ที่สามารถเข้ามาได้คือผู้ที่มีอิทธิพลต่อวิถีของโลกนี้อยู่บ้าง” ตี้ฝูอีให้ความรู้แก่เธอ
กู้ซีจิ่วตื่นเต้นคึกคัก ทัศนะคติเช่นนี้เธอเคยได้ยินมาจากตำนานพื้นบ้าน แต่ไม่เคยนึกมาก่อนว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ยามนี้พอได้ตี้ฝูอีบอกเล่าเรื่องราวอย่างจริงจัง เธอจึงกระตือรือร้นขึ้นมา
เธอกวาดตามองดวงดาวทั้งนภา มองดวงนี้แล้วก็มองดวงนั้น เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “บนนี้มีดวงดาวที่แทนตัวข้าอยู่หรือไม่?” พอถามจบก็รู้สึกว่าคำถามออกจะโง่งมอยู่บ้าง ถึงอย่างไรตี้ฝูอีก็พูดไปแล้วว่ามีเพียงผู้ที่มีอิทธิพลต่อวิถีของโลกนี้ถึงจะปรากฏบนผังดาราศาสตร์ได้ ตอนี้เธอเป็นแค่นักเรียนคนหนึ่ง วรยุทธ์ไม่เลิศล้ำนามไม่เป็นที่ประจักษ์ คงจะไม่อยู่ที่นี่หรอก…
“มี” ตี้ฝูอีตอบเพียงคำเดียว
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วแวบหนึ่ง ค่อนข้างคาดไม่ถึง “เป็นดวงไหน?”
“หาด้วยตัวเองสิ” ตี้ฝูอีวางแขนไว้บนไหล่เธอ “ให้ข้าชมกำลังสายตาของเจ้าหน่อย”
สีหน้ากู้ซีจิ่วมืดครึ้ม จะหาได้ยังไงกัน?
บนฟ้ามีดวงดาวมากมายถึงเพียงนี้ และตัวเธอก็นับว่ามีชื่ออันใด จะใช้ความสว่างตามหาดวงดาวที่สื่อถึงตนได้อย่างไร?
เพียงแต่ในเมื่อเขากล่าวมาเช่นนี้ คงจะมีเหตุผลอะไรอยู่…
หรือว่าทุกคนมีความสามารถพิเศษที่จับสัมผัสดวงดาวที่สื่อถึงตัวเองได้?
เธอไม่พูดอะไรอีก เริ่มมองดวงดาวทีละดวงๆ
ตี้ฝูอีก็ไม่รบกวนเธอ เขาก็มองดวงดาวบนฟากฟ้าเช่นกัน
————————————————————————————-