ลำนำบุปผาพิษ - ตอนที่ 941-942
บทที่ 941 ไม่ต้องสงสัยเทพเซียนผีสางอะไรแล้ว!
บนข้อมือเขาสวมสนับข้อมือไว้เสมอ ชนิดของสนับข้อมือก็แตกต่างกันไปตามฤดูกาล อันที่สวมไว้หนนี้เป็นสายหนังสีดำ กู้ซีจิ่วจึงแกะออกจากข้อมือเขา
ข้อมือเขาเนียนกระจ่างดั่งหยก ไม่ได้สวมเครื่องประดับอะไรเลย
ผ่านไปครู่หนึ่ง กู้ซีจิ่วก็ชักมือกลับ ยิ้มแวบหนึ่ง “ข้าคิดมากไปแล้วจริงๆ!” พลางลุกขึ้นแล้วกลับเขารถม้าไป
มู่เตี่ยนเงียบงัน เหตุใดเขารู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ค่อนข้างหดหู่กันนะ?
ลังจากกู้ซีจิ่วกลับเข้าไปในรถม้า ก็ไม่คุยกับเขาอีกเลย ดูเหมือนจะนั่งสมาธิพักผ่อนไปแล้ว
อันที่จริงเธอลอบขันตัวเอง หลงผิดจนสงสัยผู้อื่นส่งเดชไปเสียแล้ว เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าเด็กคนนี้ก็คือคนสองบุคลิก ทว่าเป็นเพราะคล้ายคลึงกันอยู่บ้างเธอจึงสงสัยอยู่เสมอว่าเขาคือตี้ฝูอีปลอมตัวมา
ถ้าหากเป็นตี้ฝูอี บนข้อมือของเขาก็น่าจะมีกำไลคู่บุพเพวงนั้นกระมัง?! แถมกำลังวงนั้นยังถอดออกไม่ได้ด้วย
แต่เมื่อกี้เธอสังเกตอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีอยู่เลย
เอาล่ะ กู้ซีจิ่ว หยุดไว้แค่นี้แหละ! ไม่ต้องสงสัยเทพเซียนผีสางอะไรแล้ว!
เธอสูดลมหายใจเข้านิดๆ เปลี่ยนความคิดไป เริ่มใคร่ครวญถึงตนต้นของภัยพิบัติครั้งนี้
จักรพรรดิซวนถูกสารเคมีควบคุมอารมณ์ นั่นมิใช่การยืนยันหรอกหรือว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคนนั้นก็คือบิดาราคาถูกของหลงซี นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้น…หลงฟั่น?
ตอนแรกเป้าหมายของเขาคือตี้ฝูอี ตอนนี้เขาเขามีจุดประสงค์อะไรถึงควบคุมจักรพรรดิซวนให้ก่อสงครามขึ้น?
นิ้วกู้ซีจิ่วเคาะตั่งนั่งใต้ร่างเบาๆ ตามจิตใต้สำนึก นึกถึงหุ่นตายชุดเขียวที่ถูกควบคุมด้วยเสียงขลุ่ยเหล่านั้น…
หัวใจเต้นแรงขึ้นมาในทันใด!
ภายหลังหุ่นตายชุดเขียวเหล่านั้นได้รับการพิสูจน์แล้ว่าเป็นนายพรานกลุ่มหนึ่ง แถมนายพรานเหล่านั้นยังเป็นศพที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยในการสังหารล้างเมืองเหล่านั้น…
ยามนั้นตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งในเขตชายแดนของอาณาจักรเฟยถูกสังหารล้างบางในชั่วข้ามคืน มีพยานหนีรอดมาแจ้งความได้เพียงชีวิตเดียว
ตำบลเล็กๆ แห่งนั้นเดิมทีเป็นครอบครัวนายพรานรวมกลุ่มกันจนกลายเป็นตำบล แต่ละคนล้วนองอาจห้าวหาญชำนาญการต่อสู้ ทว่าน่าประหลาดที่ถูกสังหารล้างบางได้ภายในชั่วข้ามคืน แม้แต่ศพก็ไม่หลงเหลืออยู่เลยสักร่าง มองเห็นเพียงโลหิตที่เจิ่งนองบนท้องถนนเท่านั้น…
จักรพรรดิซวนยังเคยส่งกู้เซี่ยเทียนกับหรงเช่อไปตรวจสอบอยู่เลย ร่ำลือกันว่าทัพเล็กของกู้เซี่ยเทียนและหรงเช่อหายตัวไปกว่าสิบวัน ต่อมาโชคดีที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นอีกรั้ง หลังจากกลับถึงเมืองหลวงก็รายงานต่อจักรพรรดิซวนว่าหลงทางอยู่ในหุบเขาใหญ่…
ตอนนั้นกู้ซีจิ่วก็เคยได้ยินเรื่องนี้แล้ว เพียงแต่ยามที่เธอทราบข่าวอย่างสมบูรณ์ พวกกู้เซี่ยเทียนกลับถึงเมืองหลวงแล้ว
และศพของนายพรานที่หายไปเหล่านั้นก็มีบทลงเอยคือ ทั้งหมดได้กลายเป็นหุ่นชุดเขียวที่เข้าโจมตีสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์…
การจู่โจมสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ในครานั้น ทำให้หุ่นตายชุดเขียวทั้งหมดหล่นลงสู่ลาวา แม้แต่หุ่นเชิดชุดม่วงที่เป็นร่างสถิตของหลงฟั่นก็ไม่เว้น
เธอยังนึกอยู่เลยว่าสรุปแล้วหลงฟั่นตายอย่างสมบูรณ์แล้วแต่ตี้ฝูอีบอกว่าหลงฟั่นฝึกฝนถึงขั้นทารกก่อกำเนิดอะไรสักอย่างแล้ว น่าจะไม่ตาย ตอนนั้นเธอยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ ทว่าตอนนี้กลับเชื่อสนิทใจแล้ว!
สงครามครั้งนี้หลงฟั่นที่บงการอยู่เบื้องหลังเป็นผู้ก่อขึ้นมา!
ยังจะมีอะไรที่ทำให้ผู้คนล้มตายได้มากกว่าการทำสงครามอีกเล่า? ง่ายดายต่อการนำศพมาทำเป็นหุ่นตายยิ่งนักมิใช่หรือ?
ก่อนหน้านี้กำลังรบของหุ่นตายกว่าหนึ่งพันตัวนั้น ก็ทำให้คนปวดหัวยิ่งนักแล้ว ถ้าหากหลงฟั่นสร้างหุ่นออกมาเป็นกองทัพได้…
กู้ซีจิ่วไม่กล้าคิดต่อไปแล้ว!
กู้ซีจิ่วพยายามทำให้ตัวเองสงบลง ค่อยๆ วิเคราะห์อยู่ในสมอง
นับตั้งแต่ตำบลนายพรานเล็กๆ แห่นั้นถูกสังหารล้างบาง จนถึงช่วงที่หุ่นตายชุดเขียวบุกโจมตีสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เป็นระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือน กล่าวอีกอย่าง็คือ การทำคนตายให้กลายเป็นหุ่นเชิดก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน อย่างน้อยๆ ก็ครึ่งเดือน
สงครามที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะกินวลาอย่างน้อยครึ่งปี หากว่าหลงฟั่นที่อยู่เบื้องหลังลอบใช้ซกศพในสนามรบมาผลิตเป็นหุ่นตายโดยไม่ให้ผู้ใดทราบ เช่นนั้นก็จะผลิตได้ในปริมาณน้อย
————————————————————————————-
บทที่ 942 ได้แต่หวังว่าเธอจะเดาผิด!
อย่างไรก็ตามถึงแม้ในสนามรบจะมีคนตายมากมาย แต่หลังจบศึกทุกครั้ง ศัตรูทั้งสองฝ่ายล้วนจะคิดหาวิธีรวบรวมซากศพของไพร่พลฝ่ายตน และจะรวบรวมซากศพของไพร่พลฝ่ายศัตรูจากนั้นก็เขียนลงในรายงานทางการทัพ บอกว่าปราบศัตรูได้จำนวนสามหมื่นคนอะไรทำนองนั้นเพื่อส่งข่าวดีกลับอาณาจักรตน…
จากนั้นก็นำศพของทหารฝ่ายศัตรูไปหาที่เผาทำลายให้สิ้นซาก
ส่วนทหารผู้เสียสละของอาณาจักรตนเหล่านั้นจะจัดหาสถานที่แล้วจัดพิธีขึ้น จากนั้นก็เผาให้กลายเป็นเถ้ากระดูกทีละร่างๆ แล้วส่งกลับบ้านเกิด…
กล่าวกันว่าวิธีจัดการศพในสนามรบเช่นนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้กำหนดไว้ ไม่ว่าอาณาจักรใดล้วนฝ่าฝืนไม่ได้
เพียงแต่ เมื่อสงครามดำเนินเข้าสู่ช่วงที่ดุเดือด ทุกสนามรบล้วนมีผู้คนล้มตายเรือนพันเรือนหมื่น ซากศพไม่ว่าจะเผาหรือฝังล้วนต้องสิ้นเปลืองกำลังคนอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงมีผู้ที่แอบละเลยเป็นประจำ ซากศพของทหารที่สิ้นชีพในสนามรบเหล่านั้นต่อให้หายไปสักสามสิบห้าสิบร่างก็ไม่มีผู้ใดมองออก…
กู้ซีจิ่วได้ตรวจสอบรายงานทางการทัพของจักรพรรดิซวนดูแล้วเช่นกัน กว่าครึ่งปีมานี้ทัพของอาณาจักนเฟยซิงยังคงชนะมากครั้งแพ้น้อยครั้ง สังหารฝ่ายศัตรูไปทั้งหมดหนึ่งแสนสองหมื่นสามพันแปดร้อยเจ็ดสิบคน ทางด้านอาณาจักรเฟยซิงมีผู้สละชีพไปแล้วห้าหมื่นหกพันสามร้อยห้าสิบสองคน…
แน่นอนว่านี่เป็นสถิติของทางภาครัฐทั้งสิ้น ความจริงน่าจะยังมีอีกมาก
ศพเหล่านี้ส่วนใหญ่เผาเป็นเถ้าไปแล้ว แต่ถ้าหากในสงครามแต่ละครั้งศพเหล่านี้คราวละหลายสิบร่างหรือแม้กระทั่งหลักร้อยร่างทุกครั้ง ย่อมไม่มีทางตรวจสอบได้…
หุ่นตายไม่กี่พันตัวไม่อาจก่อภัยพิบัติถึงขั้นโลกาวินาศได้ เพียงแต่ถ้าหากทหารที่รับผิดชอบการเผาศพศัตรูถูกควบคุมไว้โดยหลงฟั่น เช่นนั้นจำนวนศพที่เป็นไปได้ว่าจะถูกนำไปสร้างเป็นหุ่นตายในครั้งนี้เกรงว่าจะน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก!
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ทั่วร่างกู้ซีจิ่วก็หลั่งหยาดเหงื่อเย็นเฉียบออกมาทันที!
ได้แต่หวังว่าเธอจะเดาผิด!
รถม้าเคลื่อตัวอย่างรวดเร็ว เธอเลิกม่านขึ้นมองท้องฟ้าด้านนอก ย่ำสนธยาแล้ว ขอบฟ้าครึ่งหนึ่งถูกแสงตะวันรอนเผาจนแดงฉาน ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับเหลี่ยมฟ้าแล้ว ราวกับจะกลิ้งลงมาจากเขา ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบสุข
แต่ที่ขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง มวลเมฆหนาซ้อนเป็นชั้น กึ่งมืดกึ่งครึ้ม เห็นแววอัปมงคลเลือนราง ราวกับกำลังจะมีพายุโหมกระหน่ำมา
สถานที่แห่งนี้ห่างจากพื้นที่ทำสงครามของสองอาณาจักรไม่ไกล
ถึงอย่างไรก็เป็นสถานที่ที่เคยมีผู้คนล้มตายมากมายนัก อากาศของที่นี่จึงคล้ายจะหนาวยะเยือกกว่าที่อื่นมากนัก ลมเย็นกวาดพัดไปรอบด้าน แฝงเสียงหวีดหวิวดั่งเสียคร่ำครวญของภูตผี
จู่ๆ เธอก็สัมผัสถึงบางอย่างได้ พลันมองลงไปด้านล่าง
ด้านล่างคือทุ่งร้างผืนหนึ่ง ไม้ยืนต้นตาย หิมะขาวผ่อง เนินเขา ทุ่งหญ้ารกชัฏล้วนมองเห็นอยู่ลิบๆ มองเผินๆ จะไม่พบเห็นว่ามีอะไรผิดปกติ
แต่มุมหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของทุ่งหญ้ารกร้าง กลับดูไม่ค่อยถูกต้อง…
รถม้าคันนี้เดิมกำลังแล่นผ่านที่นี่ไปในชั่วพริบตา จู่ๆ กู้ซีจิ่วก้เอ่ยขึ้นว่า “หยุดก่อน!”
มู่เตี่ยนรั้งบังเหียนสิงโตเวหาตัวนั้นไว้ “มีอะไร?”
กู้ซีจิวกระโจนออกไปนอกรถม้าทันที ชี้ไปทางมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ “เจ้าเห็นสิ่งผิดปกติอันใดไหม?”
มู่เตี่ยนมองลงไปแวบหนึ่ง เห็นเพียงว่าตรงนั้นขาวโพลนไปหมด คล้ายจะมีหิมะทับถมกันหนายิ่ง เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถาม “สิ่งใดผิดปกติหรือ?”
กู้ซีจิ่วจึงกล่าวอธิบาย “เจ้าดูที่อื่นสิ มีไม้ยืนต้นตาย ทุ่งหญ้ารกร้าง โขดหินขรุขระ ประกอบอยู่ในทัศนียภาพ แต่ที่ตรงนั้นหิมะทับถมราบเรียบเสมอกันยิ่งนัก ไม่มีวัชพืชหรือโขดหินเลยสักนิด พื้นที่กว้างใหญ่นัก…”
มู่เตี่ยนมองอยู่หลายครา สะกิดใจขึ้นมานิดๆ ที่ตรงนั้นผิดปกติจริงๆ ด้วย! มองจากตำแหน่งภูมิประเทศแล้วไม่ควรจะราบเรียบถึงเพียงนี้ คล้ายวิธีอำพรางสายตาอย่างหนึ่ง!
เขาติดตามอยู่ข้างกายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาเนิ่นนานปี ความสามารถที่แท้จริงเหนือล้ำกว่าพวกหลงซือเย่เสียอีก ซ้ำยังมีประสบการณ์โชกโชน เขาลอบกระตุ้นพลังสายตาแล้วมองเข้าไป ถึงขั้นมองออกว่าตรงนั้นมีไอมารจางๆ แผ่ออกมาด้วย
เมื่อกี้เขาเกือบจะพลาดสถานที่ประหลาดที่ปกคลุมด้วยไอมารแห่งนี้ไปเสียแล้ว
————————————————————————————-