ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1291+1292
บทที่ 1291 นางเข้าไปไม่ได้หรอก!
ต้องทราบก่อนว่าครั้งก่อนตอนที่กู้ซีจิ่วตกอยู่ในกำมือของพวกเขา ดาวดวงน้อยที่เป็นตัวแทนของนางถูกแสงของดาวสองดวงนั้นกลบไว้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าถูกพวกเขาจับไว้
แต่หนนี้ดวงดาวที่เป็นตัวแทนของโม่เจ้ากับหลงฟั่นหม่นแสงยิ่งนัก ยืนยันได้ว่าครั้งนี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่ง ไม่อาจฟื้นฟูได้ภายในสิบปียี่สิบปี ย่อมไม่ควรค่าให้กังวล
หลงซือเย่ถูกประโยคนี้ของเขาทำให้โมโหไม่น้อย มีความคิดว่าอยากจะขว้างก้อนอิฐใส่เขาสักครา!
เพียงแต่ในเมื่อเขากล่าวมาอย่างมั่นใจถึงเพียงนี้ ก็น่าจะมีความแน่ใจอยู่
ขอเพียงเธอยังมีชีวิตอยู่ดี ไม่ตกอยู่ในกำมือของหลงฟั่นหรือว่าโม่เจ้าก็ดีแล้ว…
จู่ๆ เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา “หรือว่านางจะตกอยู่ในกำมือของผู้อื่น?! ถึงอย่างไรนางก็มีคู่แค้นอยู่ไม่น้อย ต่อให้มิใช่โม่เจ้ากับหลงฟั่นที่จับตัวนางไป แต่ยากจะรับประกันได้ว่าลูกน้องของพวกเจ้าจะไปจับนางไปเพื่อล้างแค้น…”
ตี้ฝูอีเม้มปากนิดๆ “ครั้งนี้ถึงแม้นางจะหายตัวไป แต่มิได้มีอันตราย ถมยังมีความเป็นอยู่ดียิ่ง ร่มเย็นนัก” เรื่องเหล่านี้สามารถมองเห็นผ่านดวงดาวได้
เมื่อหลงซือเย่ได้ยินวาจานี้ก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง ขอเพียงเธอมีชีวิตอยู่ดี แบบนั้นก็ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าสิ่งใดแล้ว
ทุกอย่างล้วนต้องหาเธอให้เจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เขาซักถามอีกว่าตี้ฝูอีเคยไปค้นหาที่ไหนมาแล้วบ้าง ตี้ฝูอีก็ไม่ปิดบังเขา เล่าออกมารอบหนึ่ง
หลงซือเย่เงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าบอกว่าร่องรอยของนางหายไปในป่าทมิฬหรือ? ถ้ายอดเขาที่เจ็ดไล่ลงมาล้วนเคยค้นหาหมดแล้ว เหตุใดไม่ไปค้นหาที่ยอดเขาที่แปดดูล่ะ? ไม่แน่นางอาจจะจับผลัดจับผลูทะลุเข้าไปในนั้นก็ได้นะ?”
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “นางเข้าไปไม่ได้หรอก!”
หลงซือเย่เลิกคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”
ตี้ฝูอีมองเขาอย่างเยียบเย็น “หลงซือเย่ หลายปีมานี้เจ้าเคยบุกไปยังยอดเขาที่แปดเก้าครั้งแล้วใช่หรือไม่?”
หลงซือเย่ตะลึงงัน เอ่ยอย่างประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้ยังไง?” เขาเคยสนใจใคร่รู้ในยอดเขาที่แปดมาก่อนจริงๆ คิดจะบุกเข้าไปดูเสียหน่อย แต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สั่งห้ามเอาไว้ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าสู่ยอดเขาที่แปด ดังนั้นที่เขาบุกไปหลายครั้งนั้นล้วนเป็นการแอบไป แม้แต่ศิษย์ในสำนักยังไม่เคยรู้เลย
แล้วตี้ฝูอีไปรู้มาจากไหน? ซ้ำยังรู้แจ่มแจ้งถึงเพียงนี้ด้วย!
ตี้ฝูอีได้ตอบคำถามเขา ย้อนถามต่ออีก “การบุกเข้าไปเก้าครั้งนี้ของเจ้าบุกไปในทิศทางที่ต่างกันออกไป แล้วเข้าไปได้หรือไม่?”
หลงซือเย่เงียบงัน ยามนั้นเพื่อที่จะบุกเข้าไปแม้แต่ผังทิศทางแปดทิศเขาล้วนลองดูแล้ว แม้แต่ด้านบนเขาก็ไม่ปล่อยผ่านเช่นกัน ผลคือสถานที่แห่งนั้นยังคงเสมือนแผ่นเหล็ก แม้กระทั่งซอกหลือบสักซอกเขาก็แงะให้เปิดออกไม่ได้
ด้วยฝีมือเช่นนี้ของเขายังไม่อาจบุกเข้าไปได้ นับประสาอะไรกับกู้ซีจิ่วเล่า…
เขตแดนของยอดเขาที่แปดร่ำลือกันว่าในยุครุ่งเรืองเมื่อหลายพันปีก่อนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ร่วมมือกับยอดฝีมือคนอื่นๆ ติดตั้งเอาไว้ กล่าวกันว่าได้ผนึกสัตว์มารที่ดุร้ายที่สุดของทวีปนี้ไว้บางส่วน หากปล่อยออกมาจะก่อภัยพิบัติแก่ทั้งใต้หล้าได้ ดังนั้นเขตแดนของที่นั่นจึงแข็งแกร่งยิ่งนัก ต่อให้เป้นยอดฝีมือที่ทรงพลังทำลายล้างโลกได้ก็ไม่อาจทลายที่นั่นให้แตกได้ นอกเสียจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะลงมือด้วยตัวเอง…
เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับยอดเขาที่แปด ยามนั้นหลงซือเย่ยังอายุน้อยเลือดร้อนจึงลอบบุกไปอยู่หลายครั้ง หลังจากบุกเข้าไปจากทุกทิศทางแล้วก็ยังล้มเหลวอยู่ในที่สุดจึงถอดใจไม่ไปอีกเลย
เขานึกว่าเขากระทำการได้อย่างเทพไม่รู้ผีไม่เห็นแล้ว บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดทราบเรื่อง นึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีจะทราบแจ่มแจ้งถึงเพียงนี้!
เขามองตี้ฝูอีอย่างแคลงใจ น้ำเสียงของตี้ฝูเยือกเย็น “ไม่จำเป็นต้องสงสัย ผู้ใดบุกเข้าไปที่นั่นข้าล้วนสัมผัสได้ทั้งสิ้น”
กล่าวอีกนัยคือ หากว่ากู้ซีจิ่วพลัดหลงเข้าไปในยอดเขาที่แปด ตี้ฝูอีก็สามารถสัมผัสรับรู้ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้แต่หลงซือเย่เองก็นึกไม่ออกแล้วว่าที่แท้กู้ซีจิ่วไปหลบอยู่ที่ไหนกันแน่
หรือว่ากู้ซีจิ่วจะพบสถานที่ที่เหมือนกับตำหนักใต้ลาวาเข้าโดยบังเอิญแล้วเข้าไปหลบซ่อน?
ยามที่หลงซือเย่จะจากไป ตี้ฝูอีได้เอ่ยกำชับเขาสองสามประโยค
————————————————————————————-
บทที่ 1292 แต่กลับโดนเธอเท…
ยามที่หลงซือเย่จะจากไป ตี้ฝูอีได้เอ่ยกำชับเขาสองสามประโยค ข้อหนึ่งคือห้ามเผยแพร่ข่าวที่กู้ซีจิ่วหายตัวไป กันไม่ให้คนมีจิตคิดไม่ซื่อได้ยินแล้วไปลอบปองร้ายนาง แม้แต่กู้เซี่ยเทียนก็ห้ามบอก
หลงซือเย่ปวดหัวยิ่งนัก “กู้เซี่ยเทียนยังคงรออยู่ข้างนอก เจ้าควรให้คำอธิบายสักอย่างแก่เขานะ”
ตี้ฝูอีกล่าวเรียบๆ ว่า “บอกไปว่าข้าอับอายที่ถูกถอนหมั้นจนโมโห ส่งนางไปฝึกฝน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง วันหน้าพวกเขาสองพ่อลูกยังมีโอกาสได้พบกันอยู่ ให้เขาใช้ชีวิตดีๆ”
หลงซือเย่ตะลึง
เขารู้สึกได้ว่าในประโยคนี้ของตี้ฝูอีคล้ายจะแฝงความลับสวรรค์ไว้ ทว่านึกไม่ออกชั่วขณะว่าเป็นความลับอะไร นิ่งไปครู่หนึ่ง จู่ๆก็แอ่ยขึ้นมา “ซีจิ่วเป็นดวงวิญญาณจากยุคปัจจุบัน ร่างกายในยามนี้เป็นร่างโคลนนิ่ง ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่เกี่ยวข้องกับกู้เซี่ยเทียนสักนิดเลยมิใช่หรือ? เขาไม่สมควรได้เป็นบิดาของนาง…”
ตี้ฝูอีกล่าวตอบ “นางเป็นบุตรสาวของเขา ข้อนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
หลงซือเย่ใจเต้นแวบหนึ่ง “ความหมายของเจ้าคือเดิมทีซีจิ่วก็เป็นบุตรสาวแม่ทัพที่ไร้ค่าคนนั้นอยู่แล้วงั้นหรือ? มิได้ง่ายดายเพียงยืมร่างคืนวิญญาณใช่หรือไม่? ไม่ถูกสิ นางเป็นคนยุคปัจจุบัน นางทะลุมิติมาเหมือนข้าชัดๆ…”
ตี้ฝูอีกลับไม่คิดจะพูดต่อแล้ว เอ่ยถามเพียงประโยคเดียว “เจ้ายังไม่ไสหัวไปอีกหรือ?”
….
ถึงแม้ว่าคืนนี้กู้ซีจิ่วจะดื่มจนเมามาย แต่เธอก็ไม่ได้เมาแล้วอาละวาด หลังจากกลับถึงเรือนตน ล้มตัวลงบนเตียง้ผล็อยหลับไป ตอนที่หลับไปนี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นยามอะไรแล้ว
บางทีอาจเป็นเพราะคืนนี้สมควรเป็นคืนเข้าหอของตน ดังนั้นกลางวันคิดคำนึง กลางคืนจึงใฝ่ฝันหา เธอฝันว่าได้กลับไปที่วังค้ำนภาอีกครั้ง
เธอมองเห็นบ่าวไพร่เช่นที่ผ่านมา มอเห็นตำหนักที่ค่อนข้างเปลี่ยวร้างอยู่บ้าง
ตอนเธอจากไป ตำหนักพวกนี้เริ่มปรับปรุงตกแต่งแล้ว ประดับประดาผ้าไหมแดง มองปราดเดียวว่าจะจัดงานมงคลอย่างยิ่งใหญ่
แต่เมื่อเธอกลับมาหนนี้พบว่าข้าวของที่แสดงถึงความเป็นมงคลพวกนั้นหายไปแล้ว อาคารกลับสู่สภาพเดิมอย่างที่เคยเป็น
บ่าวไพร่ก็เดินเหินกันเบายิ่งนัก ราวกับเกรงว่าจะทำให้ผู้ใดตกใจหรือว่าไปยั่วยุผู้ใดเข้า พูดคุยกันก็กระซิบกระซาบเอาเช่นกัน
เนื่องจากคนเหล่านี้มองไม่เห็นเธอ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงติดตามพวกเขาไปสักครู่หนึ่ง ได้ยินว่าพิธีวิวาห์ถูกยกเลิกอย่างที่คาดไว้จริงๆ…
คนเหล่านี้ย่อมรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเจ้านายของบ้านตน ถ้อยคำยามที่กล่าวถึงกู้ซีจิ่วจึงแฝงความคับข้องใจเอาไว้บางส่วน บอกว่าเป็นเพราะเธอจงใจหนีงานแต่ง ทำให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต้องขายหน้า ส่วนท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ยังคงปรารถนาดีต่อนาง ไม่ได้พูดเรื่องที่เธอหนีงานแต่งไป…
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ได้ยินถ้อยคำที่มู่เฟิงแถลงบนแท่นเบิกสวรรค์ และทราบความจริงบางส่วนมากกว่าคนนอก ในวาจาจึงแฝงความเป็นธรรมไว้ยิ่งนัก
จากนั้นก็กล่าวว่าหลายวันมานี้เพื่อตามหาเธอแล้วท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอดหลับอดนอนมาหลายคืนแล้ว ค้นหาจนแทบพลิกฟ้าพลิกดิน ผลคือยังคงคว้าน้ำเหลวเช่นเดิม ความกระทบกระเทือนเช่นนี้เห็นชัดว่าส่งผลต่อท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่งนัก ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่สง่างามอิสระเสรีเสมอมาซูบผอมลงไม่น้อยเลย…
คนเหล่านี้คุยกันอยู่ตรงนี้ ส่วนกู้ซีจิ่วก็ฟังอยู่ด้านข้าง ในที่สุดก็ทราบว่าตี้ฝูอีประกาศยกเลิกงานแต่งในวันวิวาห์…
ดูเหมือนเขาจะอับจนหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้ประกาศเรื่องนี้
กู้ซีจิ่วขบเม้มริมฝีปากบางเบาๆ เธอรู้ว่าเขาจะตามหาเธอ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะหาจนถึงวันสุดท้ายถึงค่อยประกาศเรื่องนี้ ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะตามหาอย่าคลั่งถึงเพียงนี้
เธอรู้ว่าเขารักเธอ เพียงความรักนี้เสมือนการชดเชย ทำให้เธอทุกข์ใจเหมือนมีหนามยอกหลังอยู่
เขาจะเป็นทุกข์มากไหมนะ?
ถึงอย่างไรเขาก็จัดเตรียมงานวิวาห์อย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่กลับโดนเธอเท…
เธอหลับตาลงเล็กน้อย สะกดกลั้นอารมณ์ที่สับสนวุ่นวาย ได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วขึ้นเบาๆ ที่ด้านหน้า เธอจึงเงยหน้าขึ้น ได้เห็นมู่เฟิงกับหลงซือเย่เดินออกมาจากโถงใหญ่
————————————————————————————-