ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1367+1368
บทที่ 1367 ข้าสนับสนุนเจ้าเต็มที่!
กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไรอีก เธอนั่งอยู่ตรงนั้นเริ่มขบคิดถึงเรื่องที่เป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นรวมถึงวิธีรับมือ
ตี้ฝูอีก็ไม่รบกวนเธอ เพียงโอบกอดเธอไว้…
….
ยามที่ป่าวประกาศข่าวนี้ ย่อมก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้น ทึ่มทื่อกันไปหมดแทบทุกคน! จากนั้นก็แตกฮือ!
ยามนั้นตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วยืนอยู่ใจกลางโถงหารือ รอให้พวกเขาย่อยข้อมูลข่าวนี้อย่างอดทน ยามที่เสียงจ้อกแจ้กเซ็งแซ่เงียบลง กู้ซีจิ่วจึงเปิดปากเอ่ยอีกครั้ง “ในบรรดาพวกเจ้าข้าสามารถพาออกไปได้เจ็ดคน ต้องกล่าวก่อนว่า เงื่อนไขคือทั้งเจ็ดคนนี้ต้องบรรลุถึงขั้นเก้า และทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ ยังมีอีก คนที่ข้าจะพาออกไปต้องดูที่ความประพฤติด้วย หากว่าความประพฤติแย่เกินไปต่อให้ฝึกฝนจนบรรลุขั้นสิบ ข้าก็ไม่พาไป! ในระหว่างนี้พวกเจ้าสามารถแข่งขันประชันยุทธ์กันได้ สามารถแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมได้ แต่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดก็ตามใช้อุบายทำร้ายผู้อื่นลับหลัง หากข้าพบเข้า ไม่เพียงแต่จะไม่พาออกไป ยังจะขับไล่ออกไปจากที่นี่ด้วย…ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็อยู่ที่นี่ เขาคือประจักษ์พยาน!”
ภายในห้องโถงเงียบสงัดลง คนที่ค่อนข้างคิดไม่ซื่อเหล่านั้นถูกวาจาประโยคนี้ของกู้ซีจิ่วสะกดไว้ ไม่กล้าเกิด ‘ความคิดไม่ซื่อ’ เหล่านั้นออกมาแล้ว
ถึงอย่างไรท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ก็เป็นบุคคลที่มีความสามารถเลิศล้ำ ถ้าเกิดเล่นลูกไม้ใต้จมูกเขาล่ะก็…
เกรงว่าจะต้องตายอนาถยิ่งนัก!
ตี้ฝูอีมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง ส่งกระแสเสียงหานาง ‘อันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องตัดทางถอยในการสู้กันอย่างไม่โปร่งใสของพวกเขาเลย สมควรให้พวกเขาทุ่มเทกันสุดความสามารถถึงจะถูก’
‘ทำไมล่ะ?’ กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจ หรือว่าเขาอยากเห็นพี่น้องผัวเมียเหล่านี้ประหัตประหารกัน?
‘คนเหล่านี้อยู่ที่นี่อย่างสงบสุขมาเนิ่นนานเกินไป ถ้าออกจากที่นี่ได้จริงเกรงว่าจะรับมือกับการต่อสู้อันดุเดือดของโลกภายนอกไม่ไหว…’ รูปการณ์ของโลกภายนอกนั้นมากเล่ห์กลับกลอก จิตใจมนุษย์ไม่อาจคาดคะเนได้ และคนเหล่านี้สามารถออกไปได้ยามที่บรรลุขั้นเก้า พลังวิญญาณย่อมเพียงพอแล้ว แต่ที่โลกภายนอกหากต้องการสร้างชื่อระบือนามอย่างสมบูรณ์ มิใช่อาศัยแค่พลังวิญญาณแล้วจะทำได้ ความสูงต่ำของพลังวิญญาณเป็นเพียงตัวช่วย สิ่งที่จะทำให้พวกเขาสามารถก้าขึ้นสู่จุดสูงสุดได้คือกลยุทธ์และมันสมอง…
แต่กลยุทธ์และมันสมองก็ต้องได้รับการหล่อหลอมจากสภาพแวดล้อมอันโหดเหี้ยมเจ้าหลอกข้าข้าหลอกเจ้าซ้ำไปซ้ำมา
ทว่าสถานที่แห่งนี้กลับคล้ายแดนสุขาวดี วันคืนของผู้คนคือฟ้าสางก็ออกทำงานพลบค่ำก็เข้านอน การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกับสัตว์ร้าย ระหว่างผู้คนยังคงรักใคร่กลมเกลียวกันเสมอมา…
ความกังวลของตี้ฝูอีมีเหตุผลยิ่งนักกู้ซีจิ่วย่อมเข้าใจได้เช่นกัน เพียงแต่เธอก็มีแผนการของเธอเอง ‘การเติบโตสมควรเติบโตไปตามธรรมชาติ ต่อให้พวกเขาจะเสียเปรียบหลายที่โลกภายนอกแต่ก็สามารถเรียนรู้เป็นบทเรียนได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขาเป็นวรยุทธ์ หลังจากออกไปได้แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือผู้เลิศล้ำ คนที่สามารถทำให้พวกเขาเสียเปรียบได้มีอยู่ไม่มาก แต่หากว่ายามนี้ให้ต่อสู้กันเองในหมู่พวกเขาขึ้นมา จะต้องวุ่นวายยิ่งนักเป็นแน่ วิถีชีวิตตามกิจวัตรทุกอย่างจะถูกทำลาย หากว่าในระยะไม่กี่ปีนี้แต่ละคนต่างแฝงเร้นเจตนาร้ายเอาไว้ จะต้องแยกแยกขาดความสามัคคีเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นอาจไม่ต้องรอให้ฝึกฝนจนถึงขั้นเก้า ก็ถูกสัตว์ร้ายถล่มแล้ว…จอมยุทธ์ด้านนอกล้วนเย่อหยิ่งหัวรั้น ชอบเดินทางเพียงลำพัง แต่คนเหล่านี้กลับเคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา หลังจากออกไปได้จะกลายเป็นเกลียวเชือกที่ไม่อาจสะบั้นได้ เมื่อใจคนรวมเป็นหนึ่ง แม้แต่เขาไท่ซานก็เคลื่อนได้ ยังไม่แน่ว่าพวกเขาจะเสียเปรียบมากนัก’
ตี้ฝูอีหลุบตามองนาง ที่นางว่ามาก็มีเหตุผลจริงๆ ถึงแม้แนวทางการจัดการคนของนางจะแตกต่างกับเขา แต่ก็ยังคงเป็นวิถีทางอย่างหนึ่ง
เขายิ้มนิดๆ “ได้ เจ้าคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ข้าสนับสนุนเจ้าเต็มที่!”
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะเอ่ยวาจาออกมาที่นี่ แต่เรื่องนี้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงแก่ทุกคนจริงๆ หลายวันมานี้จิตใจของคนบางส่วนกระสับกระส่าย ภายใต้ฉากหน้าอันเงียบสงบมีคลื่นใต้น้ำกำลังปั่นป่วน
————————————————————————————-
บทที่ 1368 นี่คงมิใช่ลิขิตสวรรค์อีกกระมัง
และกู้ซีจิ่วพูดจริงทำจริง เมื่อมีคนฝ่าฝืนกฎที่เธอบอกไว้ ลอบใช้อุบายลับหลัง เธอก็ลงโทษอย่างหนักหนาไม่ผ่อนปรน…
สำหรับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่มองเล่ห์กลทุกอย่างออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วนี่เสมือนวิธีการของเด็กน้อย ไม่คู่ควรให้มองเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นหลังจากมีคนผู้หนึ่งใช้เล่ห์เหลี่ยมแล้วถูกตี้ฝูอีควานตัวออกมาได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าคนผู้นี้จะคุกเข่าขอความเมตตาอย่างไร กู้ซีจิ่วก็ไม่ลดราวาศอก ตัดสินโทษทัณฑ์ ขับไล่ไปใช้ชีวิตตามยถากรรมที่ภูเขาด้านหลัง…
บทลงโทษนี้ย่อมเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูที่ได้ผลอย่างยิ่ง สั่นสะเทือนคนเหล่านั้นได้ไม่น้อย อีกอย่างกู้ซีจิ่วก็เอ่ยไปว่า ถ้าพวกเขาสู้กันทางในทางลับทางแจ้ง มีความเป็นไปได้ยิ่งนักที่สุดท้ายจะเสียหายกันทั้งสองฝ่าย หลังจากทั้งเก้าคนออกไปแล้ว คนที่อยู่ด้านในก็เหลือเพียงไม่กี่คน ไม่มีทางดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ยามนี้มิสู้ทุกคนทุ่มเทความคิดจิตใจไปกับการฝึกฝนวรยุทธ์ดีกว่า เช่นนี้สหายก็ยังเป็นสหาย ต่อให้มีคนออกไปแล้ว เช่นนั้นก็ยังเหลืออยู่อีกยี่สิบสามสิบคน สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นที่พำนักพักพิงของพวกเขาได้
ส่วนลิขิตสวรรค์ที่ตี้ฝูอีตีความออกมาไม่แน่ว่าอาจตีความแบบอื่นได้อีก ยังไม่ถึงเวลาที่จะได้ออกไปจริงๆ ใครจะรู้ได้ว่ายังมีความหวังอื่นอยู่อีกหรือไม่?
เห็นได้ชัดว่าวาจาสุดท้ายนี้สั่นสะเทือนจิตใจของทุกคน ได้สติกลับมาดั่งตื่นจากฝัน!
กู้ซีจิ่วพูดถูก ทุกคนต่อสู้กันอย่างยุติธรรม ถึงแม้การออกไปได้จะเป็นเรื่องดี แต่การรั้งอยู่ก็มิได้เลวร้ายเกินไป อย่างน้อยก็ยังรักษาวิถีชีวิตแบบเดิมต่อไปได้
เมื่อถึงยามนี้ ทุกคนถึงคลายปมในใจลงได้ในที่สุด เริ่มทุ่มเทฝึกฝนวรยุทธ์อย่างสุดชีวิต
ส่วนกู้ซีจิ่วก็ทุ่มเทฝึกฝนวรยุทธ์สุดกำลังเช่นกัน และฝึกฝนทักษะการหลอมโอสถด้วย ความหวังที่ทุกคนจะบรรลุสู่ขั้นเก้าล้วนขึ้นอยู่กับโอสถที่เธอหลอมทั้งสิ้น ย่อมสะเพร่าเลินเล่อมิได้
อันที่จริงกู้ซีจิ่วอยากอู้ยิ่งนัก เธอเคยสอบถามคนผู้นั้นเป็นการส่วนตัว “ผู้อื่นอาจไม่ทราบแต่ท่านปิดบังข้าไม่ได้หรอก วิชาหลอมโอสถของท่านก็สูงส่งพอกระมัง? ยามนี้ท่านน่าจะสามารถหลอมโอสถที่ทุกคนต้องการออกมาได้แล้ว มิสู้ให้ข้าทุ่มเทฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเดียว ส่วนเรื่องหลอมโอสถก็พักไว้ก่อนดีหรือไม่?”
คนผู้นั้นไม่หลงกล “ซีจิ่ว ครั้งนี้ต้องพึ่งเจ้าทั้งหมด บทบาทของข้าเป็นเพียงการช่วยเหลือเกื้อกูล อย่างเช่นเคี่ยวเข็ญให้เจ้าฝึกฝนวรยุทธ์ ชี้เจ้าเรื่องการหลอมโอสถ อย่างอื่นข้าไม่อาจข้องเกี่ยวได้”
กู้ซีจิ่วปวดหัวแล้ว “แต่แบบนี้ข้าเหนื่อยมากเลย ข้ารู้สึกว่าเวลาของข้ามีไม่ค่อยพอ…” ดึงแขนเขาไว้อย่างออดอ้อนออเซาะ “สามีของผู้อื่นล้วนทะนุถนอมเอ็นดูยิ่งนัก ล้วนกางปีกปกป้องภรรยาของตนเลี่ยงมิให้นางเหนื่อยล้าบาดเจ็บ ท่านช่วยแบ่งเบาภาระข้าบ้างสิ”
ตี้ฝูอีค่อนข้างชื่นชอบการออดอ้อนเช่นนี้ของเธอ ปกติแล้วออเซาะเสียหน่อยเขาก็ยอมจำนนแล้ว แต่ครั้งนี้กลับคล้ายว่าประสบปัญหาด้านอุดมการณ์ของเขาเข้าแล้ว ไม่ยอมผ่อนปรนเลยสักนิด
กู้ซีจิ่วออดอ้อนเขาอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่เป็นผล สุดท้ายจึงเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “นี่คงมิใช่ลิขิตสวรรค์อีกกระมัง?”
ตี้ฝูอีจุมพิตหน้าผากเธอ “ฉลาดมาก!”
ฉลาดกับหัวเจ้าสิ! กู้ซีจิ่วโมโหจนไม่สนใจเขาไปสามวัน
ทุกคนล้วนฝึกฝนวรยุทธ์กันอย่างไม่ลดละ ในบรรดานี้ยังคงเป็นหลัวจั่นอวี่ที่อยู่ว่างที่สุด ถึงอย่างไรเขาก็บรรลุขั้นเก้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทฝึกฝนอีกต่อไป ดังนั้นกิจธุระของที่นี่ยังคงเป็นเขาที่จัดการตามเดิม เป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งนัก
กาลเวลาผันผ่าน วันคืนเคลื่อนคล้อย
แปดปีดูเหมือนจะเนิ่นนานนัก แต่เมื่อยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดจึงไม่รู้สึกว่าเชื่องช้าเท่าไหร่ ถึงขั้นที่รู้สึกว่ารวดเร็วยิ่งนักด้วยซ้ำ
กู้ซีจิ่งยุ่งหัวหมุนอยู่ตลอด หลอมโอสถเอย ฝึกวรยุทธ์เอย บำเพ็ญคู่เอย ถึงขั้นที่ยังต้องร่ำเรียนการจัดการข้อราชการงานบริหารบางส่วนที่ตี้ฝูอีถ่ายทอดให้เธอด้วย
แน่นอนว่าหน้าที่สุดท้ายนี้ตี้ฝูอีเพิ่มให้เธอในภายหลัง นั่นเป็นช่วงต้นปีที่หก ทักษะการหลอมโอสถของเธอในที่สุดก็บรรลุขั้นแปดแล้ว สามารถหลอมลูกกลอนที่ต้องการได้ง่ายดายนัก
ขณะที่เธอกำลังปีติยินดีว่าในที่สุดภาระหน้าที่ก็ลดลงอย่างหนึ่ง สามารถพักหายใจได้แล้ว ตี้ฝูอีก็ลากเธอมาเรียนรู้การจัดการข้อราชการงานบริหาร
————————————————————————————-