ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1604+1605
บทที่ 1604 พบกันอีกครา 5
หายไปเป็นเวลาหลายเดือนถึงขั้นหลายปีเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้สร้างผลดีให้แก่ประชาชนเท่าไหร่เลยจริงๆ ดังนั้นช่วงนี้บารมีของเขาจึงลดลงไม่น้อยเลย
ส่วนกู้ซีจิ่วระยะนี้กลับโดดเด่นยิ่งนัก ล้มล้างทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมได้ ส่งวิญญาณแค้นสู่สุขคติ ช่วยรักษาจักรพรรดิหรงเจียหลัว ประชาชนเดือดร้อนขอความช่วยเหลือนางก็ตอบรับแทบทุกครั้ง ช่วยบรรเทาทุกข์ให้ราษฎร…
ในใจประชาชนต่างก็มีตาชั่งของตนอยู่ ย่อมเคารพกู้ซีจิ่วขึ้นเรื่อย เทิดทูนบูชาขึ้นเรื่อยๆ ในใจของปวงประชา บารมีของเธอก้าวล้ำทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปรางๆ แล้ว ดังนั้นเมื่อเธอถูกปูนบำเหน็จให้เป็นทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินจึงตรงใจของปวงประชา เป็นไปตามเจตจำนง
เมื่อกู้ซีจิ่วขึ้นดำรงตำแหน่งทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน หลังจากที่เหล่าสหายของเธอได้ยินข่าว ก็พากันมาแสดงความยินดีกลุ่มแรกคือสหายที่เธอพาออกมาจากเขตหวงห้ามเหล่านั้น ต่อมาก็เป็นสหายในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ จากนั้นก็เป็นสานุศิษย์สวรรค์คนอื่นๆ แม้แต่หลานเหยากวงประมุขของเผ่าเงือกก็มาด้วยตัวเอง…
จวนทูตสวรรค์ที่เพิ่งสร้างใหม่ของกู้ซีจิ่วคึกคักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนต่อเนื่องกันถึงสามวัน แขกเหรื่อล้นประตู รถม้าเต็มท้องถนน
กู้เซี่ยเทียนย่อมรีบกลับมาด้วยเช่นกัน เขาเป็นแม่ทัพที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงขุนนาง เป็นธรรมดาที่จะรับมือกับแขกเหรื่อเหล่านี้ได้เชี่ยวชาญยิ่งนัก ไม่ทำให้จวนทูตสวรรค์ต้องขายหน้า
ไม่น่าเชื่อว่าหลัวซิงหลานก็พาบุตรชายทั้งสองมาปรากฏตัวเช่นกัน ถึงแม้จะยังคงไม่ไยดีกู้เซี่ยเทียนสักเท่าใดอยู่เหมือนเคย แต่นางยังคงรับหน้าที่ดูแลจัดการภายในจวน จัดการกิจการภายในแทนกู้ซีจิ่ว
ไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่มา นางยังพาศิษย์คนอื่นๆ ในพรรคของนางมาด้วย ศิษย์เหล่านี้จงรักภักดีต่อหลัวซิงหลาน ย่อมภักดีต่อคุณหนูใหญ่อย่างกู้ซีจิ่วยิ่งนักเช่นกัน ดังนั้นจวนทูตสวรรค์ของกู้ซีจิ่วถึงแม้สถาปนาขึ้นมาอย่างเร่งด่วนยิ่งนัก แต่กลับไม่วุ่นวายเลยสักนิด เรื่องราวทุกอย่างล้วนถูกจัดการอย่างเป็นระบบแบบแผน เป็นระเบียบเรียบร้อย
ส่วนหลัวจั่นอวี่ก็พำนักอยู่ในจวนของกู้ซีจิ่วตลอดสามวัน อยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ที่ออกมาจากเขตหวงห้ามด้วยกัน รับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว
กู้ซีจิ่วเป็นตัวละครหลัก แต่กลับไม่ยุ่งสักเท่าไหร่ เธอแค่รับผิดชอบพบปะแขกเหรื่อที่มาแสดงความยินดีก็พอแล้ว หากว่าไม่อยากพบ เธอก็สามารถปัดหน้าที่ได้ ให้พวกกู้เซี่ยเทียนมารับรองแทน
บางทีหรงเจียหลัวอาจมีเจตนาจะอวยตำแหน่งกู้ซีจิ่วให้สูงส่ง จวนทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินของกู้ซีจิ่วจึงใหญ่โต หรูหราอลังการกว่าจวนของทูตสวรรค์ซ้ายขวา
ชายคาเชิดงอนมีคานรอง หลังคาทอดยาวจรดฟ้า
สะพานน้อยเหนือสายธาร ศาลาเปิดโล่งวิจิตรสร้างสรรค์
กู้ซีจิ่วเดินทอดน่องอยู่ในจวน เพลินเพลินกับทัศนียภาพรอบข้าง
ต้องกล่าวเลยว่าหรงเจียหลัวช่างใส่ใจโดยแท้ คฤหาสน์หลังนี้ที่สร้างให้เธอเทียบกับสวนขวัญในเรื่องความฝันในหอแดงได้เลย เมื่อย่างเท้าทิวทัศน์จะผันเปลี่ยน ทุกจุดล้วนราวกับเข้าไปอยู่ในภาพวาด หรูหราอลังการและแฝงท่วงทำนองโบราณอันน่าดื่มด่ำไว้
ขันทีผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างไม่พลาดโอกาสที่จะเอ่ยกับเธอด้วยรอยยิ้ม “ท่านทูตสวรรค์ ฝ่าบาททรงออกแบบวางผังของที่นี่ด้วยพระองค์เองเลยนะขอรับ พอใจหรือไม่?”
นึกไม่ถึงว่าหรงเจียหลัวจะอารมณ์ศิลป์เช่นนี้อยู่ด้วย!
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “พอใจ! ขอบพระทัยฝ่าบาทแทนข้าด้วย”
ขันทีน้อยผู้นั้นย่อมยิ้มพลางตอบรับ
ภายในจวนแห่งนี้มีทะเลสาบที่ขุดด้วยแรงคนอยู่ด้วย ริมทะเลสาบมีต้นหลิวทอดกิ่งอยู่ ริมฝั่งทะเลสาบใช้กรวดห้าสีปูเป็นทางเดิน สุดขอบทะเลสาบเป็นป่าไผ่ผืนหนึ่ง สายลมพัดใบไผ่จนเกิดเสียงเสียดสี
กู้ซีจิ่วเดินทอดน่องอยู่ริมทะเลสาบ มองทิวทัศน์รอบข้าง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าลักษณะเช่นนี้ดูค่อนข้างคุ้นตา ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เธอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หัวใจพลันไหววูบ หันไปถามขันทีของหรงเจียหลัวที่อยู่ข้างกาย “แต่ก่อนคฤหาสน์หลังนี้เคยเป็นจวนขององค์ชายแปดใช่หรือไม่?”
ขันทีผู้นั้นฝืนยิ้มสู้ “ท่านทูตสวรรค์สายตาดั่งคบเพลิงโดยแท้ ที่นี่เคยเป็นจวนขององค์ชายหรงเช่อจริงๆ องค์ชายหรงเช่อมีความผิดฐานก่อการกบฏ จวนหลังนี้จึงถูกยึดเป็นของหลวงขอรับ
————————————————————————————
บทที่ 1605 พบกันอีกครา 6
เพียงแต่จวนหลังนี้ฮวงจุ้ยดีจริงๆ หลังจากฝ่าบาทยึดกลับมาแล้ว ก็หักพระทัยประทานให้ผู้อื่นไม่ลงมาโดยตลอด เมื่อสองปีก่อนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นต้องการใช้ที่นี่เป็นคฤหาสน์ส่วนตัวของเขา ฝ่าบาทก็ไม่ยอม หนึ่งปีก่อนจวนหลังนี้ถูกเพลิงไหม้ สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในจวนถูกเผาวอดวาย ฝ่าบาททรงปวดพระทัยยิ่งนัก หลังจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมมอดม้วยไป ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้บูรณะที่นี่ขึ้นใหม่ ซ้ำยังขยายอาณาเขตให้กว้างขวางขึ้น เพื่อสร้างเป็นจวนทูตสวรรค์แก่ท่านทูตสวรรค์ด้วยเฉพาะขอรับ”
ขันทีผู้นั้นไล่เรียงถึงที่มาที่ไป กู้ซีจิ่วพยักหน้ารับ มิน่าเธอถึงรู้สึกคุ้นตาทะเลสาบแห่งนี้ ที่แท้ก็เป็นสถานที่ที่คนคุ้ยเคยพำนักอยู่มาก่อนจริงๆ ด้วย
ปีนั้นองค์ชายเป็นหรงเช่อมีไมตรีกับเธอ เธอก็เคยมาที่จวนแห่งนี้อยู่สามสี่ครั้ง เคยเดินเล่นที่ริมทะเลสาบแห่งนี้กับหรงเช่อรอบหนึ่ง…
ในยามนั้นองค์ชายแปดหรงเช่อมีพรสวรรค์อันน่าตกตะลึง กาพย์กลอนภาพวาดล้วนเลิศล้ำทั้งคู่ ดีต่อเธอยิ่งนัก เคยช่วยเหลือเธอไม่น้อยเลย แต่ใครจะคาดคิดกันเล่าว่าเขาคือคนที่โม่เจ้าสิงสู่อวตารมา?
ฉากเดินเล่นริมทะเลสาบเมื่อปีนั้นราวกับยังคงแจ่มชัดอยู่ในดวงตา ส่วนหรงเช่อก็เป็นดั่งบุปผากลางน้ำ เงาสะท้อนในบานกระจก หวนกลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว
ขณะที่กู้ซีจิ่วรู้สึกปลงอนิจจังอยู่บ้าง ก็มีคนรีบร้อนวิ่งมารายงาน “ท่านทูตสวรรค์ซ้ายขวามาแสดงความยินดีกับท่านทูตสวรรค์ขอรับ”
นิ้วมือกู้ซีจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย ตี้ฝูอีมาหรือ?
ทูตสวรรค์ซ้ายขวามาแสดงความยินดี กู้ซีจิ่วที่เป็นทูตสวรรค์คนใหม่ยังคงต้องออกมาต้อนรับถึงหน้าประตู
ส่วนปวงประชาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าไปได้ยินข่าวมาจากไหนว่าทูตสวรรค์ซ้ายขวาเดินทางมาแสดงความยินดี พากันแห่มาชมเรื่องครื้นเครง ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วนำคนมาถึงปากประตู นอกประตูใหญ่ก็เนืองแน่นไปด้วยฝูงชนที่มาชมเรื่องครื้นเครงแล้ว
ด้านพาหนะของตี้ฝูอีกับเทียนจี้เยวี่ยก็มาถึงแล้วเช่นกัน
ตี้ฝูอียังคงนั่งเรือสีฟ้าลำใหญ่เหินลอยลมลำนั้นของเขาเหมือนเดิม ที่หัวเรือท้ายเรือมีผู้คุ้มกันทั้งสี่ ด้านหน้ามีสาวใช้คอยโปรยบุปผาปูทางสองนาง หรูหราอลังการเหมือนตอนที่กู้ซีจิ่วได้พบเขาเป็นครั้งแรก
ส่วนเทียนจี้เยวี่ยค่อนข้างสมถะกว่า เขาโดยสารวิหคเผิงตัวใหญ่ของเขามา ที่น่าประหลาดยิ่งนักคือด้านหลังวิหคเผิงของเขาลากรถที่งดงามเรียบง่ายคันหนึ่งไว้ด้วย
ผู้ติดตามของเทียนจี้เยวี่ยมีเพียงเด็กชายสองคนเท่านั้น ซึ่งรับผิดชอบบังคับรถม้าที่งดงามเรียบง่ายคันนั้น
ไม่เหมือนกับตี้ฝูอี ต้องมีคนกว่าสิบคนเพื่อเปิดทาง
พาหนะของสองคนนี้ร่อนลงมาพร้อมกัน กู้ซีจิ่วหยักยิ้มมุมปาก มองท่านทูตสวรรค์ทั้งสองร่อนกายลงมา ใบหน้าพริ้มเพราทำให้คนมองอารมณ์ไม่ออก
หลังจากเลิกรากันอย่างสิ้นเชิงครั้งนั้น เธอก็ไม่ได้พบตี้ฝูอีมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว หนนี้นับว่าเป็นการพบหน้ากันครั้งแรกในรอบหลังจากเลิกรากัน
ตี้ฝูอียังคงสวมอาภรณ์สีม่วงอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาชุดนั้น สวมหน้ากากบดบังใบหน้า หน้ากากนี้สวมไว้อย่างแน่นหนา ทุกคนจึงมองเห็นเพียงดวงตาที่สุกสกาวดั่งดวงดาวคู่นั้นของเขา
กู้ซีจิ่วสบตากับเขาแวบหนึ่ง ดวงตาเขาหยีโค้งเล็กน้อย เปิดปากเอ่ย “แม่นางกู้ ยินดีด้วยที่ได้ดำรงตำแหน่งทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน!”
กู้ซีจิ่วก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน ตอบกลับอย่างไม่ต่ำต้อยไม่สูงส่งสามคำ “ขอบคุณมาก”
การมาหนนี้ของเทียนจี้เยวี่ยกลับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้ว ไม่ได้สวมชุดดำที่แสนเย็นชาอีกต่อไป แต่สวมอาภรณ์สีเทาอ่อนตัวหนึ่ง ดูสุภาพสง่างามไม่น้อยเลย หลังจากเขาร่อนถึงพื้นก็ประสานมือไปทางกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว ข้ามาสายแล้ว ยินดีด้วย ยินดีด้วย!”
รอยยิ้มบนใบหน้าพริ้มเพราของกู้ซีจิ่วดูจริงใจขึ้นหลายส่วน “ขอบคุณมากๆ” เพ่งพิศเขาขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครา “ในที่สุดท่านก็ออกจากกักตนแล้ว! สีหน้าดูไม่เลวเลย”
ครั้งนี้เทียนจี้เยวี่ยไม่ได้สวมหน้ากากไว้ ดวงหน้าเขาเรียบเฉยเยือกเย็น ยามที่ยิ้มน้อยๆ ดูราวกับต้นเหมยเยือกเย็นที่ชูช่อเสียดฟ้า “ซีจิ่ว สีหน้าของเจ้าก็ไม่เลวเลยเช่นกัน”
เขาชี้ไปยังรถม้าหยกขาวงดงามเรียบง่ายที่เพิ่งลงสู่พื้น “เจ้าได้ดำรงตำแหน่งทูตสวรรค์แล้ว ข้าจึงนำรถคันนี้มาแสดงความยินดีกับเจ้าโดยเฉพาะ”
รถม้าคันนั้นแกะสลักขึ้นจากหยกขาวเนื้ออ่อนสีขาวพิสุทธิ์ชิ้นหนึ่ง ตัวรถเรียบง่าย สลักลวดลายเมฆาไว้ บนเมฆามีนกกระยางฝูงหนึ่งบิดฉวัดเฉวียน
————————————————————————————-