ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1626+1627
บทที่ 1626 คืนสิ้นปี 5
ตี้ฝูอียกถ้วยขึ้นมา “วางใจเถอะ ในใจข้ามีเพียงจิ้งเคอ คนอื่นล้วนเป็นเมฆาเลื่อนลอยทั้งสิ้น”
“แต่นางเป็นจิตสำนึกของพี่หญิงกลับชาติมาเกิดนะ หากว่านางยังมีชีวิตอยู่ต่อ เช่นนั้นถ้าพี่หญิงหวนคืนมาจริงๆ มิใช่ว่าวิญญาณจะไม่สมบูรณ์หรอกหรือ?”
ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ “ในเมื่อจิตสำนึกสามารถเกิดใหม่เพียงลำพังได้ วิญญาณหลักก็ทำได้เช่นกัน วางใจเถอะ เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก ข้าจะหาจิตสำนึกใหม่มาทดแทนให้จิ้งเคอ จะไม่ให้จิตสำนึกของจิ้งเคอขาดหายไปเด็ดขาด”
หลานจิ้งอี๋คลี่ยิ้มดั่งบุปผาผลิบาน “จิ้งอี๋ทราบว่าพี่เขยปักใจในตัวของพี่หญิง เช่นนั้นย่อมไม่มีทางทำพลาด…”
นางลุกขึ้นยืน กวาดตามองต้นสนครามที่อยู่ด้านนอกศาลารอบหนึ่ง “ที่นี่นามว่าศาลาสดับคลื่น ต้นสนเหล่านี้ดั่งท้องสมุทร พี่เขยมีใจต่อท้องสมุทรเสมอมาโดยแท้ สดับคลื่น สดับคลื่น สดับรับฟังคลื่นสมุทร ข้าได้ยินคนเอ่ยว่ายามที่พี่หญิงมีชีวิตอยู่ก็ชอบฟังเสียงคลื่นทะเลเช่นกัน…”
คนในศาลาสนทนาพาที ทั้งสามดื่มชาพูดคุยกันอยู่ตรงนั้น คนสามคนนั่งอยู่ที่นั่นราวกับภาพวาดน้ำหมึกผืนหนึ่ง
กู้ซีจิ่วซุ่มอยู่ในที่มืด ได้ยลยินทุกอย่าง ทั้งร่างหนาวเหน็บขึ้นมาเป็นพักๆ
เขาคะนึงถึงหลานจิ้งเคอจนผมหงอกขาว ในใจเขามีเพียงหลานจิ้งเคอ…
เขาก็เหมือนหยางกั้วในเรื่อง ‘จอมยุทธ์เจ้าอินทรี’ รอคอยเสี่ยวหลงหนี่ว์อย่างทุกข์ทรมานสิบหกปี สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรจากการรอ ผมหงอกขาวไปกึ่งหนึ่งในชั่วข้ามคืน ส่วนเขารอคอยหลานจิ้งเคออย่างทุกข์ตรมมาหลายพันปี สุดท้ายผู้ที่คืนชีพขึ้นมากลับเป็นตัวเธอกู้ซีจิ่ว ไม่ใช่หลานจิ้งเคอที่เขาคะนึงหาอยู่เป็นนิตย์ ด้วยเหตุนี้เส้นผมเขาจึงหงอกขาวเช่นกัน ซ้ำยังขาวโพลนไปทั้งหัวด้วย…
ปักใจรักมั่นจริงๆ! ความรักมั่นนี้สามารถทำให้ฟ้าดินตื้นตันได้โดยแท้!
ที่แท้เขาทุกสิ่งที่เขาดีต่อเธอ ล้วนเป็นเพราะเธอคือจิตสำนึกของหลานจิ้งเคอ เขามองเธอเป็นส่วนหนึ่งของหลานจิ้งเคอ
ยามนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเธอไม่ใช่หลานจิ้งเคอ ดังนั้นจึงมองเธอเป็นคนแปลกหน้า จากปราศจากฐานะหลานจิ้งเคอแล้ว เธอก็ไม่นับว่าเป็นอะไรในใจของเขาเลยจริง…
ในหัวใจเสมือนมีน้ำทะลักเข้ามา ทั้งชาทั้งบวม เธอรู้สึกเพียงว่าสองขาอ่อนแรง พลันส่ายโงนเงน จากนั้นก็เหมือนเธอพลัดหล่นลงมาจากอาคารสูงหมื่นจั้ง สะดุ้งตื่น!
ร่างเธอพลันสั่นสะท้าน ลืมตาขึ้นมา
หอสดับคลื่นอันใด ตี้ฝูอีอันใด สองพี่น้องสกุลหลานอันใดล้วนสหายหายไปดั่งเมฆหมอก รอบข้างคือพรมขาวพิสุทธิ์ มีเก้าอี้ไผ่สาน มีโต๊ะไม้โบราณ มีหลงซือเย่ มีเสียงพิณขานแว่ว…
เมื่อเงยหน้ามองด้านนอกอีกครั้ง ท้องฟ้ามืดสนิทไปนานแล้ว เป็นคืนสิ้นปีที่ไร้ซึ่งเดือนดาราเป็นท้องนภาที่มืดมิดหม่นหมอง
ส่วนเธอนอนอยู่บนตั่งนุ่มตัวหนึ่ง บนร่างมีผ้าห่มคลุมอยู่ จึงไม่รู้สึกหนาว
เมื่อมองดูนาฬิกาทรายตรงมุมห้อง ก็เป็นยามกะสี่! ใกล้จะถึงยามฟ้าสางแล้ว
คืนสิ้นปีผ่านพ้นไปแล้ว!
เสียงพิณแว่วกังวานที่เธอได้ยินหลงซือเย่เป็นผู้ดีดบรรเลง เสียงพิณเพราะพริ้ง ดั่งเพลงกล่อมเด็ก ทำให้จิตใจคนสงบผ่อนคลาย
มิน่าล่ะในฝันเธอถึงได้ยินเสียงพิณล่อลอยอยู่ตลอด ที่แท้ก็เป็นหลงซือเย่ที่ดีดบรรเลง
เธอจำได้ว่าตอนที่เธอเข้าสู่ห้วงนิทราตะวันเพิ่งลาฟ้าไปครึ่งดวง ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะหลับรวดเดียวมาจนถึงตอนนี้เลย!
เป็นความฝันที่ยาวนานเหลือเกิน!
โชคดีที่ไม่ว่าจะเป็นฝันร้ายอันใดก็ล้วนมีชวงเวลาที่จะตื่นขึ้นมา
และในที่สุดเธอก็ตื่นแล้ว!
หัวใจเจ็บปวดดั่งจมน้ำ ทว่าคนกลับมีสติแจ่มใสอย่างน่าประหลาด
“ตื่นแล้วเหรอ? เมาค้างหรือเปล่า? ดื่มน้ำสักถ้วยไหม?” ในที่สุดเสียงพิณของหลงซือเย่ก็หยุดลง น้ำถ้วยหนึ่งถูกยื่นมาให้เธอ
นิ้วมือสัมผัสถูกนิ้วของเธอนิดหน่อยโดยไม่ได้ตั้งใจ หลงซือเย่ขมวดคิ้ว “ทำไมมือเธอเย็นขนาดนี้?” คิดจะจับชีพจรให้เธอ
กู้ซีจิ่วหัวเราะเบาๆ หลบเลี่ยงเขา “ฉันเป็นพวกธาตุเย็น มือเท้าเลยเย็นได้ง่าย ไม่เป็นไรหรอกน่า”
ถึงอย่างไรเธอก็เพิ่งสร่างเมา ค่อนข้างเมาค้างอยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงดื่มน้ำถ้วยนั้น น้ำผสมน้ำผึ้งอุ่นๆ ที่หวานหอมเข้าสู่ลำคอ ทำให้อบอุ่นขึ้นไม่น้อย
————————————————————————————-
บทที่ 1627 คืนสิ้นปี 6
หลงซือเย่มองหน้าเธอ พบว่านอกจากสีหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อยแล้ว อย่างอื่นกลับไม่ผิดปกติเลย จึงเบาใจลง ถามเธออย่างคล้ายจะหยอกล้อ “ฝันอะไรมาเหรอ? เมื่อกี้เธอละเมอพูดด้วย”
“ฉันละเมอว่าอะไรเหรอ?”
“ได้ยินไม่ชัด แต่ว่าพูดอยู่หลายประโยคเลย”
กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว “ที่แท้ฉันก็มีนิสัยละเมอด้วย ช่างเถอะ ความฝันก็เป็นแค่ความฝัน จะฝันดีหรือฝันร้ายก็มีช่วงเวลาที่จะตื่นขึ้นมา”
เธอมองเขาอีกครั้ง “คุณดีดพิณให้ฉันตลอดเลยเหรอ?”
หลงซือเย่ยิ้มน้อยๆ “วันนี้มีไฟในการดีดมากไปหน่อย อีกทั้งวันนี้เป็นคืนสิ้นปี ฉันเลยถือวิสาสะดีดพิณข้ามปีเสียเลย ไม่ได้กวนเธอใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วบิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นนั่ง “แน่นอนว่าไม่ เสียงพิณของคุณสะกดจิตมาก…”
“ฟังดูไม่เหมือนคำชมเลยนะ แต่ว่าถ้าทำให้เธอหลับฝันดีได้ฉันก็ประสบความสำเร็จมากแล้ว”
ทั้งสองพูดคุยหยอกเอินกันอยู่พักหนึ่ง กู้ซีจิ่วเหลียวมองรอบข้างอีกครั้ง หลงซือเย่ละเอียดรอบคอบนัก เดิมทีศาลาหลังนี้เป็นศาลาธรรมดา ตอนนี้เพื่อให้เธอได้นอนหลับที่นี่อย่างสงบ เขาจึงนำพรมมาขึงไว้รอบศาลาโดยเฉพาะ มิน่าล่ะเธอถึงนอนในศาลานี้อย่างอบอุ่นนัก
นึกไม่ถึงว่าในคืนสิ้นปีเธอจะได้มาข้ามปีอยู่ที่นี่ เพียงแต่ก็นับว่ามีความหมายเช่นกัน
เธอไม่ง่วงแล้ว จึงลุกขึ้นมาแล้วให้หลงซือเย่ไปพักผ่อนเสีย
หลงซือเย่ไหนเลยจะยอมจากไป “ฉันไม่หลับไม่นอนหลายคืนจนเป็นเรื่องปกติแล้ว อีกอย่างเดิมทีคืนนี้ก็สมควรอยู่เฝ้าปี ถ้าเธอเบื่อ พวกเรามาเล่นเกมกันหน่อยไหม?”
เขาหยิบกระดานหมากรุกมาวาง ชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม “เชิญ!”
กู้ซีจิ่วยังคงชำนาญการเดินหมากยิ่งนัก เมื่อก่อนเธอก็เคยเดินหมากกับหลงซีอยู่บ่อยๆ ฝีมือการเดินหมากของทั้งสองคนนับว่าสูสีกัน ล้วนผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ
รัตติกาลช่างเนิ่นนาน คืนเฝ้าปีที่น่าเบื่อ ใช้การเดินหมากมาฆ่าเวลาก็ไม่เลวเลย ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงเดินหมากกับเขา
หลงซือเย่พบว่าการเดินหมากของเธอในคืนนี้ไม่เข้าเค้าเลย วางทางตะวันตกตัวหนึ่ง วางทางตะวันออกตัวหนึ่ง ค่อนข้างสับสนวุ่นวายยิ่งนัก กระดานหมากเปรียบดังสนามรบ บนกระดานหมากสามารถมองออกได้ว่าสภาพจิตใจของคนผู้หนึ่งอย่างละเอียดได้
หลงซือเย่มองออกว่าตอนนี้จิตใจของกู้ซีจิ่วค่อนข้างสับสน…
ทั้งสองคนเล่นติดต่อกันสองสามตา กู้ซีจิ่วพ่ายแพ้ยับเยิน ถูกหลงซือเย่ดีดหน้าไปหลายทีแล้ว
กู้ซีจิ่วนวดหน้าผากที่แดงเถือกเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามองด้านนอก “ในที่สุดฟ้าก็สว่างแล้ว!”
หลงซือเย่มองเธอด้วยสายตาสุขุม “ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคืนที่มืดมิดมากเพียงใดก็จะมีช่วงเวลาที่สว่างไสวเสมอ”
กู้ซีจิ่วหัวเราะคิกๆ “พูดจามีคติธรรมเชียว คุณเรียนรู้วิถีแห่งเซนตั้งแต่ตอนไหนกัน?”
ทั้งสองพูดคุยยิ้มหัวกันอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็เงยหน้าเอ่ยถามหลงซือเย่ “ร่างโคลนนิ่งที่ฉันขอให้คุณสร้างเป็นยังไงบ้าง?”
หลงซือเย่ตะลึงไปครู่หนึ่ง เอ่ยตอบ “ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว…” เขาเพ่งพิศกู้ซีจิ่วจากบนลงล่างคราหนึ่ง เขาย่อมมองออกนานแล้วว่าร่างกายของกู้ซีจิ่วในตอนนี้เป็นร่างเดิมของเธอ ตอนนี้ร่างนี้ดูแข็งแรงยิ่งนัก ไม่มีความผิดปกติอะไร
ห้าเดือนก่อนกู้ซีจิ่วมาหาหลงซือเย่ ขอให้เขาสร้างร่างโคลนนิ่งให้ตนร่างหนึ่ง
ยามนั้นหลงซือเย่ฉงนยิ่งนัก ถามว่าเธอจะใช้ทำอะไร เธอก็ไม่พูดให้ชัดเจน เพียงตอบอย่างคลุมเครือว่าวันหน้าอาจได้ใช้การ เตรียมไว้เนิ่นๆ ตั้งแต่ยามนี้เสียดีกว่า
หลงซือเย่ไม่เคยปฏิเสธเธออยู่แล้ว ใช้เวลาห้าเดือนสร้างขึ้นร่างหนึ่ง…
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นยืน “พาฉันไปดูหน่อยสิ”
….
ตำหนักน้ำแข็งอันคุ้นตา โลงแก้วผลึกที่คุ้นเคย ในโลงที่คุ้นตามีร่างที่คุ้นเคยนอนอยู่
กู้ซีจิ่วยืนอยู่หน้าโลงแก้วผลึก มองดู ‘โฉมงาม’ ในโลง
————————————————————————————-