ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1662+1663
บทที่ 1662 เจ้านั่นแหละที่เป็นของพรรค์นี้!
ทว่าหลังจากจิ้งจอกน้อยหายตัวไป สาวใช้คนนั้นกลับไม่ยอมรับว่าเคยสนิทสนมกับหลานไว่หู นางถึงขั้นละทิ้งความทรงจำส่วนหนึ่ง จำได้ไม่ชัดเจนว่านางเคยพูด เคยทำอะไรกับจิ้งจอกน้อย…
……
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม กู้ซีจิ่วขี่เพรียกวายุร่อนลงบนทางเล็กๆ ระหว่างภูเขาเส้นนั้น
หลานเยวี่ยกับเยี่ยนเฉินก็อยู่ตรงนั้น ทั้งสองร้อนใจประหนึ่งมดบนกระทะร้อนๆ กำลังตรวจสอบบนถนนสายเล็กระหว่างภูเขานั้นอยู่หลายรอบ ต้นไม้ใบหญ้าสักต้นก็ไม่ปล่อยเล็ดลอดไปได้ ทว่ากลับยังไม่พบเบาะแสอะไร
การมาถึงของกู้ซีจิ่วทำให้คนทั้งสองรู้สึกเหมือนพบสมบัติล้ำค่า ก้าวเดินมาทักทายพร้อมกัน
ยามนี้กู้ซีจิ่วไม่มีเวลามากล่าวโทษทั้งสองคนนี้ ให้หลานเยวี่ยนำตัวสาวใช้คนนั้นกับขุนนางชั้นสูงที่รักษาการณ์มา เธอต้องการซักถามโดยละเอียด
สองคนนั้นมาถึงอย่างรวดเร็ว กู้ซีจิ่วเอ่ยถามพวกเขาอีกไม่กี่ประโยค ใบหน้าสาวใช้คนนั้นก็สับสนงงงวย สายตาขุนนางรักษาการณ์ผู้นั้นวาบไหวเล็กน้อย
คำตอบของทั้งสองคนดูเหมือนจะไร้ที่ติเมื่อฟังครั้งแรก เรียกได้ว่าไม่รู้จักกัน…
กู้ซีจิ่วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล่อยเจ้าหอยยักษ์ออกมาในทันที ตบเจ้าหอยยักษ์เบาๆ “ดึงความทรงจำของพวกเขาแต่ละคนออกมา!”
สาวใช้คนนั้นตอบตกลงอย่างสุขุมเยือกเย็น ทว่าขุนนางรักษาการณ์ผู้นั้นกลับบ่ายเบี่ยง ซึ่งก็คือไม่ยอม เห็นได้ชัดว่ามีพิรุธ
ยามนี้หลานเยวี่ยกับเยี่ยนเฉินล้วนเกิดความสงสัย หลานเยวี่ยสอบสวนด้วยตัวเอง จนท้ายที่สุดขุนนางรักษาการณ์ผู้นั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ พูดความจริงออกมา
เขาเล่าว่าเขามีความสัมพันธ์กับสาวใช้คนนี้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน สาวใช้คนนี้มาหาเขาอยู่เป็นประจำ เดินหมากกับเขา พูดคุยเรื่องราวชีวิตกับเขา
เขาเกิดความรู้สึกต่อสาวใช้ผู้นี้ ดังนั้นเมื่อสามคืนก่อนยามนางจะพาสตรีผู้หนึ่งออกไป เขาจึงแอบเปิดประตูใหญ่ของเผ่าจิ้งจอกครามให้พวกนาง…
ขุนนางรักษาการณ์ผู้นี้กล่าวสิ่งเหล่านี้จบก็โค้งคำนับครั้งแล้วครั้งเล่า บอกไม่รู้ว่าสตรีที่สาวใช้คนนี้พาออกไปก็คือว่าที่มเหสีของเผ่าจิ้งจอกคราม มิเช่นนั้น ต่อให้เขาอาจหาญแค่ไหนก็ไม่กล้าปล่อยนางออกไปเด็ดขาด
ใบหน้าหลานเยวี่ยเขียวคล้ำ มองไปทางสาวใช้คนนั้น สาวใช้ลับร้องลั่นว่าถูกปรักปรำ นางไม่รู้จักขุนนางรักษาการณ์คนนี้แม้แต่น้อย และไม่เคยนัดหมายกับเขากลางดึกด้วย ขุนนางรักษาการณ์คนนั้นใส่ร้ายป้ายสีนาง…
ยามนี้สาวใช้คนนั้นกับขุนนางรักษาการณ์เริ่มโต้เถียงกัน กู้ซีจิ่วจึงโบกมือให้พวกเขาหยุดพูด จากนั้นให้เจ้าหอยยักษ์ดึงความทรงจำของทั้งสองแยกออกจากกัน
ผลลัพธ์คือ ภายในความทรงจำของสาวใช้คนนั้นไม่มีการนัดหมายกับขุนนางรักษาการณ์ผู้นี้จริง ทว่าความทรงจำของขุนนางรักษาการณ์ผู้นี้กลับตรงตามคำรับสารภาพของเขาทุกประการ เขามีความสัมพันธ์กับสาวใช้นางนี้จริง…
หลานเยวี่ยงุนงงไปหมด มองกู้ซีจิ่วแล้วค่อยมองไปที่เจ้าหอยยักษ์ “หอยยักษ์ของเจ้าตัวนี้ทำผิดพลาดอะไรหรือไม่? ของพรรค์นี้ดึงความทรงจำของคนออกมาได้อย่างถูกต้องจริงหรือ?”
เจ้าหอยยักษ์โกรธเคือง “ไอ้จิ้งจอกอย่างเจ้าสิที่ผิดพลาด! เจ้านั่นแหละที่เป็นของพรรค์นี้! ข้าไม่เคยเกิดความผิดพลาดในด้านนี้แม้แต่น้อย!”
กู้ซีจิ่วสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ให้หลานเยวี่ยนำตัวทั้งสองคนไปคุมขังไว้ก่อน หลังจากรอให้ผู้คุมนำตัวสองคนนั้นไปขัง ถึงได้เอ่ยปาก “หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด สาวใช้คนนี้ถูกสิงสู่เข้าร่างตอนกลางคืน! จากนั้นก็ไปล่อลวงขุนนางรักษาการณ์…”
หลานเยวี่ยกับเยี่ยนเฉินต่างตกตะลึงเมื่อนางพูดออกมา
หลานเยวี่ยพูดโพล่ง “เป็นไปได้อย่างไร? ไม่มีผู้ใดสิงสู่เข้าร่างคนอื่นได้ตามใจชอบหรอก ผู้ใดมีความสามารถนี้กัน?”
“อูอู๋เหยียน” กู้ซีจิ่วโพล่งออกมาสามคำ
สีหน้าเยี่ยนเฉินแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “เจ้าหมายถึงสตรีคนที่ปลอมตัวเป็นเจ้าตอนนั้นหรือ?”
กู้ซีจิ่วพยักหน้าเล็กน้อย “หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด คนที่ช่วยเหลือจิ้งจอกน้อยหลบหนีออกไปก็คือนาง!”
เยี่ยนเฉินนิ่งอึ้ง สีหน้าของเขาซีดขาว
ตอนนั้นอูอู๋เหยียนเป็นคนของโม่เจ้า เคยสิงสู่เข้าร่างเดิมของกู้ซีจิ่ว รอโอกาสที่จะลอบทำร้ายตี้ฝูอี ทว่าตี้ฝูอีรู้ทัน ซ้อนกลทำลายแผนของโม่เจ้าเสีย…
เยี่ยนเฉินพอรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอยู่บ้าง ยามนี้เมื่อได้ยินว่าคนที่พาตัวจิ้งจอกน้อยไปคือนาง จิตใจเขาก็หนักอึ้งขึ้นมา!
———————————————————————
บทที่ 1663 ทุกอย่างนี้ล้วนยังไม่ทราบกระจ่าง
สตรีนางนั้นเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง และสามารถอดทนในแบบที่ผู้อื่นไม่อาจทานทนได้ ซ้ำยังจงรักภักดีต่อโม่เจ้า จิ้งจอกน้อยตกอยู่ในกำมือนาง…
“โม่เจ้าตายไปแล้วมิใช่หรือ? หรือว่าอูอู๋เหยียนจะจับจิ้งจอกน้อยไปเพื่อล้างแค้น? หรือบางทีนางอาจจะมีจุดประสงค์อื่นอยู่?” นิ้วมือของเยี่ยนเฉินกำแน่น
กู้ซีจิ่วสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ตี้ฝูอีเคยบอกไว้ ถ้าโม่เจ้าต้องการจะคืนชีพต้องใช้เวลาสี่สิบห้าสิบปี ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปเก้าปีกว่าๆ เท่านั้น ว่ากันตามเหตุผลแล้วโม่เจ้ายังไม่สมควรจะฟื้นคืนชีพได้
แต่โม่เจ้าเป็นมารสวรรค์ที่ถือกำเนิดจากไอพยาบาท หากว่าโลกนี้ไม่โกลาหลวุ่นวาย ดำเนินไปตามปกติ เขาต้องใช้เวลาฟื้นฟูสี่สิบห้าสิบปีจริงๆ ถึงจะคืนชีพได้ แต่เธอกับตี้ฝูอีติดอยู่ในเขตหวงห้ามแปดปี แปดปีมานี้แผ่นดินวุ่นวายเละเทะปานโจ๊กหม้อหนึ่ง ประชาชนผู้บริสุทธิ์ล้มตายไปนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้แดนมนุษย์จึงท่วมท้นไปด้วยไอพยาบาทพวยพุ่งสูงเทียมฟ้า…
และไอพยาบาทนี้ก็เป็นอาหารบำรุงชั้นดีสำหรับการฟื้นฟูของโม่เจ้า ไม่แน่ว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มารสวรรค์ตนนี้ฟื้นคืนชีพได้ก่อนกำหนดกระมัง?!
แน่นอนว่าไม่ได้ตัดเรื่องที่ว่าอูอู๋เหยียนกำลังเล่นเล่ห์ด้วยมีแผนการอันใดเป็นของตนออกไปเช่นกัน
ทุกอย่างนี้ล้วนยังไม่ทราบกระจ่าง
หากว่าอูอู๋เหยียนเล่นเล่ห์ด้วยตัวเองยังพอว่า แต่หากโม่เจ้าอยู่เบื้องหลัง…
“ไม่ว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร ยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องตามหาตัวจิ้งจอกน้อย!” กู้ซีจิ่วเอ่ย เธอวนเวียนบนทางสายเล็กเส้นนี้หลายรอบ ถึงอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็เคยมีผู้คนมากมายตรวจค้นดูแล้ว ต่อให้อูอู๋เหยียนเหลือเบาะแสร่องรอยอันใดไว้ ก็คงถูกทำลายสิ้นไปนานแล้ว
เธอมองไปที่หลานเยวี่ย “คนของพวกเจ้าพบอะไรที่นี่บ้างไหม?”
หลานเยวี่ยส่ายหน้า “ไม่มีอะไรเลย เผ่าจิ้งจอกครามของพวกเรามีสัตว์สืบรอยอยู่ชนิดหนึ่ง ประสาทการรับกลิ่นเฉียบไวอย่างยิ่ง สามารถสืบหาจากกลิ่นอายที่เหลืออยู่ของผู้คนได้ ขอเพียงเป็นกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ภายในสองวัน ต่อให้คนที่ถูกตามหาจะอยู่ในย่านตัวเมืองที่พลุกพล่าน ก็จะถูกสัตว์สืบรอยหาตัวพบอยู่ดี แต่หลังจากสัตว์สืบรอยค้นหามาจนถึงที่นี่ก็ไม่ยอมก้าวเดินต่อ”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “พวกเจ้าส่งสัตว์สืบรอยออกค้นหาหลังจากนางหายไปนานแค่ไหนแล้ว?”
“วันถัดมาเมื่อพวกเราพบว่านางหายตัวไป ก็ส่งสัตว์สืบรอยออกค้นหายามนั้นเลย ค้นหาอยู่หนึ่งวันถึงตามมาพบที่นี่”
“หนึ่งวัน? นานถึงเพียงนี้เชียว?”
หลานเยวี่ยถอนหายใจ “ตอนที่จิ้งจอกน้อยหลบหนีไม่ทราบว่าใช้อาคมอันใดเปลี่ยนกลิ่นอายบนร่าง เริ่มแรกยามที่สัตว์สืบรอยออกค้นหา ได้ยึดตามกลิ่นอายเดิมของนางเป็นหลักเดินวนเวียนอยู่ในวังตลอด ต่อมาข้าพบว่าผิดปกติ จึงพาสัตว์สืบรอยไปตระเวนหานอกเมือง ถึงได้ตามมาพบที่นี่ได้”
“เช่นนั้นหลังจากนางมาถึงที่นี่แล้ว ได้เปลี่ยนแปลงกลิ่นอายเพื่อหลบหนีอีกครั้งหรือไม่?”
หลานเยวี่ยส่ายหน้า “เผ่าจิ้งจอกครามมีอาคมปรับเปลี่ยนกลิ่นอายประเภทหนึ่งอยู่จริงๆ แต่ส่งผลอยู่ประมาณครึ่งชั่วยามเท่านั้น และภายในระยะเวลาสามวันไม่อาจปรับเปลี่ยนได้อีก ตอนแรกพวกเราสงสัยว่าหลังจากนางมาถึงที่นี่ น่าจะขึ้นสัตว์พาหนะที่สามารถเหาะเหินได้บินหนีไปเสียแล้ว”
ลู่อู๋น้อยที่ลาดตระเวนอยู่รอบๆ ตลอดเสมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยก็ไม่ปานพลันเอ่ยสอดขึ้นมา “ไม่มี! ที่นี่ไม่มีสัตว์พาหนะที่บินได้ผ่านทางมาห้าวันแล้ว!”
หลานเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “…เช่นนั้นนางจากไปได้อย่างไร? ต่อให้นางขึ้นรถม้าใดไป ขอเพียงยังเดินทางอยู่บนแผ่นดิน สัตว์สืบรอยก็สามารถหาตัวพบ!”
กู้ซีจิ่วครุ่นคิดแวบหนึ่ง “พื้นดินของเผ่าจิ้งจอกครามสามารถใช้วิชาดำดินได้หรือไม่?”
หลานเยวี่ยยังคงส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ได้ ใต้ดินมีเขตแดน ไม่อาจใช้วิชาดำดินหลบหนีได้” ทันใดนั้นคล้ายว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้าคงไม่ได้จะบอกว่า หลังจากนางมาถึงนอกเมืองก็ใช้วิชาดำดินหนีไปกระมัง?! แต่ว่าตามหลักแล้ววิชาดำดินมีเพียงผู้ที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าแล้วถึงจะสามารถใช้ได้ จิ้งจอกน้อยยังไม่ถึงขั้นเก้าเลยนะ”
“หากว่าคนที่พานางหลบหนีผู้นั้นบรรลุขั้นเก้าแล้วเล่า?” กู้ซีจิ่วถามกลับ
หลานเยวี่ยเอ่ยวาจาไม่ออกแล้ว