ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1668+1669
บทที่ 1668 มีวันนี้ในทุกๆ ปี 4
ตี้ฝูอีกล่าวอย่างเรียบเฉย “ครั้งนี้คนที่ต้องการตามหาคือสหายของเจ้า ข้าเพียงแค่ช่วยเหลือเจ้า!” อีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าไม่ละอายใจที่ให้ข้าสิ้นเปลืองพลังวิญญาณตลอดเลยหรือ?
กู้ซีจิ่วพูดจาอันใดไม่ออก
เธอรับแตรสังข์นั้นมาโดยไม่พูดอะไร ใช้วิชาชำระล้างอย่างเงียบๆ จากนั้นจึงลองใช้พลังวิญญาณน้ำเป่า ผลลัพธ์คือ…ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เธอมองไปทางเขา ภายในธารน้ำใต้ดินไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย ทว่าด้วยพลังยุทธ์ของทั้งสองคน ต่อให้อยู่ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดก็มองเห็นได้ ดังนั้นตี้ฝูอียังคงมองเห็นดวงตาเป็นประกายคู่นั้น ขาวดำตัดกันชัดเจน ทั้งกลมและโต
นางมีผิวพรรณขาวนวล ริมฝีปากชมพูระเรื่อ ยืนอย่างเงียบสงัดภายใต้ลำน้ำสีฟ้าคราม งดงามยิ่งกว่าชาวเงือกที่สวยที่สุดในโลกใบนี้
ตี้ฝูอีละสายตาออกในทันใด สอนวิธีการเป่าแตรสังข์ในน้ำแก่นาง เขาสอนอย่างถี่ถ้วน นางก็ตั้งใจฟังอย่างมากเช่นกัน
ยามเขาสอนนาง เนื่องจากต้องสอนกลเม็ดเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ มากมาย ร่างกายของทั้งสองย่อมใกล้ชิดกันเป็นธรรมดา ถึงขนาดที่ตี้ฝูอีได้กลิ่นหอมของสตรีจางๆ บนร่างกายนาง
ถึงแม้ทั้งสองใกล้ชิดกัน ทว่าร่างกายไม่ได้สัมผัสถูกกัน กู้ซีจิ่วยังคอยระมัดระวังหลบเลี่ยงไม่ให้สัมผัสถูกเนื้อตัวเขา
กู้ซีจิ่วย่อมได้กลิ่นหอมเย็นชาที่คุ้นเคยบนตัวเขาเช่นกัน ความเจ็บปวดและความอยุติธรรมที่คุ้นเคยส่งผ่านจากหัวใจ…
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ปิดการรับรู้กลิ่นของตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้จิตใจตัวเองสับสนวุ่นวายอีกครั้ง
เธอเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เรียนรู้วิธีการเป่าแตรสังข์นี้ได้แล้ว ดังนั้น เธอจึงเป็นคนรับรู้กลิ่นอายของชาวเงือกในเส้นทางที่เหลือ…
จู่ๆ เธอก็นึกคำถามหนึ่งขึ้นมาได้ “จริงสิ จิ้งจอกน้อยใช้วิชาดำน้ำไม่เป็น หากลงมาอยู่ใต้น้ำนี้จริงๆ จะขาดอากาศหายใจตาย เช่นนั้นชาวเงือกพานางไปได้อย่างไร?”
ตี้ฝูอีเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “คำถามนี้เจ้าลองค้นหาความทรงจำชาวเงือกดูก็จะพบคำตอบ”
กู้ซีจิ่วกระชับกำปั้นเล็กน้อย ในสมองเธอมีความทรงจำบางส่วนของหลานจิ้งเคอก็จริง ทว่าจิตใต้สำนึกของเธอต่อต้านสิ่งนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นความทรงจำของหลานจิ้งเคอจึงถูกเธอกดทับไว้ในส่วนลึกสุดของสมอง ไม่ให้มันปรากฏออกมาแม้แต่น้อย
หากไม่ได้ทำเพื่อตามหาจิ้งจอกน้อย แม้แต่วิชาดำน้ำเธอก็ไม่อยากใช้งาน!
เขาชอบให้เธอนึกถึงความทรงจำของหลานจิ้งเคอตลอด นี่เขาคิดว่าหัวใจเธอยังบอบช้ำไม่พอ ยังอยากทำให้เธอกลายเป็นหลานจิ้งเคออีกงั้นหรือ?
ความไม่พอใจก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าพริ้มเพราของเธอเย็นชาเล็กน้อย “นั่นไม่ใช่ความทรงจำของข้า! ข้าก็ไม่อยากค้นหาเช่นกัน ท่านไม่ตอบก็ช่างเถิด ถือเสียว่าข้าไม่เคยเอ่ยถาม!” หันกายแล้วดำน้ำไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ตี้ฝูอีนิ่งอึ้ง
ในความเป็นจริง นางในตอนนี้ช่างอ่อนไหวเหลือเกิน เป็นเขาเองที่นึกไม่ถึงเรื่องพวกนี้ไปชั่วขณะ จนพลั้งปากพูดแทงใจดำนาง…
เขาทอดถอนใจเบาๆ แล้วตามนางไป
เขาอธิบายในขณะที่ตามนาง “ชาวเงือกใช้ฟองอากาศห่อหุ้มพาคนไปได้ อากาศภายในฟองอากาศทำให้คนหายใจได้ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม”
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เข้าใจแล้ว “หากชาวเงือกผู้นั้นไม่อยากให้จิ้งจอกน้อยมีอันเป็นไป ก็ต้องขึ้นมาหายใจเมื่อผ่านไปทุกช่วงเวลาหนึ่งอย่างแน่นอน เพื่อเปลี่ยนฟองอากาศ”
ระยะเวลาที่พูดคุยกัน ทั้งสองก็ผ่านทางแยกเจ็ดแปดทางแยก เดินทางไปทั้งหมดร้อยกว่าลี้ เมื่อเป่าแตรสังข์อีกครั้ง ระลอกคลื่นก็ปรากฏทิศทางขึ้นไปในแนวดิ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยชาวเงือกผู้นั้นพาคนขึ้นไป!
ทั้งสองรีบขึ้นจากธารน้ำใต้ดิน กลับมาบนผืนดินทันที
ด้านนอกเป็นทุ่งบุปผานานาพันธุ์ผืนหนึ่ง มีบุปผาที่ไม่รู้จักชื่อกระจัดกระจายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
สถานที่ที่พวกเขาขึ้นมาจากน้ำเป็นทะเลสาบผืนใหญ่แห่งหนึ่ง
ยามนี้ท้องฟ้ามืดมิด จันทร์เสี้ยวลอยเด่นกลางท้องนภาดังขนงดำขลับ แสงจันทรากระจ่างใสสาดส่องเป็นประกายบนผืนทะเลสาบ หยดน้ำพริ้วพราว
ความงดงามของทิวทัศน์ประหนึ่งภาพวาด
จันทราเฉิดฉายเหนือกิ่งสน คู่รักนัดพบกันยามสนธยา
จินตนาการอันสวยงาม ทั้งสองคนรู้จักกันมาเนิ่นนานขนาดนี้ อยู่ร่วมกันมายาวนานถึงเพียงนี้ ไม่รู้กี่ครั้งกี่คราที่เห็นทิวทัศน์เช่นนี้ ภาพฉากแบบนี้
ตอนนั้นในใจเปี่ยมล้นด้วยความสุข แทบจะอดรนทนไม่ไหวที่จะมีวันนี้ในทุกๆ ปี มีช่วงเวลานี้ไปทุกๆ ปี
ยามนี้เมื่อเห็นภาพฉากเช่นนี้ กู้ซีจิ่วกลับรู้สึกเจ็บปวดทิ่มแทงหัวใจ…
——————————————————————
บทที่ 1669 เจ้าเคยชอบกินมาก
เธอทอดถอนใจเบาๆ ข่มความร้อนรุ่มอย่างมิอาจบรรยายได้ในใจ และเริ่มตามหาร่องรอยโดยรอบ
ร่องรอยที่แห่งนี้ไม่เคยมีผู้ใดจัดการอย่างเห็นได้ชัด ตามหาได้อย่างง่ายดาย
เธอพบร่องรอยที่ทั้งสองทิ้งไว้ได้อย่างรวดเร็ว มีอยู่ทั่วทั้งทุ่งหญ้าและบุปผานานาชนิด
จากร่องรอยเก่าของต้นไม้ใบหญ้าที่ขาดช่วงขาดตอน กู้ซีจิ่วสันนิษฐานว่านี่เป็นร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้เมื่อสองวันก่อน และตอนนั้นจิ้งจอกน้อยยังมีสติอยู่ ทว่าอยู่ภายใต้การควบคุม เห็นได้ชัดว่าชาวเงือกที่พาตัวนางไปก็ไม่ได้วางใจ นั่งพักตรงนี้เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง
ตี้ฝูอียืนมองนางยุ่งง่วนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอยู่ไม่ไกล ตั้งแต่ต้นจนจบไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขาสักนิด
ยามนี้นางมีชีวิตที่ดียิ่งนัก เชื่อว่าต่อไปจะยิ่งดีขึ้นไป บางทีต่อไปอีกไม่กี่ปีนางอาจจะลืมเขาจนหมดสิ้นก็ได้…
นางใช้ชีวิตอยู่ได้อีกนานแสนนาน ส่วนช่วงเวลานี้ของเขาและนางจะกลายเป็นแค่เพียงละครฉากหนึ่งในชีวิตที่แสนยาวนานของนาง ไม่แน่ต่อไปนางอาจได้พบเจอสามีที่อยู่ร่วมกับนางได้ตลอดไปอย่างแท้จริง ทั้งคู่ร่วมกันปกครองใต้หล้า ดังเช่นเขาและนางในตอนนั้น…
เขาจำได้ว่านางเคยพูดประโยคหนึ่ง ไม่สำคัญว่าสตรีจะพบพานบุรุษเลวทราม สิ่งสำคัญคือปล่อยวางและลืมเลือนให้ได้ทันที ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตได้ดียิ่งขึ้นไป
เขายังจำได้ นางเคยพูดว่ากาลเวลาเป็นยารักษาความเจ็บปวดได้ดีที่สุด ความเจ็บปวดใดๆ ล้วนจืดจางและจางหายไปตามกาลเวลา จนในที่สุดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย…
เขาจำถ้อยคำที่นางเคยพูดได้มากมาย โดยปกติเขาคร้านที่จะจำถ้อยคำยุ่งเหยิงเหล่านั้น ทว่าถ้อยคำที่นางเคยเอื้อนเอ่ยเขาล้วนจำได้และไม่มีทางลืมเลือน
เขานั่งลงบนศิลาเขียวก้อนหนึ่ง ดูนางยุ่งง่วน
เขารู้ว่าตัวเองกำลังดื่มสุราพิษดับกระหาย ทว่าเขาก็ยังอยากพบเจอนาง มองนางให้มากในบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่
แม้ว่านางจะไม่แสดงท่าทีใดๆ ต่อเขา แม้ว่านางจะพูดคุยคบหากับชายคนอื่น แม้ว่านางจะมองเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้า…
เขาหลุบตาลงมองมือของตัวเอง นึกไม่ถึงมาก่อนเลยว่าเขาจะทรมานตัวเองถึงเพียงนี้
กู้ซีจิ่วเคยบอกว่าคนประเภทนี้เป็นคนอย่างไรนะ?
พวกซาดิสม์
…
หลังจากกู้ซีจิ่วตรวจสอบเสร็จสิ้น เธอหันหลังกลับมา มองเห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้น ด้านหน้ามีถาดผลไม้ถาดหนึ่ง ด้านในมีผลไม้อยู่สี่ชนิด มีสองชนิดที่เธอเคยชอบกิน
กู้ซีจิ่วชอบของรสหวาน ผลไม้ที่ชอบกินก็เป็นชนิดที่หวานเป็นพิเศษ
ตอนนั้นที่เขาพาเธอออกไปเที่ยวเล่นหรือทำธุระก็จะเตรียมผลไม้ไว้เสมอ อีกทั้งยังเป็นไม่กี่ชนิดที่เธอชอบกินที่สุด เพื่อเสริมสร้างพละกำลังให้
ตี้ฝูอีสบตานาง ยกมือขึ้นโยนสาลี่สีทองให้นางลูกหนึ่ง “กินสาลี่เสริมกำลังเสียหน่อย” การใช้วิชาดำน้ำสิ้นเปลืองพลังวิญญาณเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณ” กู้ซีจิ่วพลันสะบัดแขนเสื้อ สาลี่ลูกนั้นก็ลอยกลับคืนไป เธอหยิบแอปเปิ้ลลูกหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของ นั่งแทะกินอยู่บนศิลาก้อนหนึ่งด้านข้าง
ตี้ฝูอีมองสาลี่ในมือแล้วมองนางอีกครา ยิ้มมิเชิงยิ้ม “ทูตสวรรค์กู้ ยามนี้พวกเราเป็นแค่เพียงสหายร่วมทางเพื่อทำสิ่งหนึ่งร่วมกัน ข้าให้สิ่งนี้แก่เจ้าไม่มีความหมายอื่นใด ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกกันชัดเจนถึงเพียงนี้กระมัง?”
แค่สาลี่ลูกเดียวเท่านั้น นางก็ไม่ต้องการรับของของเขา?
กู้ซีจิ่วไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “ไม่เกี่ยวกับแบ่งแยกไม่แบ่งแยก ข้าเพียงแค่ไม่ชอบกินสาลี่”
“เจ้าเคยชอบกินมาก”
“ท่านก็พูดเองว่าเคย รสนิยมของคนเราก็เปลี่ยนแปลงกันได้” ขณะที่กู้ซีจิ่วพูดก็กัดแทะแอปเปิ้ลไปครึ่งลูกแล้ว แอปเปิลลูกนั้นมีรสเปรี้ยวมากกว่าหวาน ถึงขนาดที่มีรสขม ทว่าพักนี้เธอชอบรสชาติเช่นนี้จริงๆ
เมื่อกินของที่หวานเกินไปจนคุ้นชินก็จะกินรสขมไม่ไหว ทว่าชีวิตมนุษย์จะมีแต่รสชาติหวานได้อย่างไรเล่า?
อันที่จริงเธอรูปร่างไม่เตี้ย ทว่าตอนนั่งกินอยู่ตรงนั้นไม่รู้ด้วยเหตุอันใดจึงให้ความรู้สึกอรชรเปล่าเปลี่ยว เหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกโยนเข้าไปในป่ารกร้าง พยายามเรียนรู้ที่จะอยู่รอดด้วยตัวเอง แม้แข็งแกร่งทว่าอ่อนแอ ทำให้คนทุกข์ใจ
———————————————————————