ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1722+1723
บทที่ 1722 ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง
เดิมทีเขาคิดว่าหนึ่งปีนี้จะอยู่ร่วมกับนางอย่างดี รอจนเขาใกล้จะถึงเวลาจากไป ค่อยทำให้ร่างกลับสู่ร่างเดิม
สิ่งที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยก็คือร่างโคลนนิ่งของนางก็ได้รับทัณฑ์สวรรค์ด้วย กลายเป็นตัวประหลาดที่สันทัดการดูดพลังวิญญาณของผู้อื่น แถมสถานการณ์ยังเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ถ้าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปเช่นนี้ ไม่เพียงแต่นางจะถูกผู้อื่นไล่ล่าบีบคั้น มองนางเป็นตัวประหลาดเท่านั้น ดวงวิญญาณของนางที่อยู่ในร่างโคลนนิ่งนั้นก็จะได้รับความเสียหายเช่นกัน ไม่แน่ว่าอาจประสบอันตรายธาตุไฟเข้าแทรกได้…
มีวิธีการเดียวก็คือให้นางกลับสู่ร่างเดิม ดังนั้นหลังจากตี้ฝูอีอยู่ร่วมกับนางในตำหนักแก้วผลึกหนึ่งวัน ก็ส่งนางกลับสู่ร่างเดิม
เขากับนางจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว อย่างมากเขาก็จะคอยปกป้องนางอย่างลับๆ ขจัดอุปสรรคทุกอย่างให้นาง กำจัดโม่เจ้าให้สิ้นซากไป
ดังนั้นที่ตำหนักแก้วผลึกหลังจากเขาส่งนางกลับไปแล้ว เขาก็จากไปเลย จากไปจัดการสะสางเพื่อคืนชีวิตที่ผาสุกรุ่งโรจน์ให้นาง…
เขานึกว่ายามที่นางได้พบหน้าเขาอีกครั้ง นางจะเห็นเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้า กลับคาดไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วได้ตราผนึกพิเศษบนไว้ดวงวิญญาณของนางเอง ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่เสียความทรงจำไป นางกลับคืนร่างเดิมได้สำเร็จจริงๆ แต่นางไม่เสียความทรงจำไปเลย! ยังจดจำเขาได้! ทำให้แผนการทุกอย่างของเขายุ่งเหยิงวุ่นวาย!
บนข้อมือนางมีกำไลคู่บุพเพอยู่ เมื่อเขาล่วงลับไป กำไลนั้นจะแตกสลายไปด้วย แล้วนางก็จะทราบเรื่อง
หากไม่ถอดกำไลคู่บุพเพบนข้อมือของนางออก ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไรก็ปิดบังนางไว้ไม่ได้
ดังนั้นเขาจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแผนการกะทันหัน ถึงได้ลากหลานจิ้งเคอมาเป็นข้ออ้างทำให้นางเสียใจ…
เขารู้ว่านางเป็นแม่นางผู้ทระนงในเกียรติของตน หมิ่นแคลนการเป็นตัวแทนของผู้อื่น เมื่อนางนึกว่าเขารักคนอื่น จะต้องถอนหมั้นกับเขาเป็นแน่
เขาบรรลุเป้าหมายแล้ว กู้ซีจิ่วถอนหมั้นกับเขาจริงๆ ในที่สุดก็ทำให้กำไลคู่บุพเพวงนั้นสลายหายไปจากข้อมือของนางก่อนถึงเวลาได้ นางเจ็บช้ำ เขาก็ทรมานไม่ต่างกัน…
คนหนึ่งเจ็บปวดจากการถูกทรยศ คนหนึ่งเจ็บปวดจากการต้องพลัดพรากด้วยความตาย
ความเจ็บปวดสองชนิดนี้กล่าวได้ยากยิ่งนักว่าอย่างไหนเบาบางกว่ากัน
นางรักเขาดั่งชีวิต หากเขาล่วงลับไป มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนว่าจะติดตามเขาไป
แต่นางเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ในอนาคต ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ไม่อาจตายได้ ต่อให้นางเสาะแสวงหาความตายก็ไม่แน่ว่าจะได้สมปรารถนา
นางจะมีชีวิตอยู่ มีชีวิตเหมือนซากศพที่เดินได้ ชีวิตอันยืนยาวของนางจะทุกข์ตรมขมขื่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นางจะปวดร้าวไปนานแสนนาน
และด้วยนิสัยหยิ่งทะนงของนาง หากว่าประสบการทรยศหักหลัง ปฏิกิริยาแรกก็คือจะเปลี่ยนแปลงให้แข็งแกร่งขึ้น มิใช่แสวงหาความตาย
เฉกเช่นที่นางพบพานการหักหลังจากหลงซือเย่ในครานั้น ก็ต้องการจะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ใช้ชีวิตในรูปแบบของตน
(โดยทั่วไปแล้วผู้หญิงที่เก่งกล้าสามารถเมื่อถูกทรยศหักหลัง จะหาทางทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เปลี่ยนแปลงให้ทรงเสน่ห์มากขึ้น เพื่อที่วันหนึ่งจะได้เหยียบ ‘ผู้ชายเส็งเคร็ง’ ไว้ใต้ฝ่าเท้า ทำให้ผู้ชายเส็งเคร็งคนนั้นสำนึกเสียใจที่ในอดีตเคยทอดทิ้งไป ดีที่สุดคือต้องได้รับความรักครั้งใหม่ที่งดงามยิ่งขึ้น สลัดผู้ชายเส็งเคร็งทิ้งไปหนึ่งแสนแปดพันลี้)
ด้วยนิสัยของกู้ซีจิ่ว เมื่อนางถูกหักหลังถึงแม้จะเจ็บปวดเสียใจ แต่นางก็น่าจะก้าวข้ามไปได้อย่างรวดเร็ว ผ่านไปสักสองสามปีนางคงจะเปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม ไม่แน่ว่าอาจจะพบรักกับบุรุษเลิศล้ำคนอื่นอีกครั้งก็ได้ โยนช่วงเวลาของนางกับตี้ฝูอีลงไปในธารความทรงจำอันยืดยาวเสีย ไม่นึกถึงอีกต่อไป…
แผนการของตี้ฝูอีไม่ต่างจากที่โม่เจ้าคาดการณ์ไว้เลย เขาใช้กลยุทธ์ทรยศหักหลังมาแตกหักกับนาง ทำให้นางเกลียดชังเขา ไม่สนใจเขาอีกต่อไป ถึงขั้นที่ไม่อยากได้ยินข่าวคราวของเขาอีก
เช่นนั้นยามที่เขาล่วงลับไป นางก็จะไม่ทราบเรื่อง
เขาจะจัดแจงหน้าที่หลังจากที่เขาล่วงลับไปแล้วให้แก่สี่ทูต นานทีปีหนก็ให้ปลอมเป็นเขาไปเดินวางมาดต่อหน้าสาธารณะชนสักครา สร้างภาพลวงว่าเค้ายังมีชีวิตอยู่ ส่วนกู้ซีจิ่วเนื่องจากเกลียดชังเขาแล้ว จะต้องไม่สนใจมากมายนักเป็นแน่
————————————————————————————-
บทที่ 1723 ซีจิ่ว ข้าผิดไปแล้ว…
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็จะไม่ทราบไปตลอดกาลว่าเขาจากโลกนี้ไปแล้ว ต่อให้ภายหน้าวรยุทธ์ของนางบรรลุขั้นสูงสุด สามารถคำนวณการสิ้นชีพของเขาได้ อย่างน้อยก็ต้องรออีกเกือบพันปี…
….
นภาเหนือตำหนักแก้วผลึกเป็นสีน้ำเงินเข้มเสมอมา
ตี้ฝูอีอุ้มกู้ซีจิ่วก้าวย่างผ่านตำหนักแต่ละหลังในพระราชวังแก้วผลึก บนทางสายยาวที่ปูด้วยแก้วผลึก
ที่นี่เป็นสถานที่ของเขาและนางเท่านั้น ทุกแห่งมีร่องรอยของการจับจูงเกาะกุมกันหลงเหลืออยู่
บนหินแก้วผลึกสลักไว้ว่า ‘ฟ้ายั่งดินยืน’ บนป้ายจารเหนือตำหนักบางแห่งมีอักษรที่เป็นลายมือของนางสลักไว้ และมีลายมือของเขาสลักไว้ด้วยเช่นกัน
ตี้ฝูอี กู้ซีจิ่ว ระหว่างสองนามมีหัวใจดวงโตอยู่ดวงหนึ่ง บนหัวใจยังมีลูกศรสีเงินดอกหนึ่งสลักอยู่ด้วย เสียบทะลุลงบนหัวใจดวงนั้น
ยามนั้นเขามองแล้วกล่าวว่าไม่เป็นมงคล หนึ่งศรทะลุหัวใจ
นางบอกว่านี่คือศรรักของกามเทพ สื่อว่าทั้งสองคนจะรักกันไปชั่วนิรันดร์…
“ซีจิ่ว ข้าคิดว่าการจัดการของข้าดีที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว แต่ว่า…”
“ซีจิ่ว เจ้าเสียใจภายหลังแล้วใช่ไหมที่ได้พบกับข้า? ว่ากันตามจริงแล้ว ข้าก็สำนึกเสียใจแล้วเช่นกัน…ในตอนแรกที่พวกเรารู้จักกัน หากว่าข้าไม่ยั่วยุเย้าแหย่เจ้า บางทีจุดจบของข้าและเจ้าอาจเป็นแบบอื่นก็ได้ เจ้าก็ไม่ต้องเสียใจถึงเพียงนี้…”
“ซีจิ่ว เจ้ายังไม่รู้เลยว่าข้าไม่เคยหักหลังเจ้า…”
“ซีจิ่ว ข้าผิดไปแล้ว…”
“ซีจิ่ว เดิมทีข้าไม่เคยชอบที่นี่เลย แต่เป็นเพราะหลังจากพาเจ้ามาแล้ว ข้าจึงชอบที่นี่ ถึงขั้นที่ข้าคิดจะใช้ที่นี่เป็นสถานที่ดับขันธ์ของข้า…อยู่ที่นี่แล้วดับสูญไปอย่างเงียบๆ”
เขาอุ้มนางก้าวเดินไปตลอดทาง สุดท้ายก็พานางมาถึงภายในเรือนที่ตกแต่งไว้อย่างเป็นมงคล
เรือนหอที่งดงามที่สุด สถานที่ที่นางเคยชอบที่สุด เขาและนางเคยมีช่วงเวลาที่สุดแสนสุขสันต์อยู่ที่นี่หนึ่งวัน และเป็นวันสุดท้ายที่เขาและนางได้แนบชิดกันอย่างไร้ช่องว่าง
“ซีจิ่ว…” ตี้ฝูอีวางนางลงบนเตียงเบาๆ นอนเคียงข้างนาง “ซีจิ่ว เจ้าเคยบอกเป็นนัยๆ นับครั้งไม่ถ้วนว่าข้าควรไปสู่ขอเจ้าได้แล้ว อยากออกเรือนกับข้าอย่างเปิดเผยมีหน้ามีตา ส่วนข้าก็สมควรตายจริงๆ แสร้งทำเป็นเลอะเลือนเสมอมา ช่วงเวลานั้นเจ้าคงผิดหวังยิ่งนักเป็นแน่กระมัง? ข้าติดค้างงานวิวาห์ที่ยิ่งใหญ่ของเจ้า…เพียงแต่ไม่รู้ว่าข้ายังมีคุณสมบัติที่จะขอเจ้าแต่งงานอีกครั้งอยู่หรือไม่?”
เขากุมมือของนาง ส่วนนางยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาปิดพริ้มราวกับหลับสนิทอยู่ แต่เขารู้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่หวนกลับมาแล้ว…
เขาหยิบแหวนวงหนึ่งออกมา แหวนวงนั้นส่องประกายพร่างพราว ดุจแสงดาวพราวระยับ “ซีจิ่ว ยังจำแหวนวงนี้ได้ไหม? ตอนนั้นที่เจ้าหนีงานแต่งไปได้ทิ้งแหวนวงนี้ไว้ให้ข้า ข้าเก็บรักษาไว้เสมอมา หลังจากเลิกรากับเจ้าแล้ว เวลาที่ข้าคิดถึงเจ้าก็จะหยิบแหวนวงนี้ออกมาดูอยู่บ่อยครั้ง…”
เมื่อเขากล่าวมาถึงตรงนี้น้ำเสียงก็ตีบตัน ชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงฝืนยกมุมปากยิ้มแวบหนึ่ง ค่อยๆ สวมแหวนวงนั้นลงบนนิ้วมือของนางอีกครั้ง พิศซ้ายพิศขวาอยู่ครู่หนึ่ง “ซีจิ่ว เจ้าสวมแหวนวงนี้แล้วน่ามองจริงๆ…”
น้ำเสียงเขาตีบตันอีกครั้ง จับมือข้างนั้นของนางขึ้นมาช้าๆ จุมพิตลงบนหลังมือนางคราหนึ่ง จากนั้นก็สวมแหวนให้ตนบ้าง มือทั้งสองข้างที่สวมแหวนเอาไว้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
เปลวเทียนแดงวูบไหว สาดส่องเงาร่างคนทั้งสองลงบนผ้าม่าน ราวกับวันนี้เพิ่งเป็นคืนวิวาห์ของพวกเขา เพิ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความรักหวานซึ้ง
เขาโอบนางไว้ในอ้อมแขน หลับตาลงเล็กน้อย
‘ในเมื่อทราบว่าจะมีวันนี้ เหตุใดยามนั้นยังกระทำอยู่เล่า?’ อักษรสีทองแถวหนึ่งวาบขึ้นในสมองของตี้ฝูอี
เป็นหยกนภา
มันยังคงอยู่บนข้อมือของกู้ซีจิ่วเสมอมา ก่อนหน้านี้มันหลับลึกราวกับฝึกฝนวรยุทธ์อยู่มาโดยตลอด เพิ่งตื่นขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้
ตี้ฝูอีสามารถสื่อสารกับมันได้มาโดยตลอด
————————————————————————————-