ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1780+1781
บทที่ 1780 ในใจเธอจึงค่อนข้างกระสับกระส่ายอยู่เสมอ
เพียงแต่เขาบอกว่าจะรีบกลับมา…ใช่แล้ว เขาทิ้งพวกมู่เฟิงสี่ผู้คุมทั้งสี่ไว้ที่นี่ด้วย”
หลัวจั่นอวี่เจื้อยแจ้วออกมากระบุงใหญ่ จากถ้อยคำมากมายนี้ของเขา กู้ซีจิ่วจับประเด็นหลักได้สองสามข้อ
หนึ่ง เรื่องที่เธอตกตายไปพร้อมกับโม่เจ้าแล้วฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้ง รวมถึงเรื่องที่ตี้ฝูอีสร้างศาลระลึกคุณความดีให้เธอล้วนมิใช่ความฝัน แต่เป็นความจริง
กล่าวเช่นนี้คือ เรื่องที่อายุขัยของตี้ฝูอียังเหลืออยู่อีกสามเดือนก็เป็นความจริงเช่นกัน…
นิ้วมือเธอกำเข้าหากัน กระโดดลงบนพื้นทันที “เขาบอกหรือเปล่าว่าจะไปที่ไหน?”
หลัวจั่นอวี่ส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่ได้บอกไว้…ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้กระทำเรื่องราวที่ผู้อื่นไม่อาจคาดเดาได้เสมอมา เสียวจิ่ว เจ้ากับเขาสรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่? พวกเจ้าถอนหมั้นกันแล้วมิใช่หรือ? ยังไงกัน?”
กู้ซีจิ่วสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ระหว่างข้ากับเขาเกิดเรื่องเข้าใจผิดอย่างหนึ่งขึ้น ตอนนี้เรื่องเข้าใจผิดคลี่คลายแล้ว…”
“เขายังจะแต่งกับเจ้าอยู่ไหม?” หลัวจั่นอวี่รีบเอ่ยถาม
“แต่ง!”
กู้ซีจิ่วตอบทันที เธอจะออกเรือนกับเขา! ไม่ว่าเขาจะดับขันธ์หรือไม่ เธอก็จะเป็นภรรยาของเขา!
หากว่าเขาเอาแต่กังวลนี่กังวลนั่นอีก เธอก็จะบังคับเขาเข้าพิธี!
หลัวจั่นอวี่ถูกน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวของเธอทำให้ตกใจ น้ำเสียงของเธอราวกับจักรพรรดิที่จะบังคับให้สตรีถวายตัว…
….
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่า ตนคล้ายจะมีอาการวิตกจริตอยู่บ้าง
ถึงแม้หลัวจั่นอวี่จะบอกเธอแล้วว่าตี้ฝูอีบอกว่าจะไปจัดการเรื่องด่วน เดี๋ยวจะกลับมา แต่พอไม่เห็นตัวเขา สุดท้ายเธอก็ยังไม่ค่อยวางใจ
เมื่อนึกถึงฝันร้ายนั้นของตนขึ้นมา เธอก็ยิ่งไม่วางใจ เกรงว่าเส้นตายของตี้ฝูอีจะมาถึงแล้วจริงๆ จึงแยกจากเธอเพื่อไปหาสถานที่ดับขันธ์…
เธอมาหาสี่ทูต ไม่ได้พบกันแค่เดือนเดียว เธอพบว่าสี่ทูตล้วนผอมลงมาก
เมื่อมู่เฟิงเห็นเธอตื่นขึ้นมายังคงถอนหายใจอย่างโล่งอกยิ่งนัก ประโยคแรกที่กล่าวก็คือ “ซีจิ่ว โชคดีที่ท่านกลับมามีชีวิตอีกครั้ง! ท่านรู้หรือไม่ว่าช่วงที่ท่านไม่อยู่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์โศกตรมยิ่งนัก…”
สวรรค์เท่านั้นที่ทราบว่าพวกเขาดีใจกันมากแค่ไหนยามที่รู้ข่าวว่ากู้ซีจิ่วคืนชีพแล้ว!
เดิมทีพวกเขาสี่คนได้รับคำสั่งให้ออกไปจัดการธุระด้านนอก จากนั้นก็ได้รับคำสั่งจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเขามาดูแลอารักขาที่จวนทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินทันที พวกเขาทั้งสี่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น รีบรุดเดินทางมา
ยามที่อยู่นอกหน้าต่างแล้วเห็นกู้ซีจิ่วหลับไหลอยู่บนเตียง พวกเขาทั้งสี่ล้วนโง่งมกันไปหมด!
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อธิบายอะไรแก่พวกเขาเลย เพียงให้พวกเขาสี่คนคอยอารักขาเป็นอย่างดี ไม่อนุญาตให้ออกห่างเลยสักก้าว บอกว่าเขาจะไปจัดการธุระด่วนเรื่องหนึ่ง จะกลับมาให้อีกสองวันให้หลังอย่างตรงเวลา…จากนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็จากไปทันที
เหลือเพียงพวกเขาทั้งสี่ที่คอยอารักขากู้ซีจิ่วที่หลับใหลอยู่ดั่งพิทักษ์แก้วตาดวงใจ…
เนื่องจากพวกเขาทั้งสี่คนล้วนแต่เป็นบุรุษ ย่อมไม่สะดวกจะคอยเฝ้าอยู่ในห้องนอนของนาง หนึ่งวันหนึ่งคืนมานี้ทั้งสี่คนจึงแยกกันยืนอยู่สี่ทิศของเรือนนอน
เนื่องจากมีสี่คนนี้คอยคุ้มกัน อย่าว่าแต่มือสังหารเลย แม้แต่ยุงสักตัวก็ยังบินเข้าไปไม่ได้!
ในใจกู้ซีจิ่วค่อนข้างขุ่นเคืองเล็กน้อย เดิมทีช่วงเวลาที่เธอจะได้อยู่กับเขาก็มีไม่มากอยู่แล้ว เธอไม่อยากจะเสียไปสักวินาทีเลย ที่แท้เขามีเรื่องด่วนอะไรกันที่ต้องทิ้งเธอไว้แล้วไปจัดการ?
แน่นอนว่าเคืองก็ส่วนเคือง เมื่อตัวต้นเรื่องไม่อยู่ที่นี่ เธอจึงไม่อาจระบายอารมณ์
เนื่องจากมีสาเหตุมาจากฝันร้ายนั้น ในใจเธอจึงค่อนข้างกระสับกระส่ายอยู่เสมอ
เธอหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ส่วนตี้ฝูอียามนั้นบอกไว้ว่าจะกลับมาในอีกสองวันให้หลัง ยังเหลืออีกตั้งหนึ่งวันที่จะไม่ได้พบเขา…
ให้นอนต่อเธอก็นอนไม่หลับแล้ว จู่ๆ เวลาก็เปลี่ยนเป็นไหลผ่านไปยากลำบากอยู่บ้าง
อันที่จริงเรื่องราวที่รอให้เธอสะสางจัดการก็มีอยู่ไม่น้อยเลย แต่จิตใจเธอไม่สงบ ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องได้ราว
ฝืนทนผ่านไปได้อีกหนึ่งวันหนึ่งคืน ก็ยังไม่เห็นเงาร่างของตี้ฝูอี
——————————————————————-
บทที่ 1781 เขายังอยู่! เขากลับมาแล้ว!
กู้ซีจิ่วเริ่มร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย นั่งไม่ติดแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตนี้ที่เธอกระสับส่ายร้อนรอนอยู่ตลอดวันเช่นนี้ หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่ทั้งวัน ตัวเธอเองก็จนปัญญาเช่นเดียวกัน
หลัวจั่นอวี่ยังเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งด้วยว่า “เสียวจิ่ว เจ้าอยากไปคารวะพระราชสุสานของฝ่าบาทสักหน่อยไหม?”
กู้ซีจิ่วมึนงงไปชั่วขณะ “ฝ่าบาท?”
สีหน้าของหลัวจั่นอวี่ค่อนข้างโศกสลดอยู่บ้าง “ใช่แล้ว ฝ่าบาทในรัชกาลก่อนของพวกเราสิ้นพระชนม์แล้ว หีบศพของเขาถูกส่งกลับมาประกอบพิธีฝังเมื่อสิบวันก่อน เจ้ากับเขาเคยเป็นสหายสนิทกัน อยากจะไป…”
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นยืน “อยาก! ไปกันเถอะ!”
….
วันเช็งเม้งเม็ดฝนหล่นโปรยปราย ท้องถนนผู้คนสัญจรสะท้อนใจ[1]
ใกล้ถึงเทศกาลเช็งเม้ง ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย กู้ซีจิ่วยืนอยู่หน้าพระราชสุสาน มองเนินหลุมศพสูงตระหง่านอย่างใจลอย
ตอนยังมีชีวิตอยู่พลังวิญญาณของหรงเจียหลัวไม่ต่ำต้อยเลย เขาคงนึกไม่ถึงเช่นกันว่าชะตาชีวิตจะสั้นถึงเพียงนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้จัดเตรียมสุสานของตนไว้ล่วงหน้า สุสานของเขาถูกสร้างขึ้นมาอย่างเร่งด่วน
ต่อให้เป็นบุคคลที่กล้าหาญชาญชัยสักเพียงใด หลังจากสิ้นชีพไปก็เหลือเพียงที่ดินศักดินาผืนหนึ่ง ธุลีดินกองหนึ่ง…
หลงเจียหลัวเคยเป็นสหายของเธอ เป็นคนที่หวังดีต่อเธอจริงๆ ไม่นึกเลยว่าสุดท้ายจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ ไม่เพียงแต่สังขารเท่านั้นที่สิ้นชีพ แม้แต่ดวงวิญญาณก็ไม่เหลืออยู่ ไม่อาจกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ สิ่งที่ฝังอยู่ที่นี่เป็นเพียงสังขารที่ไม่รู้สึกรู้สาร่างหนึ่งเท่านั้น
กู้ซีจิ่วยืนอยู่หน้าสุสาน ในใจอึดอัดยิ่งนัก
ละอองฝนโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า เธอไม่ได้กางร่ม และไม่ได้ใช้อาคมคุ้มกาย ปล่อยให้ละอองฝนเหล่านั้นตกต้องอาภรณ์และเรือนผม..
อีกสามเดือน ตี้ฝูอีก็ต้องกลายเป็นสุสานแห่งหนึ่งเช่นกันหรือ?
เมื่อความคิดนี้ผุดวาบขึ้นมา หัวใจเธอก็เหมือนถูกคนทึ้งกระชากทันที เจ็บปวดจนเธอไม่กล้าคิดต่อไปแล้ว!
ต้องมีวิธีแน่…
จะต้องมีวิธีแน่ๆ…
เพียงแต่พวกเขายังหาวิธีนั้นไม่พบ แต่เธอจะหาให้พบ…
เธอแทบไม่กล้าจินตนาการเลยว่าถ้าตี้ฝูอีดับขันธ์ไปแล้วเธอจะเป็นยังไง พอนึกก็ราวกับฟ้าถล่มดินทลายแล้ว
จู่ๆ เธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนแรกตี้ฝูอีถึงทำเช่นนั้น
ด้วยความรักที่เธอมีต่อเขา ยินยอมให้เขาหักหลังเธอจริงๆ ชมชอบผู้อื่นจริงๆ แต่ไม่คิดจะให้เขาสิ้นชีพ…
บางทีเธออาจยอมรับที่เขาหักหลังและแยกจากกันไปได้ ทว่าไม่อาจรับได้ถ้าเขาต้องจากไปชั่วนิรันดร์
ยังมีเวลาอีกสามเดือน หากว่าเธอหาวิธีไม่ได้จะทำยังไง?
ต้องเบิกตามองเขาสลายหายไปจริงๆ น่ะหรือ?
หัวใจพลันหนักอึ้ง ทั้งหนักทั้งอึดอัด…
เธอเงยหน้ามองท้องฟ้า บนฟ้ามีเมฆาหนาทึบ ไม่มีแสงตะวันสักสายเลย
ผ่านไปสองวันหนึ่งคืนแล้ว ตี้ฝูอียังไม่กลับมาเลย เขาจะเกิดเรื่องขึ้นเหมือนในฝันร้ายของเธอจริงๆ หรือเปล่า จะไม่กลับมาอีกตลอดกาลหรือ? วิ่งแล่นไปดับขันธ์ในทะเลทรายอันใดแล้วใช่ไหม?
ไม่ได้! เธอไม่อนุญาตให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้!
เธอกระโจนพรวดขึ้นมาทันที ไม่ได้การแล้ว เธอจะรอคอยอย่างโง่งมเช่นนี้ต่อไปไม่ได้! เธอต้องไปตามหาเขาในทะเลทรายแห่งนั้น…
กู้ซีจิ่วหันหลังหมายจะออกวิ่ง จู่ๆ เหนือศีรษะพลันสลัวลง ร่มกันฝนสีครามนภาคันหนึ่งกางอยู่เหนือศีรษะเธอ ละอองฝนที่โปรยปรายอยู่ไม่ตกต้องร่างเธออีกต่อไป
“ออกมาข้างนอกทำไมไม่พกร่มล่ะ? คิดจะลิ้มรสชาติการเปียกปอนเยี่ยงลูกนกตกน้ำงั้นหรือ?” น้ำเสียงที่คุ้นเคยสายหนึ่งแว่วขึ้นริมหูเธอ
เธอตัวแข็งทื่อ เหลียวไป มองเห็นดวงตาที่เจือรอยยิ้มคู่หนึ่ง
เขาสวมอาภรณ์สีม่วงพร่างพราว ไม่ได้สวมหน้ากาก นัยน์ตาลึกล้ำ ทำให้คนได้เห็นแวบเดียวก็ปรารถนาจะดำดิ่งเข้าไป มือกระจ่างดั่งหยกขาวถือร่มกระดาษเคลือบน้ำมันที่วาดลวดลายขุนเขาสายธารไว้ ภูผาขจีสายธารมรกตขับเน้นอยู่ด้านหลังเขา ละอองฝนโปรยปราย ราวกับภาพวาด
บนหน้าเขายังมีสีหน้าอ่อนล้าอยู่ แต่อารมณ์กลับดียิ่งนัก ยามที่ยิ้มแย้มมองดูเธอยังไม่ลือจะเอ่ยหยอกด้วย “มองข้าเช่นนี้ทำไม? ต้องฝนจนโง่งมไปแล้วหรือ?” กล่าวไปพลาง ร่ายอาคมทำความสะอาดร่างเธอไปพลาง
———————————————————————–
[1] วันเช็งเม้งเม็ดฝนหล่นโปรยปราย ท้องถนนผู้คนสัญจรสะท้อนใจ เป็นวรรคหนึ่งจากบทกลอนที่บรรยายถึงบรรยากาศหดหู่ในวันเทศกาลเช้งเม็ง ประพันธ์โดยตู้มู่ยอดกวียุคราชวงศ์ถัง