ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2035+2036
บทที่ 2035 พบกันอีกครา
ตี้ฝูอีเอามือเท้าคางอย่างเฉื่อยชาแล้วมองดูมัน
“ตกใจมากหรือ?”
ไป๋เจ๋อมีสีหน้าแช่มชื่น
“ไม่ขอรับ ข้าน้อยดีใจมาก!”
แม่นางท่านนั้นที่ฝ่าบาทน้อยของบ้านตนชมชอบดูเหมือนจะไม่ได้มีความคิดในเชิงนั้นกับฝ่าบาทน้อยเลย นี่เป็นปัญหายิ่งนัก
โดยเฉพาะการที่สหายของแม่นางท่านนั้นมีทักษะการครัวล้ำเลิศ ก็ยิ่งทำให้คนไม่สบายใจ
เมื่อมองด้วยสายตาของผู้ที่ผ่านทางมาอย่างไปเจ๋อ แม่ทัพหลงผู้นั้นมีความรู้สึกต่อแม่นางกู้ อีกทั้งวิธีการที่แม่ทัพหลงผู้นี้ใช้ในการตามตื้อโฉมสะคราญก็ค่อยเป็นค่อยไป แทรกซึมเข้าไปในชีวิตของแม่นางท่านนี้อย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งนางอยู่โดยปราศจากเขาไม่ได้อีกต่อไป…
ส่วนฝ่าบาทน้อยของบ้านตนด้านอื่นอันใดล้วนดีหมด ติดเพียงว่าอายุน้อยไปหน่อยเท่านั้น สายตาที่แม่นางผู้นั้นมองเขาราวกับมองยุวชนของชาติ เช่นนี้ย่อมไม่ได้การแล้ว ดังนั้นฝ่าบาทน้อยก็จำเป็นต้องพยายามอย่างหนักเช่นกัน…
และทักษะงานครัวก็เป็นวิธีที่คว้ากุมหัวใจของสตรีได้ นึกถึงเมื่อปีนั้นมหาเทพนายใหญ่ของบ้านก็ใช้ทักษะงานครัวในการไล่ตามศรีภรรยาเช่นกัน
ไป๋เจ๋อมองออกทะลุปรุโปร่งแล้ว เมื่อปีนั้นทุกครั้งที่มหาเทพทำอาหารเลิศรส จอมมารจะมองดูเขาด้วยสีหน้าเลื่อมใส…
ยามนี้ในที่สุดฝ่าบาทน้อยก็เบิกเนตรแล้ว!
ไป๋เจ๋อปรีดาอย่างยิ่ง แต่ความปรีดาของเขาก็ดำเนินไปได้เพียงครึ่งวันเท่านั้น…
ฝ่าบาทน้อยเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง นี่เป็นสิ่งที่ไป๋เจ๋อยอมรับยิ่งนักเสมอมา
แต่ทักษะการครัวของเขา ได้รับการสืบทอดมาจากมารดาของเขาโดยแท้ ย่ำแย่จนน่าเหลือเชื่อ!
ตอนที่ทำอาหารได้ใช้วิธีการเดียวกับเขาชัดๆ แต่ผลงานที่ทำออกมากลับทำให้คนยากจะเอื้อนเอ่ยได้…
รสชาตินั้นเรียกได้ว่าแทบจะกระชากวิญญาณออกจากร่างแล้ว!
ยามที่ไป๋เจ๋อเพิ่งลิ้มรส เกือบนึกว่าต่อมรับรสของตนเกิดปัญหาเสียแล้ว เรียกเถิงเสอพี่น้องที่แสนดีมาเป็นการเฉพาะ แล้วให้มันลองชิม
ผลคือหลังจากเถิงเสอชิมเข้าไป ก็เอ่ยโพล่งออกมาประโยคหนึ่ง
“นี่เป็นอาหารที่ไอ้โง่คนไหนทำกัน? บัดซบ คาวเกินไปแล้ว! เหม็นเหลือเกิน!”
ด้วยเหตุนี้ เถิงเสอจึงถูกฝ่าบาทน้อยลงโทษให้ไปทำความสะอาดห้องสุขา…
ฝ่าบาทน้อยเทอาหารที่ทำออกมาทิ้งเสีย ยิ้มนิดๆ แล้วเอ่ยถามไป่เจ๋อ
“แม่ทัพไป๋คิดจะป่าวประกาศเรื่องที่ทักษะการครัวของฝ่าบาทอย่างข้าไม่ได้เรื่องให้ทุกคนทราบกันทั่วหรือ?”
ไป๋เจ๋อพลันสั่นสะท้าน รีบเอ่ยว่า
“จะเป็นไปได้อย่างไร?! ฝ่าบาทน้อยเข้าใจผิดแล้วขอรับ”
มันหัวไวนัก
“ฝ่าบาทวางใจเถิด ก่อนท่านจะร่ำเรียนทักษะงานครัวได้เชี่ยวชาญ ข้าน้อยจะไม่แพร่งพรายกับผู้ใดทั้งสิ้น!”
ตี้ฝูอีพยักหน้านิดๆ ไป๋เจ๋ออยู่เป็นยิ่งนัก เขายังคงไว้ใจมันได้
เพื่อตอบแทนลูกน้องคนนี้ ตี้ฝูอีจึงตัดสินใจในทันที วันหน้าจะยกอาหารที่ลองทำแล้วน่าพึงใจให้ไป๋เจ๋ออย่างหนึ่ง
ไป๋เจ่อรู้สึกว่าโลกของมันมืดมัวไปทั้งพื้น ท้องปวดมวนไปหมดแล้ว…
….
เจ้าหอยยักษ์หายตัวไป!
ยามที่แน่ใจในข้อนี้ก็ผ่านพ้นไปห้าวันแล้ว
ถึงแม้เจ้าหอยยักษ์จะตะกละ แต่ก็ไม่เคยหายไปโดยไม่กลับมานานถึงเพียงนี้
กู้ซีจิ่วเคยมอบยันต์ถ่ายทอดเสียงให้เจ้าหอยยักษ์แล้ว ให้ติดต่อกันได้สะดวก เจ้าหอยยักษ์เอาซุกไว้ในเปลือกมัน ผลคือเผลอถูกมันกินเป็นอาหารว่างไปเสีย…
ยันต์ถ่ายทอดเสียงนี้หาใช่ผักกาดขาวไม่ ทำยากยิ่งนัก และสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมาก หลังจากถูกมันเขมือบเข้าไปสามสี่แผ่น กู้ซีจิ่วจึงไม่ทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้อีกแล้ว!
เพียงมอบให้ลู่อู๋ไว้แผ่นหนึ่ง อย่างไรเสียเจ้าสองตัวนี้ก็ชอบขลุกอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว
ดูเหมือนจะไม่เคยมีเรื่องที่เจ้าสองตัวนี้แยกจากกันมาก่อนเลย
กลับนึกไม่ถึงว่าการแยกจากกันครั้งนี้ เจ้าหอยยักษ์จะเกิดความเลินเล่อเช่นนี้ขึ้น! สูญหายไร้ร่องรอยไปหลายวัน!
กู้ซีจิ่วไม่สบายใจ โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงเรื่องที่หลงซือเย่บอกว่ามีสัตว์เซียนสูญหายไปก็ไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม ในที่สุดหลังจากเจ้าหอยยักษ์ขาดการติดต่อไปห้าวัน ก็ตัดสินใจออกไปตามหาด้วยตัวเอง
อาการบาดเจ็บในครั้งนี้ของกู้ซีจิ่วหนักหนา ถึงแม้จะใช้ยารักษาแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนกว่าจะฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์ได้
ระยะเวลาห้าวันทำให้พลังวิญญาณของเธอฟื้นฟูขึ้นกว่าครึ่งแล้ว ถึงแม้จะยังไม่หายเป็นปลิดทิ้ง แต่ก็เพียงพอสำหรับตามหาสัตว์เลี้ยงของบ้านตนแล้ว
….
ณ ชั้นฟ้าที่หกมีหุบเขาเซียนลูกหนึ่งนามว่ายอดเขาแสงอุษา
————————————————————————–
บทที่ 2036 พบกันอีกครา 2
เล่าขานกันว่าเป็นสถานที่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก
ทั้งยอดเขาเป็นสีแดงทอง แม้แต่ต้นไม้ที่เจริญเติบโตอยู่ด้านในก็มีใบเป็นสีแดงทองทั้งสิ้น เมื่อมองจากที่ไกลๆ ประหนึ่งเพลิงทองเลื่อนไหล ตระการตาอย่างยิ่ง
ยอดเขาแสงอุษาเป็นขุนเขาสูงป่ารกทึบ บนเขามีพืชพันธุ์มากมี สัตว์วิญญาณก็มากมายสัตว์ของตระกูลเซียนในแดนพ้นโศกล้วนสยบได้จากที่นี่แทบทั้งหมด
แน่นอน สัตว์วิญญาณยิ่งร้ายกาจก็ยิ่งอยู่ในส่วนลึกที่สุดของยอดเขา ตระกูลเซียนธรรมดาก็กล้าเสี่ยงโชคเพียงที่ชั้นนอกสุดเท่านั้น
เจ้าหอยยักษ์เคยบอกกับลู่อู๋ว่า มันจะไปล่ากวางชะมดที่ร่างแฝงกลิ่นหอมชนิดหนึ่ง และกวางชะมดนี้ก็เป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิตอยู่รอบนอกของยอดเขาแสงอุษา ด้วยความสามารถของเจ้าหอยยักษ์การบุกไปยังรอบนอกนี้ยังคงไม่มีปัญหาอะไร
ถึงช่วงที่ตะวันจะตกดินแล้ว ดวงตะวันขนาดมหึมาลอยอยู่เหนือยอดเขา ดูงามตายิ่งนัก!
กู้ซีจิ่วขี่หลังลู่อู๋ร่อนลงสู่รอบนอกของยอดเขาแสงอุษา ร่อนลงบนเนินเขาที่สูงตระหง่านโดดเด่น
เนินเขานั้นสูงกว่าสิบจั้ง บริเวณโดยรอบมีหน้าผาสูงชัน บนเนินเขามีต้นไม้ใหญ่เติบโตอยู่มากมาย ทอดยาวไปบนเนินเขาประหนึ่งต้นสนเหยียดร่างต้อนรับก็มิปาน
กู้ซีจิ่วไม่มีแก่ใจมาชื่นชมทัศนียภาพอันงดงาม หลังจากร่อนลงสู่พื้นก็สั่งให้ลู่อู๋เสาะหากลิ่นอายของเจ้าหอยยักษ์
ถึงอย่างไรเจ้าสองตัวนี้ก็อยู่ด้วยกันมาเนิ่นนานปี คุ้นเคยกับกลิ่นอายของกันและกันอย่างยิ่ง หากว่าเจ้าหอยยักษ์เคยเคลื่อนไหวอยู่ในรัศมีสิบลี้ ลู่อู๋ต้องตรวจพบกลิ่นอายของมันได้แน่นอน
“หวา ที่นี่งดงามนัก!”
มีเสียงชื่นชมของเด็กสาวแว่วมาจากไม่ไกลจากด้านล่าง
“ไม่เลวเลยจริงๆ พระอาทิตย์ตกของที่นี่งดงามที่สุด เมื่อปีนั้นคุณชายฝูอียังเคยแต่งกลอนเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ด้วยนะ”
“หือ? กลอนอะไรหรือ ศิษย์พี่สาม ท่านยังจำได้หรือเปล่า?”
“ฮ่า ไม่ต้องให้ข้าจำหรอก เขาสลักไว้บนศิลาทางด้านนั้นแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปดูนะ”
มีเสียงฝีเท้ามุ่งมาทางเนินเขาที่กู้ซีจิ่วอยู่
กู้ซีจิ่วสัมผัสได้รางๆ ว่าเสียงของหนุ่มสาวไม่กี่คนนี้ค่อนข้างคุ้นหู ทว่านึกไม่ออกชั่วขณะว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน และไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
เพียงแต่เมื่อได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึง ‘คุณชายฝูอี’ ในใจนางสั่นไหวเล็กน้อย เด็กคนนี้แต่งบทกลอนเป็นด้วยหรือ?
ด้านล่างยอดเขามีคนตีวงเข้ามาห้าคน เพียงพวกเขาไม่ได้พบเห็นกู้ซีจิ่วที่อยู่บนยอดเขาเลย สายของของทุกคนล้วนจับจ้องอยู่บนอักษรซึ่งสลักไว้บนศิลาหน้าตัดก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างเนินเขา
มีคนอ่านเสียงดังว่า
“ทินกรร่อนพ้นพันยอดเขา ฟ้าดินยอมรับวิถีข้า เรื่องจบสะบัดแขนเสื้อจาก มิหลงเหลือนามและกายา กลอนดี!”
“ศิษย์พี่ใหญ่เป็นอัจฉริยะโดยแท้!”
สตรีนางนั้นอุทานเบาๆ
“ศิษย์น้องก่วน ตอนนี้คุณชายฝูอีไม่ใช่ศิษย์ร่วมสำนักกับพวกเราแล้ว เจ้าอย่าได้เรียกเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่อีกเลย”
คนที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเตือนนาง
“ไม่! ในสายตาของจิ่นหวา เขาคือศิษย์พี่ใหญ่ตลอดไป! แม้ว่าเขาจะไม่เข้าร่วมหุบเขาล่องเมฆากับพวกเราอีกแล้วก็ตาม”
สุ้มเสียงของสตรีผู้นั้นเด็ดเดี่ยว
บางคนที่อยู่ด้านข้างถอนหายใจเบาๆ
“เพียงน่าเสียดายที่เขาไม่อาจกราบอาจารย์ได้แล้ว…เขายอมแตกหักกับสิบปรมาจารย์เพื่อนางมารผู้นั้น…”
“เขาแค่หลงผิดไปชั่วขณะเท่านั้น วันหน้าเขาจะต้องได้สติกลับมาเป็นแน่”
ก่วนจิ่นหวาเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
ทั้งห้าคนสนทนากันอยู่ตรงนั้น กู้ซีจิ่วกลับฟังอยู่ในซอกมุมหนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ความจำเธอเป็นเลิศ ในที่สุดก็นึกฐานะของห้าคนนี้ออกแล้ว
พวกเขาเป็นลูกศิษย์ของเฟิงชิงซ่างเหรินแห่งหุบเขาล่องเมฆา ชายสามหญิงสอง สาวน้อยชุดสีม่วงอ่อนคนหนึ่งที่อยู่ในคนกลุ่มนั้นคือก่วนจิ่นหวา
ยามที่กู้ซีจิ่วบุกเข้าไปในหุบเขาล่องเมฆา ศิษย์เหล่านี้ล้วนปิดล้อมอยู่ด้านล่าง กู้ซีจิ่วแทบไม่ได้ลงมือกับพวกเขาเลย ระหว่างการต่อสู้เพียงกวาดตามองพวกเขาอยู่ไม่กี่ครา จึงคุ้นตาอยู่บ้างก็เท่านั้น
กู้ซีจิ่วไม่สนใจคนเหล่านี้ สิ่งที่ทำให้เธอใจสั่นเล็กน้อยคือบทสนทนาของพวกเขา
ตี้ฝูอีหันหลังให้แก่สิบปรมาจารย์เพราะเธอหรือ?! แตกหักกับสิบปรมาจารย์ไปแล้วหรือ?!
….