ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2109+2110
บทที่ 2019 สภาพแวดล้อมวิปริตมากเหลือเกิน!
ต่อให้เป็นเช่นนี้ รอบกายเขาก็ยังเจ็บปวดคล้ายถูกไฟลวก…
เขาเตรียมการรอบคอบแล้วก็ยังเป็นเช่นนี้ แล้วกู้ซีจิ่วที่ยามนั้นถูกดูดเข้าไปกะทันหัน ไม่ทันได้เตรียมตัวเลยสักนิดจะทนได้อย่างไร?
แล้วตอนนี้นางจะเป็นยังไงบ้าง?
วรยุทธ์นางสูงส่งถึงเพียงนั้น น่าจะไม่บาดเจ็บมากนักกระมัง? ไม่แน่ว่าอาจจะปรับตัวไปกับสถานการณ์ กลายเป็นผู้ปกครองแดนอสุราไปแล้วก็ได้…
….
ณ หุบเขารกร้างกันดาร
ช่างสมกับที่เป็นหุบเขารกร้างกันดารโดยแท้ ภูเขาแห้งโกร๋นโล่งเตียน น้ำสีดำขมุกขมัว
ภูเขาสูงเสียด หน้าผาสูงชัน อันตรายอย่างยิ่ง บนเขามีเพียงพุ่มไม้แคระแกร็นไม่กี่ต้นเท่านั้น สายธารที่ไหลรินในหุบเขาไม่ใช่น้ำพุใสกระจ่าง แต่เป็นน้ำสีดำแฝงกลิ่นเหม็นคาวคลุ้ง
ตำแหน่งที่ตี้ฝูอีร่วงลงมาคือภายในแอ่งเขาแห่งหนึ่งพอดี
รอบข้างล้วนเป็นภูผาสูงชัน ใต้ฝ่าเท้าคือก้อนกรวดระคายเท้าสารพัดชนิด
เขามองกำไลเจ็ดสีตรงข้อมือ จัดแจงองศาของกำไลเล็กน้อย คล้ายจะใช้กำไลจับสัมผัสบางอย่าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง กำไลเจ็ดสีวงนั้นก็มีแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมา ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
ทิศทางนั้นคือภูเขา ในหมู่ทิวเขาทอดเรียงรายกันภูเขาลูกนั้นไม่สะดุดตาที่สุด เพียงแต่โขดหินบนเขาใหญ่โตกว่าเล็กน้อย
เขาขมวดคิ้วนิดๆ เสินจิ่วหลี่บอกเขาไว้ กำไลวงนี้คือกำไลคุ้มชะตาของเขา เนื่องจากนางเป็นผู้มอบให้ ด้วยเหตุนี้บนกำไลจึงมีกลิ่นอายของนางแฝงอยู่ด้วย
ขอเพียงเขาใช้พลังจิตเปิดใช้ความสามารถของกำไลวงนี้ได้ กำไลวงนี้ก็จะช่วยให้เขาพบตัวนางอย่างรวดเร็ว
แน่นอน เงื่อนไขแรกคือเขาต้องเปิดใช้งานกำไลวงนี้อย่างถูกต้องเสียก่อน…
ถึงอย่างไรก็เป็นครั้งแรกที่ตี้ฝูอีได้ลองใช้สิ่งนี้เ เขาจึงไม่ทราบเช่นกันว่าทิศทางที่เจ้าของเล่นชิ้นนี้ชี้ไปในยามนี้ถูกต้องหรือไม่ แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย เขาจะไปดูที่ภูเขาลูกนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน
หลังจากเขาลงสู่พื้นก็พบว่าไอวิญญาณของที่นี่น้อยนิดเสียจนน่าเวทนา เรียกได้ว่าไม่มีเลย
เขาเตะก้อนหินใต้ฝ่าเท้า ย่ำอยู่ที่เดิมสองสามก้าว รับรู้ได้ว่าแรงโน้มถ่วงของที่นี่มากกว่าบนโลกถึงสามเท่า
และพลังวิญญาณของเขาเมื่ออยู่ที่นี่สามารถสำแดงออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนด้วยซ้ำ ฝ่าเท้าก็หนักอึ้งเป็นพิเศษ ไม่เบาหวิวเช่นที่ผ่านมา อยู่ที่นี่แล้วจะเหาะก็เหาะไม่ขึ้น ต่อให้เป็นวิชาตัวเบาเมื่ออยู่ที่นี่ก็จะถูกลดทอนลงไปเช่นกัน
เขาทำได้เพียงอาศัยสองเท้าปีนป่ายขึ้นเขา
เขาเดินทางอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ทราบแล้วเหตุใดที่นี่ถึงเรียกว่าแดนอสุรา
สภาพแวดล้อมวิปริตมากเหลือเกิน!
โขดหินที่เดินผ่านมีทั้งก้อนหินจริงๆ และมีก้อนหินที่เป็นสัตว์ร้ายจำแลงกายมา
ก้อนหินจริงๆ ย่อมไม่มีพิษมีภัย แต่ก้อนหินที่เป็นสัตว์ร้ายจำแลงมานั้นพูดยากยิ่งนัก
เมื่อเจ้าเฉียดเข้าไปใกล้ร่างมัน มันจะกลายเป็นสัตว์ร้ายสารพัดชนิดหน้าสีคล้ำเขี้ยวยาวโง้งพุ่งกระโจนเข้าใส่เจ้า!
วิปริตอย่างยิ่ง!
ครั้งแรกที่ตี้ฝูอีเห็นก็รู้สึกตกใจจริงๆ
เคราะห์ดีที่เขาตอบสนองว่องไว หลบได้ทัน…
เขาร้อนใจจะตามหาคน ไม่คิดจะต่อสู้รบรากับสัตว์ร้ายพวกนี้ ดังนั้นถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง ต้องการหลบหลีกพวกมัน
สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ สัตว์ร้ายเหล่านี้หยิ่งทะนงดื้อรั้นยิ่ง เมื่อหมายตาแล้ว ก็จะไม่ปล่อยไป ตามติดพัวพันอย่างไม่ลดละ…
ด้วยเหตุนี้ หลังจากเขาเดินทางไปได้เจ็ดแปดลี้ ด้านหลังก็มีสัตว์ร้ายติดตามมาเป็นพรวนใหญ่ ดูอลังการตระการตา
เช่นนี้ไม่ได้การแล้ว!
ตี้ฝูอีจับด้ามกระบี่ขึ้นมา ประกายคมกริบพาดผ่านนัยน์ตาเขา เขาจำเป็นต้องทำการสังหารครั้งใหญ่แล้ว
ถึงแม้สัตว์ร้ายเหล่านี้จะดุร้ายผิดปกติ แต่ถึงอย่างไรตี้ฝูอีก็มีวรยุทธ์สูง พอเขาเอาจริงขึ้นมา ทักษะของสัตว์ร้ายเหล่านี้ยังไม่เข้าขั้นพอจริงๆ…
พริบตาเดียวก็ถูกเขาสังหารไปแล้วสี่ห้าตัว
วิถีกระบี่เขาเฉียบขาดฉับไว ซอกซอนไปในหมู่สัตว์ร้าย ทุกครั้งที่ตวัดกระบี่ล้วนบังเกิดพิรุณโลหิตขึ้นเป็นสาย…
เขาคิดว่าหลังจากสังหารไปสี่ห้าตัวแล้ว จะทำให้พวกที่อยู่ด้านหลังอีกกองใหญ่ตกใจกลัวได้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะคิดเยอะไปแล้ว สัตว์ร้ายเหล่านั้นพุ่งเข้ามาจู่โจมอย่างดุร้ายยิ่งกว่าเดิม ราวกับถ้าเขาไม่ตายจะไม่ยอมเลิกรา
….
————————————————————————————-
บทที่ 2110 ข้าเป็นคู่หมั้นเจ้า
แต่ตอนนี้สัตว์ร้ายที่ติดตามมาเหล่านี้มีอยู่นับร้อย แต่ละชนิดไม่ซ้ำกันเลย ความสามารถก็ต่างกันไป ในบรรดานั้นมีอยู่สามสี่ชนิดที่ร้ายกาจเป็นที่สุดซ้ำยังไปมาไร้ร่องรอยอีกด้วย เคลื่อนไหวดุจสายฟ้าแลบ และทรงพลังอย่างยิ่ง หากเผลอไปสักนิดก็อาจถูกพวกมันฉีกทึ้งได้!
สัตว์ร้ายมากมายขนาดนี้โจมตีเข้ามาพร้อมกัน เขาจึงเสียเปรียบอยู่บ้างจริงๆ
โดยเฉพาะคือเขาเพิ่งมาถึงที่นี่ ยังไม่ทันได้พักหายใจ ยังปรับตัวกับแรงโน้มถ่วงของที่นี่ไม่ค่อยได้
เพียงเขาวิ่งออกมาเท่านี้ เขาก็หอบเล็กน้อยแล้ว หลังจากออกแรงสังหารสัตว์ร้ายไปกว่าโหล แขนเขาก็รู้สึกปวดชา หน้าผากมีเหงื่อซึม
“แบบนี้ไม่ได้เรื่องหรอก! เจ้าต้องฆ่าตัวหัวหน้า มิเช่นนั้นพวกมันจะโผล่ออกมาไม่หมดไม่สิ้น!”
พลันมีเสียงเย็นกระจ่างสายหนึ่งแว่วมาไม่ไกล
ตี้ฝูอีใจเต้นแรงทันที
เป็นเสียงของกู้ซีจิ่ว!
เขาเงยหน้ามอง จากนั้นก็ตะลึงงันปานถูกฟ้าผ่า
เบื้องหน้ามีคนผู้หนึ่งยืนบนภูผาที่อยู่ไม่ไกลนัก มองเพศไม่ออก ขนาดตัวเท่ากู้ซีจิ่ว เส้นผมถูกเกล้าขึ้นอย่างลวกๆ ใบหน้าทาสีเข้มคล้ายพวกชาวเผ่า เป็นสีเทาเส้นหนึ่งสีดำเส้นหนึ่ง ทำให้คนมองไม่ออกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร บนร่างสวมอาภรณ์เนื้อหยาบ แต่งตัวเหมือนเด็กหนุ่ม มือกุมกระบี่เหล็กเล่มหนึ่งไว้
ว่ากันตามภาพรวมแล้ว ทั้งตัวของอีกฝ่ายล้วนเป็นเทาขมุกขมัว แทบจะเป็นสีเดียวกับกับภูผาที่อยู่รอบข้าง
เนื่องจากผลกระทบทางสายตามหาศาลเกินไป ตี้ฝูอีจึงใจลอยไปชั่วขณะ เกือบถูกสัตว์ร้ายตัวหนึ่งตวัดกรงเล็บใส่!
กรงเล็บของสัตว์ร้ายตัวนั้นใหญ่โตราวกับบุ้งกี๋ ปลายเล็บคมกริบเขียวคล้ำ ตี้ฝูอีไม่นึกสงสัยเลย หากว่าถูกเจ้าสิ่งนั้นตะปบเข้า อาภรณ์ม่วงที่เขาสวมอยู่จะขาดวิ่นอย่างสิ้นเชิง ล่อนจ้อนทันที…
แม้แต่เนื้ออ่อนๆ บนร่างก็อาจถูกมันตะปบจนเลือดสาดกระจาย…
“ระวัง!”
คนผู้นั้นร้องเสียงต่ำ ร่างเปล่งแสงวาบ โผล่มาดุจกระแสไฟฟ้า ฉวยมือเขาแล้วดึงออกไปด้านข้าง กรงเล็บใหญ่โตของสัตว์ร้ายตัวนั้นจึงเฉียดเอวเขาไป!
หากกล่าวว่าเมื่อครู่ตี้ฝูอียังแคลงใจในตัวตนของอีกฝ่ายอยู่ ยามนี้ความคลางแคลงทั้งหมดสลายไปจนสิ้นแล้ว!
รูปร่างคล้าย เสียงคล้าย ที่สำคัญคือนางเป็นวิชาเคลื่อนย้าย…
เป็นนาง! เป็นนางจริงๆ!
หลังจากคนผู้นั้นดึงให้เขาหลบแล้ว ก็คิดจะปล่อยทันที
ทว่าตี้ฝูอีกลับตวัดมือจับนางไว้ มือของนางยังคงอ่อนนุ่ม ทว่าฝ่ามือหยาบกร้าน มีไตแข็งทั้งเล็กทั้งใหญ่ สัมผัสแล้วไม่นุ่มนิ่มสบายเท่าในอดีต…
ครึ่งปีมานี้นางประสบเคราะห์กรรมอันใดมากันแน่?!
“ซีจิ่ว ข้ามาช้าไป…”
เขายิ้มนิดๆ น้ำเสียงเจือความแหบพร่า
ไม่ว่านางจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่สุดท้ายก็ยังมีชีวิตอยู่ ในที่สุดเขาก็ได้พบนางตัวเป็นๆ แล้ว! นี่ล้วนสำคัญเหนือทุกสิ่ง!
“เจ้าพูดอะไรน่ะ? ระวัง!”
เดิมทีกู้ซีจิ่วคิดจะสะบัดมือเขาทิ้ง จู่ๆ กลับร้องเสียงต่ำคราหนึ่ง ดึงมือเขาแล้วใช้วิชาเคลื่อนย้ายทันที หนีออกมาจากกรงเล็บของสัตว์ร้ายนับไม่ถ้วน
“เจ้ายังมีเวลามาแบ่งความสนใจไปเรื่องอื่นอีกหรือ?! ข้าเห็นว่าเจ้ามีฝีมือไม่เลวเลย เหตุใดจึงทึ่มทื่อไปเสียเล่า? ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือไง?รีบไปฆ่าตัวหัวหน้าสิ!”
กู้ซีจิ่วพูดจาไม่เกรงใจ
ตี้ฝูอีพูดไม่ออกแล้ว
เหยื่อที่กำลังจะถึงปากถูกคนอื่นแย่งไป เห็นได้ชัดว่าสัตว์ร้ายเหล่านั้นไม่พอใจอย่างยิ่ง ร้องคำราม กระโจนเข้ามาอีกครั้ง!
ตี้ฝูอีรู้สึกอยู่เสมอว่าสถานการณ์นี้มีบางอย่างผิดปกติ แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้ไม่อนุญาตให้เขาได้วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน เขาจึงตัดสินใจว่าจะขับไล่สัตว์ร้ายเหล่านี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน…
ตัวหัวหน้าหรือ? แล้วตัวไหนล่ะที่เป็นหัวหน้า?!
ตี้ฝูอีกวาดตามองแวบหนึ่ง สายตาจับจ้องร่างสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่สุดสองตัวที่อยู่ไม่ไกล
เป็นพวกมันแน่!
“ได้ เจ้ารอข้าก่อน เดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกัน”
ตี้ฝูอีสั่งการประโยคหนึ่ง พลางสะบัดมือสร้างโดมครอบร่างกู้ซีจิ่วไว้
“เป็นเด็กดีรออยู่ตรงนี้นะ”
——————————————