ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2113+2114
บทที่ 2113 ข้าเป็นคู่หมั้นเจ้า 4
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าหลังจากนางมาถึงที่นี่แล้ว เกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง เหตุใดสถานะจึงเปลี่ยนไปเป็นบุรุษ แต่เขาก็มั่นใจว่าตอนนี้นางยังเป็นสตรีอย่างเต็มร้อย…
เขาแย้มยิ้ม กวาดมองฝูงชนแวบหนึ่ง
“บุรุษก็มีคู่หมั้นชายได้เช่นกัน หรือว่าพวกเจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องตัดแขนเสื้อ?”
ฝูงชนเงียบงันไป
กู้ซีจิ่วจ้องเขาอยู่หลายครา จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น
“ที่นี่ไม่เหมาะจะพูดคุย เถี่ยตั้น เถี่ยหนิว โก่วเซิ่ง…พวกเจ้ามาเอาสินสงครามไป พวกเรากลับ!”
“ขอรับ พี่สือโทว!”
ฝูงชนตอบรับ ต่างคนต่างไปหยิบยกซากสัตว์ร้ายมายาที่ถูกสังหารเหล่านั้น…
สือโทว เถี่ยตั้น (ไข่เหล็ก) เถี่ยหนิว (วัวเหล็ก) โก่วเซิ่ง… (หมาไม่แดก)
ตี้ฝูอีลูบจมูกอยู่เงียบๆ เขารู้สึกว่าไม่ได้ยินชื่อพื้นๆ แบบนี้มาเนิ่นนานยิ่งนักแล้ว
เขามองไปที่กู้ซีจิ่วอีกครั้ง รัดอกไว้เช่นนี้จะไม่กระทบต่อการเจริญเติบโตของอกหรือ?
“เจ้ามองอะไร?”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วสัมผัสได้ว่าสายตาของไอ้หนุ่มหน้าขาวดูไม่บริสุทธ์ใจเท่าไหร่
ตี้ฝูอีเลื่อนสายขึ้นไป มองดวงหน้าที่ทาด้วยสีน้ำมันของนาง ข่มกลั้นความรู้สึกชั่ววูบที่อยากจะลากนางไปอาบน้ำเอาไว้ ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ซีจิ่ว เจ้ายังคงน่ามองยิ่งนัก!”
กู้ซีจิ่วทำตัวไม่ถูกแล้ว
“พูดจากะล่อน!”
กู้ซีจิ่วตำหนิเขาไปประโยคหนึ่ง ทว่าในใจกลับหวานล้ำเล็กน้อยอย่างน่าประหลาด อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแก้ให้เขา
“ยังมีอีก ถึงแม้ข้าจะชอบสุรา แต่ก็ไม่ได้ชื่อว่าสีจิ่ว[1] ข้าชื่อว่าสือโทว”
“อือ สือโทว”
รอยยิ้มบนใบหน้าตี้ฝูอีไม่แปรเปลี่ยน
“นามเป็นเพียงสิ่งแทนตัวเท่านั้น ถึงเจ้าจะชื่อว่าสือโทวก็ยังคงเป็นก้อนหินที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์อยู่ดี!”
กู้ซีจิ่วไม่เอ่ยวาจา
ว่ากันตามจริงแล้ว เธอไม่ชอบคนพูดจากะล่อนเลย แต่ ‘วาจากะล่อน’ ของคนที่อยู่เบื้องหน้านี้ กลับยังอยู่ในขอบเขตความอดทนของเธอ ถึงขั้นที่ค่อนข้างชมชอบอย่างน่าประหลาด
เธอเพ่งพิศเขาอีกหลายคราอย่างอดใจไว้ไม่อยู่ บุรุษผู้นี้น่ามองโดยแท้! รูปงามจนทำให้เธอใจสั่น ถึงขั้นที่ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
เธอเม้มริมฝีปาก
“กลับไปก่อนค่อยว่ากัน!”
แล้วหันหลังออกเดิน
ข้อมือพลันแน่นกระชับ ถูกคนกุมเอาไว้ เธอขมวดคิ้วนิดๆ หันกลับไป
“เจ้าจะทำอะไรอีก?”
ตี้ฝูอีเดินเคียงไหล่นาง
“ข้ากลัวว่าจะมีสัตว์ร้ายมายาอันใดโผล่ออกมาอีก อยู่ข้างกายเจ้าปลอดภัยกว่า”
กู้ซีจิ่วลองสะบัดข้อมือดู ทว่าสะบัดไม่หลุด เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง
“วรยุทธ์เจ้ายอดเยี่ยมนัก สัตว์ร้ายมายาเหล่านั้นทำอันตรายเจ้าไม่ได้หรอก”
“ถูกพวกมันล้อมไว้ตลอดน่าขยะแขยงจะตาย”
ตี้ฝูอีดึงนางให้มาเดินอยู่ด้านหลังคนอื่นๆ
“วรยุทธ์ข้าสูงส่ง เจ้าสามารถหาตัวหัวหน้าได้รวดเร็ว พวกเราร่วมมือกันก็นับเป็นคู่ที่ไร้เทียมทาน เดินไปด้วยกันยังคงสะดวกเป็นที่สุด”
ฝ่ามือเขาอบอุ่น ยามที่กุมข้อมือเธอไว้ คล้ายจะมีไออุ่นแผ่ซ่านจากข้อมือเข้าสู่หัวใจ ทำให้เธอเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา ความรู้สึกที่ปรารถนาจะโผเข้าสู่อ้อมแขนของเขา…
เธอไม่ค่อยชอบความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุมได้เช่นนี้เลย สุดท้ายก็ยังคงสะบัดมือเขาออกอยู่ดี เพียงแต่ยังคงเอ่ยอธิบายประโยคหนึ่ง
“วางใจเถอะ พวกมันไม่โผล่มาตอนนี้หรอก ต้องรออีกหนึ่งวันหัวหน้าของมันถึงจะถือกำเนิดใหม่ ไม่มีตัวหัวหน้าคอยชี้นำ พวกมันจะไม่เข้าใกล้มนุษย์เกินไป”
ที่แท้เจ้าตัวสีดำวิปริตนั่นยังถือกำเนิดใหม่ได้อีก ซ้ำยังกำเนิดใหม่ได้รวดเร็วปานนี้! สรุปแล้วนี่เป็นสถานที่พิสดารอันใดกัน?
เขามองดูท้องฟ้า ที่ขอบฟ้ามีดวงตะวันสีซีดจางอยู่ดวงหนึ่ง ลอยอยู่ตรงนั้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ราวกับพร้อมจะร่วงหล่นลงไปได้ทุกเมื่อ
บนท้องฟ้ายังมีเมฆาขาวล่องลอยอยู่ พูดกันตามตรงแล้ว ต้องเรียกเมฆสีเทาถึงจะถูก
ก้อนเมฆนั้นก็เป็นสีเทาอึมครึม ราวกับอุดมไปด้วยฝุ่นควัน ค่อนข้างคล้ายมลภาวะของยุคสมัยใหม่ที่มารดาของเขาเล่าให้ฟัง…
————————————————————————————-
บทที่ 2114 ข้าเป็นคู่หมั้นเจ้า 5
อากาศร้อนยิ่งนัก เป็นความร้อนที่ร้อนจนทำให้คนหงุดหงิดงุ่นง่าน ทำให้คนรู้สึกว่าลมหายใจค่อนข้างขาดห้วงอยู่บ้าง
เขาจับสัมผัสรอบข้างอีกครั้ง ทว่าสัมผัสถึงการมีอยู่ของไอวิญญาณใดๆ ไม่ได้เลย
ตามความเข้าใจของเขา ไม่ว่าที่ไหนล้วนมีพลังวิญญาณอยู่ทั้งสิ้น ปัญหาอยู่ที่จะมากจะน้อยเท่านั้น แต่ที่นี่กลับไม่มีอยู่เลยสักนิด!
เป็นสถานที่ย่ำแย่อย่างยิ่งโดยแท้!
ตี้ฝูอีขมวดคิ้วนิดๆ เพียงแต่ เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ขอเพียงหานางพบ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนค่อยๆ วางแผนกันไปได้…
ขณะที่เขากำลังใคร่ครวญอยู่ พลันมีเสียงคำรามดังกึกก้องแว่วออกมาจากท่ามกลางหุบเขาที่อยู่ไกลออกไป เสียงคำรามสั่นสะเทือนหุบเขา และสะเทือนจนพสุธาใต้ฝ่าเท้าสั่นไหว
“รีบไป! รีบไปเร็ว!”
มีคนตะโกนขึ้นมา คนทั้งหมดล้วนเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
กู้ซีจิ่วก็เร่งฝีเท้าขึ้นเช่นกัน เนื่องจากตี้ฝูอียังใจลอยอยู่เล็กน้อย จึงไม่ได้ก้าวตามไปชั่วขณะ
หลังจากกู้ซีจิ่วออกวิ่งไปได้ครู่หนึ่ง ถึงได้พบว่าเขายังคงเดินเอ้อระเหยอยู่ตรงนั้น และไม่ไกลจากด้านหลังเขา เริ่มปรากฏกลุ่มหมอกสีดำเลือนรางบิดเบี้ยวออกมาแล้ว…
เรือนกายเธอไหววูบ เคลื่อนย้ายไปยังข้างกายเขา ฉวยมือเขาไว้ ใช้วิชาเคลื่อนย้ายไปด้านหน้าหลายสิบก้าว
“เจ้าอยากตายหรือไง? รีบไป!”
ตี้ฝูอีเพิ่งได้สติกลับมา วิ่งตามนางไป
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ดูข้างหลังเจ้าสิ!”
ตี้ฝูอีหันกลับไป ตัวแข็งทื่อทันที!
บนโขดหินที่อยู่ด้านหลังเขาเหล่านั้นล้วนมีหมอกดำค่อยๆ ผุดออกมา หมอกดำนั้นถักทอเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นก้อนเมฆประหลาดที่ดูคล้ายภูตผีสารพัด เมฆหมอกประหลาดเหล่านี้บดฟ้าบังตะวัน กำลังคืบคลานมาทางนี้อย่างรวดเร็ว…
นี่มันอะไรกันอีก?
ตี้ฝูอีกุมกระบี่ตรงหว่างเอว…
“ถ้าแตะถูกพวกมันแม้เพียงนิดเจ้าจบเห่แน่! อย่าได้พยายามต่อกรกับพวกมัน รีบไป!”
กู้ซีจิ่วลากเขาให้ออกวิ่งทันที!
เธอพอจะมองออกแล้วว่าเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านี้ไม่เข้าใจโลกนี้เลยสักนิด ซ้ำยังเป็นเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็น และไม่เกรงกลัวความตายด้วย…
หากว่าเป็นผู้อื่นที่เป็นเช่นนี้ เธอไม่มีทางไยดีแน่
แต่พอเป็นเด็กหนุ่มคนนี้แล้ว…
เธอมีความรู้สึกดีต่อเขาอย่างน่าประหลาด ไม่อาจเมินเฉยได้
ตี้ฝูอีมองมือน้อยๆ ของนางที่ฉุดลากตนอยู่ พลิกฝ่ามือขึ้นกอบกุมมือนาง โผทะยานไปข้างหน้า
“ได้ ฟังคำเจ้าทุกอย่าง”
ทั้งสองจับจูงกันวิ่ง ทำให้เพื่อนร่วมกลุ่มคนอื่นๆ อ้าปากหวอด้วยความตกใจ
ปกติแล้วพี่สือโทวของพวกเขาไม่ชมชอบใกล้ชิดกับผู้อื่นมิใช่หรือ?
เหตุใดหนนี้ถึงไปจับมือถือแขนไอ้หนุ่มหน้าขาวนี่อยู่บ่อยๆ เล่า?
เปลี่ยนรสนิยมแล้วหรือ?
ก่อนที่ก้อนเมฆประหลาดที่ดูคล้ายหมอกควันสีดำนั้นจะเข้าปกคลุม ตี้ฝูอีก็ติดตามคนกลุ่มนี้กระโจนเข้าไปในโพรงแห่งหนึ่งที่ถูกก้อนศิลาสีเทาซีดบดบังไว้
หลังจากทุกคนกระโดดลงไปแล้ว ศิลายักษ์ก้อนนั้นก็เคลื่อนมาปิดปากถ้ำเอาไว้อีกครั้ง
ถ้ำภูเขาลึกล้ำทอดยาว กินระยะทางถึงสี่ห้าลี้
ใครบางคนจุดไฟขึ้นมา ส่องสะท้อนผนังถ้ำสลัวๆ หลังจากเข้ามาในโพรงถ้ำใต้ดินแห่งนี้แล้ว จิตใจของทุกคนก็ผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย พูดคุยยิ้มหัวกันไปตลอดทาง พูดถึงผลกำไรมหาศาลในครั้งนี้…
ตี้ฝูอีมองซากสัตว์ร้ายมายาที่ถูกฝูงชนแบกหาม จากนั้นก็มองกู้ซีจิ่วที่อยู่ข้างกาย
“พวกเจ้า…กินพวกมันประทังชีพหรือ?”
“รสชาติของพวกมันไม่เลวเลย กลับไปข้าจะย่างให้เจ้าได้ชิมดู”
กู้ซีจิ่วก็ดูอารมณ์ดียิ่งนักเช่นกัน
ตี้ฝูอีหลุบตาลงนิดๆ
“ได้! ข้าชอบกินของย่างฝีมือเจ้าที่สุด!”
กู้ซีจิ่วชะงักไปเล็กน้อย คล้ายจะอยากถามอะไรเขา แต่พอเห็นคนอื่นๆ ที่เดินอยู่เบื้องหน้า เธอก็อดทนไว้ กระซิบสั่งการ
“ข้าไม่มีความทรงจำในอดีตเลย ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร…เป็นหัวหน้าเผ่าของที่นี่ที่รับเลี้ยงข้า ตอนนี้ข้าคือสือโทวลูกชายของเขา ทุกคนล้วนรู้จักข้าในฐานะสือโทว ประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปพบหัวหน้าเผ่า ถ้าเจ้าไปถึงที่นั่นแล้วอย่าพูดเหลวไหล มิเช่นนั้นเขาอาจจะสังหารเจ้า!”
….
——————————-