ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2136+2137
บทที่ 2136 ธรรมเนียม 3
เพียงแต่น่าเสียดายที่นางมีเพียงคู่หมั้นของนางในสายตาเท่านั้น…
ยิ่งตอนนี้นางส่ง ’ลูกอัณฑะมงคล’ จับคู่ถึงที่ พวกเขาก็ยิ่งไม่มีความหวังแล้ว
ทว่า พวกเขาก็ไม่ใช่ว่าจะหมดหวังไปเสียทีเดียว หากไอ้หนุ่มหน้าขาวผู้นี้ ‘ทำไม่ได้’…
ถึงแม้ไอ้หนุ่มหน้าขาวจะมีพลังยุทธ์เลิศล้ำ ทว่าเขาผอมแห้ง อีกทั้งยังไม่แข็งแรงบึกบึน ดูแล้วเหมือนก้านไม้ไผ่ ไม่แน่อาจจะทำไม่ได้จริงๆ…
ในเมื่อขบคิดถึงปัญหานี้ ก็มีสายตาของบุรุษหลายคนที่เพ่งเล็งไปยังส่วนล่างของตี้ฝูอี
น่าเสียดายที่เขานั่งอยู่ตรงนั้น เสื้อคลุมหลวมโคล่งบดบังเอาไว้ทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย
ไม่เหมือนกับพวกเขาที่ปกติก็พันไว้ด้วยหนังสัตว์หรือสิ่งอื่นๆ อีกทั้งยังอาบน้ำด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง พูดได้ว่าทุกคนมักจะเปรียบเทียบนกเขากัน รู้เบื้องลึกเบื้องหลังกันจนหมดเปลือก ทว่าตี้ฝูอีท่านนี้ พวกเขาไม่เคยเห็นเขาเปลื้องอาภรณ์ทั้งหมด!
ตี้ฝูอีย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติจากสายตาของผู้คน ทว่าอย่างไรเสียเขาก็ไม่เข้าใจธรรมเนียมของที่นี่ จึงทำให้สับสนงงงวยอย่างเลี่ยงไม่ได้
กู้ซีจิ่วนั่งลงข้างกายเขาเอนศีรษะซบลงตรงบ่าเขา
“ฝูอี สิ่งนี้เจ้ากินนิดเดียวพอเป็นพิธี ไม่จำเป็นต้องกินมันจนหมด”
สิ่งนี้กระตุ้นพลังหยางยิ่งนัก บุรุษเหล่านั้นต่อให้กินก็กินได้แค่สองถึงสามคำ มีเพียงพวกที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะกินได้ครึ่งท่อน
อีกทั้งที่นี่ยังมีถ้อยคำที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างหนึ่ง หากกินได้สองสามคำ นั่นพิสูจน์ว่าบุรุษผู้นั้นจะคึกคักได้สองถึงสามเค่อ หากกินกึ่งหนึ่ง พิสูจน์ได้ว่าจะออกศึกฟาดฟันได้ครึ่งค่อนคืน หากกินทั้งหมด เช่นนั้นก็จะโรมรันพันตูไปได้ทั้งคืน!
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ตี้ฝูอีล้วนไม่เข้าใจ
หัวใจเขาพลันสั่นระรัวเมื่อสตรีอวลกลิ่นหอมอ่อนๆ แอบอิงแนบกาย กินเนื้อท่อนนั้นจนหมดเกลี้ยงก่อนจะแย้มยิ้ม
“ไม่ เหลือทิ้งไม่ได้แม้แต่นิดเดียว”
เหล่าบุรุษตะลึงงัน
พวกเด็กสาวต่างนิ่งอึ้ง
สายตาของทุกคนยิ่งน่าสงสัย…
รอบด้านเงียบงันผิดปกติ
ตี้ฝูอีกวาดสายตามองโดยรอบ คนเหล่านี้เป็นอะไรกันไปหมด? เขาเพียงแค่กินท่อนเนื้อเข้าไปเอง สายตาคนเหล่านี้ที่มองเขากลับเหมือนมองวีรบุรุษผู้กล้าหาญอะไรอย่างนั้น…
หัวหน้าเผ่าลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายกันไปได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องจัดรูปแบบค่ายกลแต่เช้า”
ทุกคนต่างหัวเราะร่า
“นั่นสินะ คืนส่งตัวเข้าหอมีค่าดังทองพันชั่ง!”
“เอาล่ะ แยกย้าย! แยกย้าย!”
“พี่สือโทว พรุ่งนี้อย่าลุกขึ้นไม่ไหวเล่า…”
“ใช่ คุณชายตี้ใช่ไหม? ท่านก็ค่อยเป็นค่อยไปนะ กินข้าวคำเดียวไม่กลายเป็นคนอ้วนนะ อย่าหักโหม…”
ทุกคนต่างพูดคุยหัวเราะกันสนุกสนาน
ในชั่วพริบตา สถานที่อันโอ่อ่าก็เหลือเพียงแค่ตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วสองคน
ตี้ฝูอีงุนงง ใครบอกเขาได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เขามองกู้ซีจิ่วที่อยู่ข้างกาย กู้ซีจิ่วกำลังเงยหน้ามองเขา ทั้งสองสบตากัน กู้ซีจิ่วเขย่งเท้าจุมพิตที่พวงแก้มเขา
“พวกเรานอนที่ไหนกันดี?”
ตี้ฝูอีชะงักงัน เดิมทีเขาคิดจะกลับไปนอนที่กระโจมของตัวเอง แล้วให้กู้ซีจิ่วกลับห้องนอนของตัวเอง
ทว่าจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเดิมทีนางนอนในเรือนซอมซ่อนั้นด้วยฐานะลูกชายหัวหน้าเผ่า ยามนี้นางคืนฐานะสตรีแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์ใดกับหัวหน้าเผ่าแล้ว ย่อมไม่อาจนอนที่นั่นได้อีกต่อไป…
และตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้า จะจัดแจงห้องหับให้นางตอนนี้ก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว
เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงจูงมือนางเดินไป
“ไปที่ข้าตรงนั้นเถิด”
ตี้ฝูอีตั้งกระโจมหนึ่งไว้ริมทะเลสาบ
กระโจมของเขาไม่ใช่กระโจมธรรมดา ปรับขนาดได้ทั้งเล็กใหญ่ อีกทั้งยังอบอุ่นยามเหมันต์ เย็นสบายยามคิมหันต์ นอนหลับได้สบายอย่างยิ่ง
เขาใช้ชีวิตอย่างพิถีพิถัน อีกทั้งยังรักสะอาด ไม่คุ้นชินกับการใช้สิ่งของของผู้อื่น ดังนั้นไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใด เขาจะพกสิ่งของติดตัวไปพร้อมสรรพ
————————————————————————————-
บทที่ 2137 ธรรมเนียม 4
อย่างไรเสียเขายังมีช่องมิติเก็บของ ไม่ว่าเขาจะนำสิ่งของติดตัวมามากมายก็ไม่เป็นภาระอันใด
เขาพากู้ซีจิ่วกลับไปที่กระโจมของเขา ถังอาบน้ำที่นางเคยใช้อาบน้ำก่อนหน้านี้หายไปแล้ว ภายในกระโจมก็มีการตกแต่งอีกรูปแบบหนึ่ง
เบื้องล่างเป็นพรมขนยาวสีขาวดุจหิมะ ด้านในเป็นเตียงโบราณหลังหนึ่ง
ไม่ว่าจะไปที่แห่งหนใด ตี้ฝูอีก็ไม่ต้องการให้ตัวเองลำบาก ดังนั้นต่อให้เขาอยู่คนเดียว เตียงที่เขาพกติดตัวก็เป็นเตียงคู่ คนสองคนกลิ้งไปมาได้อย่างสบาย
ม่านเตียงเป็นลวดลายขุนเขาธาราเรียบง่าย มีโต๊ะยาวตัวหนึ่งใกล้กับม่านเตียง บนโต๊ะยังมีเปลือกหอยหลากสีอันหนึ่ง ซึ่งกึ่งอ้ากึ่งงับไว้ ภายในเปลือกหอยมีไข่มุกราตรีสุกใส ส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งกระโจม ประหนึ่งยามกลางวัน
คนที่นี่ส่วนมากจะใช้คบเพลิงหรือตะเกียงน้ำมันที่ทำขึ้นเองส่องแสงสว่าง ไม่ว่ากระท่อมศิลาไหนๆ ก็จะมืดสลัวยามค่ำคืน แทบจะมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นไข่มุกที่สว่างไสวเช่นนี้ อดที่จะมองให้มากหน่อยไม่ได้
ความสนใจแรกของเธอพุ่งไปยังไข่มุกราตรี จากนั้นความสนใจต่อมาก็หยุดอยู่ที่เปลือกหอยนั้น เธอรู้สึกรางๆ ว่าสนิทสนมกับหอยนี้ยิ่งนัก ราวกับตัวเองเคยเลี้ยงมันเป็นสัตว์เลี้ยง…
เธออดไม่ได้ที่จะมองไปรอบเปลือกหอยนั้นให้มากหน่อย และพินิศพิเคราะห์ไข่มุกนั้น
ไม่นานเธอก็ละสายตา เมื่อเงยหน้าขึ้นกำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับตี้ฝูอีก็พลันตกตะลึง
ตี้ฝูอีจัดเตียงอีกหนึ่งหลังตรงข้ามกับเตียงหลังนั้น
รูปแบบของเตียงทั้งสองคล้ายคลึงกัน เพียงแต่ม่านเตียงไม่เหมือนกัน
ม่านเตียงของเตียงอีกหลังหนึ่งเป็นสีฟ้าอ่อน ลวดลายกระเรียนโบยบินบนท้องนภาสีคราม
เครื่องนอนของเตียงทั้งสองหลังอ่อนนุ่มและสบายมาก ตี้ฝูอีหันมาถามนาง
“ซีจิ่ว เจ้าอยากนอนหลังไหน?”
กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าเตียงทั้งสองหลัง ลูบไล้เครื่องนอนด้านในแต่ละหลัง จากนั้นก็หันมาเอ่ยถามเขา
“พวกเราแยกกันนอนหรือ?”
หัวใจตี้ฝูอีพลันสั่นไหว ความหมายแฝงในคำพูดของนาง…
คืออยากนอนด้วยกันกับเขา?
นี่ไม่เหมาะสมกระมัง?
อย่างไรเสียเขากับนางก็เพิ่งกลับมาพบหน้ากันใหม่ได้แค่วันเดียว ส่วนนางก็สูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป…
เขายอมทุ่มเทสุดความสามารถตามเกี้ยวพานางได้ แต่ไม่ต้องการฉวยโอกาสเพื่อช่วงชิงร่างกายนาง เขาก็มีศักดิ์ศรีของเขา เขาอยากให้นางชมชอบเขาจากใจจริงก่อนที่จะประกอบกิจฉันท์สามีภรรยา ไม่ใช่ในยามนี้…
อีกอย่างช้าเร็วอย่างไรความทรงจำของนางจะต้องฟื้นคืน หากเขาฉวยโอกาสช่วงชิงร่างกายนาง วันใดที่นางฟื้นคืนความทรงจำจะต้องตัดขาดกับเขาโดยสิ้นเชิงเป็นแน่ จะต้องก่นด่าว่าเขาต่ำช้าไร้ยางอาย…
สิ่งสวยงามเช่นนี้เหมาะที่จะทำเมื่อทั้งสองฝ่ายยินยอมดื่มด่ำความรักที่สุขสมอย่างแท้จริงมากกว่า
นี่คือความคิดของตี้ฝูอีและเป็นเหตุผลหลักที่เขาไม่กล้าจุมพิตนางตรงๆ เขากลัวว่าจะควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้…
เขามองดวงตาเป็นประกายของกู้ซีจิ่ว สูดลมหายใจเข้าแล้วยิ้มบางๆ
“พวกเราต่างคนต่างนอนเถิด เจ้านอนเตียงหลังสีฟ้าอ่อนก็แล้วกัน เครื่องนอนด้านในเหมาะกับรสนิยมของเจ้า”
เขาพูดพลางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก ขึ้นเตียงที่มีม่านเตียงสีขาวจางแขวนอยู่ แล้วปลดม่านเตียงลงมาอีกครั้ง ปิดกั้นสายตาของกันและกัน
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ตรงนั้น สายตาที่ทอดมองม่านเตียงสีขาวจางนั้นสั่นไหวเล็กน้อย ไม่นานเธอก็นั่งลงบนเตียงตรงข้ามเขา เอ่ยถามเขาอย่างตรงไปตรงมา
“ก่อนหน้านี้พวกเราไม่เคยประกอบกิจฉันท์สามีภรรยากันเลย?”
เงาร่างตี้ฝูอีชะงักงัน
“ย่อมไม่เคย”
เขามีความคิดนี้แต่ไม่มีความกล้า ตอนนั้นนางเห็นเขาเป็นแค่เด็กน้อยและไม่อนุญาตให้เขาใกล้ชิดนางมากเกินไป…
กู้ซีจิ่วไม่พูดจาอันใดแล้ว ในที่สุดก็ถอดเสื้อคลุมขึ้นเตียง ซุกตัวในผ้าห่มของตัวเอง
ตี้ฝูอีมองเงาร่างของอีกฝ่ายได้เลือนราง รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นนางนอนลงไป
“เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้?”
————————————————