ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2158+2159
บทที่ 2158 หนี 3
เขาลอบทอดถอนใจอยู่ภายในใจ นี่น่าจะเป็นวิกฤตใหญ่หลวงที่สุดที่นางได้เผชิญในระยะเวลาครึ่งปีมานี้กระมัง?
จิตใจนางต้องย่ำแย่เป็นแน่ ไม่รู้ว่าภายในใจจะทรมานสักเพียงใด
เขายื่นมือไปหมายจะจับมือนาง ทว่าถูกนางปัดทิ้ง
เขาผงะไป มองไปที่นาง
ทว่านางไม่ได้มองเขา กลับทิ้งระยะห่างกับเขาเล็กน้อยด้วย
ตี้ฝูอีพูดไม่ออกเลย
เขาเม้มริมฝีปากบางนิดๆ
นางคิดว่าสาเหตุที่ผู้สูงวัยเหล่านั้นเลือกทำเช่นนี้ มีผลมาจากคำพูดของเขางั้นหรือ?
คิดว่าผู้สูงวัยเหล่านั้นได้ยินบทสนทนาของเขากับนางถึงได้เลือกทำเช่นนี้กระมัง?
เอาล่ะ เขายอมรับว่าไม่ได้ใช้กระแสเสียงสื่อสารกับนางอย่างลับๆ แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาต้องรักษาพลังเอาไว้ อีกอย่างยามที่พูดคุยกันตอนนั้นเขาก็ตั้งใจลดเสียงให้เบาลงแล้ว…
หรือว่ายังถูกผู้เฒ่าแปดคนนั้นได้ยินอยู่?
ดังนั้นถึงได้…
ระหว่างเดินทาง เขาได้จับมือนางอีกครั้ง เอ่ยเสียงแผ่ว “
ขอโทษนะ”
ฝีเท้ากู้ซีจิ่วชะงักไปเล็กน้อย
“ไม่โทษเจ้าหรอก”
เธอสูดหายใจเบาๆ น้ำเสียงแผ่วหวิว ทว่าแฝงความสั่นเครือเอาไว้นิดๆ
“ข้าแค่เกลียดที่วรยุทธ์ไม่กล้าแข็งกว่านี้อีกสักหน่อย!”
หากว่าวรยุทธ์ของเธอแข็งแกร่งพอ ก็สามารถแยกกันปฏิบัติงานกับตี้ฝูอีได้แล้ว สามารถปกป้องให้คนเหล่านั้นมีชีวิตรอดออกไปได้
ไม่ต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำเช่นยามนี้…
ความละอายใจพาดผ่านดวงตาของตี้ฝูอีแวบหนึ่ง หากมิใช่ตอนอยู่ที่ดินแดนเบื้องบนเขาบีบคั้นกดดันนางอยู่ซ้ำๆ บีบให้นางต้องเผยลิขิตสวรรค์ออกมาเพื่อชี้แจงความสัมพันธ์กับเขาให้ชัดเจน นางจะได้รับเคราะห์กรรมเช่นนี้ได้อย่างไร?
สูญเสียพลังวิญญาณในร่างไป กลายเป็นเช่นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป…
“ซีจิ่ว ข้าจะปกป้องพวกเขากับเจ้าด้วย!”
เขาโน้มไปกอดนางอย่างรวดเร็ว เอ่ยคำมั่น
กู้ซีจิ่วที่อยู่ในอ้อมแขนเขาแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าแรงๆ
“อื้ม!”
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ในที่สุดขบวนใหญ่ก็มาถึงจุดเขตแดนแล้ว…
นั่นคือช่องเขาแห่งหนึ่ง ช่องเขาแห่งนี้เดิมทีถูกหมอกแดงบดบังไว้ คนที่อยู่ด้านในไม่มีทางมองเห็นลักษณะของช่องเขาได้เลย
หัวหน้าเผ่ามองไปที่ช่องเขาอันขรุขระด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ร้อยกว่าปีก่อน เขายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ติดตามพวกผู้ใหญ่ออกมาล่าสัตว์ เข้ามาทางช่องเขานี้…
จากนั้นก็ล่วงเลยยาวมาจนถึงวันนี้ ตอนนี้ในที่สุดก็จะได้ออกไปแล้ว!
โลกภายนอกเป็นอย่างไร? ไม่มีผู้ใดรู้เลย
แต่ทุกคนต่างโอบกอดความหวังไว้ คล้ายว่าหลังจากหนีออกไปแล้วจะได้พบโลกอันศิวิไลซ์…
รอบๆ ช่องเขาโอบล้อมด้วยหมอกแดง ในช่องเขาแห่งนี้มีเพียงถนนสายหนึ่งที่กว้างสองจั้ง หมอกแดงรอบข้างค่อยๆ มุ่งไปรวมตัวกันที่ถนน…
ชัดเจนยิ่ง เส้นทางสายนี้กำลังจะปิดลงแล้ว…
“รีบวิ่งไปทีละคนเร็ว!”
กู้ซีจิ่วสั่งการ
มาถึงยามนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้กู้ซีจิ่วพูดอะไรอีก คนทั้งหลายล้วนพยามวิ่งสุดชีวิต…
….
ยามที่คนสุดท้ายในขบวนพุ่งผ่านช่องเขานั้นออกมา ในที่สุดหมอกแดงนั้นก็สมานรวมกันแล้ว
สีสันของภูเขาล้วนถูกหมอกแดงบดบังไว้ มองไม่เห็นอีกต่อไป
หัวหน้าเผ่าถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก มองไปที่หมอกแดงอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
หนีออกมาแล้ว! หนีออกมาได้แล้ว!
ถูกขังเอาไว้ข้างในกว่าร้อยปีในที่สุดก็ออกมาได้แล้ว!
คนอื่นๆ มองทิวทัศน์ขุนเขาด้านนอกด้วยแววตาสนใจใคร่รู้ ถึงแม้การตายของผู้เฒ่าทั้งแปดจะทำให้ทุกคนโศกเศร้ายิ่งนัก แต่ความตื่นเต้นที่ได้รับอิสรภาพก็เจือจางความโศกเศร้านั้นลงไปมาก
หลังจากออกมาจากช่องเขาได้ ก็เป็นไหล่เขาสายหนึ่ง ขอเพียงลงไปจากไหล่เขานี้ก็จะได้เห็นเส้นทางภูเขาที่ทอดยาวจากที่นี่ จะได้พบสถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่
ห่างกันเพียงช่องเขาเส้นหนึ่งที่ขวางกั้นไว้ ทิวทัศน์ของไหล่เขาแห่งนี้กลับมีความแตกต่างจากหุบเขาที่กักขังทุกคนเอาไว้ยิ่งนัก
ในหุบเขาทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยกรวดหิน พืชพันธุ์สีเขียวพบเห็นได้ยากนัก
สีสันนอกจากสีเทาแล้วก็คือสีดำ
แต่พืชพรรณบนไหล่เขานี้กลับเขียวชอุ่มยิ่ง พรรณไม้บุปผาสารพัดชนิดเบ่งบานงอกงามไปทั่วไหล่เขา
ทุกคนฝ่าฟันตรากตรำกันจนมาถึงตอนนี้ ในที่สุดก็หนีรอดแล้ว! ย่อมโล่งอกกันถ้วนหน้า มีบางคนเสนอให้พักผ่อนบนไหล่เขาแห่งนี้ครู่หนึ่ง และได้รับความเห็นชอบจากคนส่วนใหญ่
การเดินทางนี้เหนื่อยล้ากันถ้วนหน้า ต้องหยุดพักกันสักหน่อย หาอะไรกินเพื่อฟื้นฟูพละกำลัง
….
————————————————————————————-
บทที่ 2159 หนี 4
กู้ซีจิ่วก็เหนื่อยมากเช่นกัน ตลอดทางนี้เธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายไปไม่รู้เท่าใดแล้ว แถมยังต้องต่อสู้อยู่เนืองๆ ยามนี้แข้งขาจึงอ่อนล้าไปหมดแล้ว
แต่เธอไม่กล้าหยุดพักเหมือนคนอื่นๆ สถานที่แห่งนี้แปลกถิ่นนัก ผู้ใดจะรู้ได้ว่าในละแวกนี้จะมีอันตรายมากล้ำกรายหรือไม่
ขณะที่เธอกำลังสั่งการให้คนสามสี่คนยืนรักษาการณ์ประจำสี่ทิศ ตี้ฝูอีก็เฉียดเข้ามา กดตัวเธอลงบนโขดหินก้อนหนึ่ง
“นั่งพักเถอะ เรื่องอื่นให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!”
กู้ซีจิ่วมองใบหน้าที่ซีดเซียวนิดๆ ของเขา
“ไม่ต้องหรอก เจ้าพักเถอะ ข้าจะไปดูรอบๆ”
พลางกวาดตามองฝูงชนแวบหนึ่ง
“ที่นี่ยังไม่แน่ว่าจะปลอดภัยนัก ทุกคนพักผ่อนกันครึ่งชั่วยาม อีกครึ่งชั่วยามให้หลังพวกเราจะเดินทางต่อ อยากพักก็ไปพักในเมืองเถิด เถี่ยตั้น เจ้าเฝ้าทิศใต้ เถี่ยหนิว เจ้าเฝ้าทิศเหนือ…”
เธอสั่งการไปในคราวเดียว คนเหล่านั้นส่งเสียงตอบรับ แยกย้ายกันไปประจำตำแหน่งตน
ออกมาครั้งนี้ทุกคนยังคงเตรียมตัวกันมาพอสมควร พกน้ำสะอาดและอาหารแห้งติดตัวมาไม่น้อยเลย
แน่นอนว่าสิ่งที่เรียกว่าอาหารแห้งก็คือเนื้อสัตว์ร้ายแดดเดียว พอจะฝืนกลืนลงไปได้ ยามนี้จึงพากันหยิบออกมา
มีบางคนนึกอะไรขึ้นได้ หันไปพูดกับตี้ฝูอี
“คุณชายตี้ ท่านบอกว่าหลังจากทุกคนออกมาได้จะให้กินโจ๊กเปล่าและเครื่องเคียงเหล่านั้น…”
“ใช่แล้วๆ คุณชายตี้รับปากไว้เช่นนี้จริงๆ”
บรรยากาศที่เดิมทีค่อนข้างหนักอึ้งเมื่อทุกคนทยอยพูดจากันอย่างเจ้าคำข้าคำ ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงแล้ว
“แต่ว่า…พวกเราไม่ได้ออกมากันทุกคนนะ พวกท่านปู่เถี่ยซู่จากไปแล้ว…”
มีบางคนสาดน้ำเย็นออกมา
พวกท่านปู่เถี่ยซู่ก็คือผู้เฒ่าทั้งแปดที่ยอมสละชีพรั้งอยู่ในหุบเขาไปตลอดกาล เมื่อเอ่ยถึงพวกเขา นึกถึงความตายอันน่าสลดของพวกเขา ทุกคนก็หม่นหมองลงอีกครั้ง บรรยากาศค่อนข้างหดหู่ไปชั่วขณะ…
ตี้ฝูอีมองคนเหล่านั้น สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ค่อยๆ ชักมือกลับมา ในมือคือถุงเล็กๆ ใบหนึ่ง
ฝูงชนงงงัน
หรือว่าโจ๊กและเครื่องเคียงเหล่านั้นของเขาล้วนอยู่ในถุงเล็กๆ ที่ดูไม่สะดุดตาเลยใบนี้?
เป็นไปไม่ได้กระมัง?
เป็นไปไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ สิ่งที่ตี้ฝูอีล้วงออกมาจากถุงใบนั้นคือผลไม้จำนวนหนึ่ง ลูกท้อ สาลี่ ผลบ๊วย…
ทั้งหมดมีอยู่กว่าร้อยลูก เขามอบผลไม้เหล่านี้ใส่มือของหัวหน้าเผ่า
“แบ่งๆ กันไปเถอะ”
โดยทั่วไปแล้วผู้คนของที่นี่แม้แต่ผลไม้ก็ไม่เคยได้เห็นเลย คนส่วนใหญ่จึงไม่รู้จักสิ่งนี้
ทว่าหัวหน้าเผ่ากลับรู้จักดี เขารีบเอ่ยขอบคุณทันที เรียกคนที่จัดการเรื่องราวอย่างเป็นธรรมสองสามคนมา แบ่งสันปันส่วนผลไม้เหล่านี้ออกไป
“หนึ่งคนต่อหนึ่งลูก สำหรับเด็กๆ ให้สองลูก”
ผลไม้หวานสดชื่น เป็นรสชาติที่ผู้คนที่นี่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน คนบางส่วนพอกัดเข้าไปคำหนึ่งก็ร้องชมเชยออกมา เหล่าเด็กน้อยยิ่งหวีดร้องกันอย่างมีความสุข…ถือผลไม้ที่ได้รับปันส่วนมา กินอย่างระมัดระวังยิ่ง
ฝูงชนยิ้มแย้มร่าเริงขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้คนของที่นี่ยังคงซาบซึ้งในตัวตี้ฝูอียิ่งนัก หากไม่มีเขาคอยช่วยเหลือ ผู้คนของที่นี่ไม่มีทางหนีออกมาถึงที่นี่ได้
ครั้งก่อนคนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นเขาสังหารสัตว์ร้ายมายา ทว่าครั้งนี้กลับได้เห็นของจริงกันถ้วนหน้า จึงเลื่อมใสขึ้นยิ่งกว่าเดิม! สายตาที่มองเขาเปี่ยมด้วยความเคารพเทิดทูน…
ตี้ฝูอีนั่งอยู่บนโขดหินก้อนหนึ่ง หลับตาน้อยๆ ปรับลมหายใจ
ความจริงแล้วเขาเหนื่อยล้ายิ่งกว่าผู้ใด ถึงอย่างไรผู้ที่จัดการสังหารสัตว์ร้ายมายามาตลอดทางก็คือเขา และก่อนหน้านี้ไม่นานก็เผชิญศึกกับฮุ่นตุ้นมาก่อน พลังวิญญาณร่อยหรอลงไปอย่างสาหัส…ยามนี้มือเท้าเขาเหน็บชา อ่อนแรงไปหมดแล้ว
มีบางคนนั่งลงข้างกาย เขาลืมตาขึ้น สบเข้ากับดวงตาที่ขาวดำตัดกันชัดเจนของชุนเฉา
เขามุ่นคิ้วนิดๆ กระเถิบตัวออกอย่างไร้สุ้มเสียง เขาไม่ชินที่มีคนเข้าใกล้เขาเกินไป…
หากไม่ติดที่ว่าอีกฝ่ายเป็นสหายของกู้ซีจิ่ว เขาคงสะบัดแขนเสื้อใส่ เหวี่ยงนางกระเด็นออกไปไกลหนึ่งลี้แล้ว
ชุนเฉากลับไม่อินังขังขอบเลย ฝ่ามือตบลงบนไหล่ตี้ฝูอีคราหนึ่ง
“คุณชายตี้ ท่านยอดมาก! ต่อไปนี้ข้าจะไม่เรียกท่านว่าไก่อ่อนอีกแล้ว”
——————————————-